“ฆ่า…ฆ่าคนแล้ว?” ศิษย์ที่มุงดูอยู่เอ่ยอย่างตกตะลึงตาค้าง

 

 

ศิษย์อีกคนหนึ่งลูกกระเดือกขยับขึ้นลง “ตามขอความรักไม่สำเร็จ ถูกฆ่าซะแล้ว??”

 

 

มั่วชิงเฉินกวาดสายตาไปรอบๆ อย่างเงียบๆ ปราดหนึ่ง ศิษย์ระดับหลอมลมปราณเงียบลงทันที กลับมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสองคนเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นว่า “ศิษย์น้องผู้นี้ ข้าเป็นศิษย์ผู้ดูแลแห่งเขาโฮ่วเต๋อ รบกวนเจ้าไปโถงลงทัณฑ์กับข้าสักครั้งเถอะ”

 

 

“เพราะเหตุใด?” มั่วชิงเฉินหน้าบึ้งถามกลับ นางนี่ไม่ใช่ประสบเคราะห์ทั้งที่ไม่รู้ตัวหรือ อยู่ดีๆ ถูกอาจารย์ไล่ลงจากเขาอยู่ก่อน เพียงแต่มารายงานตัวที่เขาโฮ่วเต๋อทีหนึ่ง ก็ก่อให้เกิดคลื่นลมเช่นนี้ขึ้น คิดว่าไม่ต้องรอให้นางเดินออกประตูสำนัก เรื่องซุบซิบที่นางใช้ก้อนอิฐฟาดคนที่มาขอความรักคงลือไปทั่วแล้วใช่หรือไม่?

 

 

ศิษย์ผู้ดูแลสีหน้าเย็นชาลง ศิษย์น้องผู้นี้หน้าตาไม่คุ้นเคย เหตุใดจึงโอหังเช่นนี้? จึงอดโมโหไม่ได้ว่า “เพราะเหตุใด กฎสำนักข้อที่หนึ่ง ก็คือห้ามหลอกลวงลบล้างบรรพจารย์ ห้ามเข่นข้าศิษย์ร่วมสำนัก เจ้าใช้อาวุธเวทฆ่าศิษย์พี่ผู้นี้ต่อหน้าธารกำนัล หรือว่าไม่ควรไปโถงลงทัณฑ์สักคราเช่นนั้นหรือ?”

 

 

ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินพบว่า บัดนี้นางก็สามารถพูดประโยคนี้ได้แล้วเช่นกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาจารย์ข้าเป็นใคร?

 

 

แน่นอนนางก็แค่คิดๆ ดูเท่านั้น ไม่อยากก่อเรื่องวุ่นวายไปกว่านี้อีก จึงยกมือขึ้น

 

 

ศิษย์ผู้ดูแลนั่นนึกว่านางจะจู่โจม รีบตั้งท่ารับทันที กลับพบว่านางเพียงแต่เก็บก้อนอิฐก้อนนั้นกลับไป ท่ามกลางสายตาจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มของมั่วชิงเฉิน สีหน้าอดกระอักกระอ่วนขึ้นมาไม่ได้

 

 

“ศิษย์พี่ท่านนี้ เชิญวางใจได้ คนคนนั้นเพียงแต่หมดสติไปเท่านั้น ไม่ตาย และไม่พิการ บัดนี้ ข้าไปได้หรือยัง?” มั่วชิงเฉินถามนิ่งเรียบ

 

 

แอบคิดว่าเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่ที่อาจารย์ให้มา มีความโดดเด่นในด้านการบังคับพลังวิญญาณตามคาด หากเป็นเมื่อก่อน นางต้องไม่สามารถควบคุมกำลังให้พอดิบพอดีเช่นนี้เป็นแน่

 

 

“ศิษย์น้องจู เจ้าไปดูสภาพของศิษย์พี่ผู้นั้นที” ศิษย์ผู้ดูแลเอ่ยกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอีกคนหนึ่ง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอีกคนหนึ่งได้ยินดังนั้นจึงเดินเข้าไป ก้มตัวใช้พลังวิญญาณสำรวจดู แล้วกลับมาเอ่ยว่า “ศิษย์พี่หลิว ศิษย์น้องผู้นี้พูดไว้ไม่ผิด ศิษย์พี่ผู้นั้นเพียงหมดสติไปเท่านั้นจริงๆ แม้บาดเจ็บภายในก็ไม่มี”

 

 

ศิษย์ผู้ดูแลผู้นั้นสีหน้าบรรเทาลง เอ่ยต่อมั่วชิงเฉินว่า “ต่อให้เป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องก็ไม่ควรทำร้ายคนจนหมดสติต่อหน้าสายตาผู้คนมากมาย รอบข้างมีศิษย์ระดับบหลอมลมปราณมากมายเช่นนี้ดูอยู่ หากพวกเขาเอาไปเป็นเยี่ยงอย่าง นี่มิทำให้เสียระเบียบหรอกหรือ?”

 

 

มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ทำการใดๆ อย่างสง่าผ่าเผย เหตุใดคนผู้นี้จึงคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้ จึงเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ศิษย์พี่สอนสั่งได้ถูกต้อง ต่อไปน้องจะไม่ทำร้ายคนจนสลบต่อหน้าสายตาผู้คนมากมาย เพียงแต่…ผู้ชายคนหนึ่งตามตื๊อหญิงสาวไม่ลดละต่อหน้าสายตาผู้คนมากมาย ก็ไม่ทำให้เสียระเบียบหรือ?”

 

 

ศิษย์ผู้ดูแลชะงัก นี่จะเอามารวมเป็นเรื่องเดียวกันได้เช่นไร จากที่เขาเห็น ศิษย์พี่นี้เพียงแต่ตามขอความรักใจร้อนไปหน่อยเท่านั้น อีกทั้งไม่ได้กระทำการอันใดเกินเลยเสียหน่อย

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชา ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอีกคนหนึ่งส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์พี่หลิว เรื่องนี้ก็ให้แล้วกันไปเถอะ ไหนๆ ศิษย์พี่ผู้นั้นก็ไม่เป็นอะไรมาก หากศิษย์น้องคนนี้อารมณ์ร้อนขึ้นมาเอาก้อนอิฐตบพวกเรา วันหลังพวกเราจะยังมีชื่อเสียงบารมีต่อหน้าศิษย์มากมายได้เช่นไร?”

 

 

ศิษย์ผู้ดูแลกวาดสายตาผ่านรอยอิฐที่เห็นแล้วน่าตกใจบนหน้าจ้าวหมิงเฟิงปราดหนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นวูบในใจ จึงหลุดปากว่า “ในเมื่อศิษย์พี่ผู้นี้ไม่เป็นไร ศิษย์น้องเจ้าก็ไปได้แล้ว เพียงแต่ข้าต้องขอดูป้ายประจำตัวเจ้าปราดหนึ่ง บันทึกเรื่องนี้ไว้สักหน่อย เพื่อป้องกันหากเกิดอันใดขึ้น”

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก แล้วยื่นป้ายประจำตัวไป

 

 

ศิษย์ผู้ดูแลใช้จิตตระหนักหวาดปราดหนึ่ง สีหน้าอดชะงักไม่ได้ แล้วมองมั่วชิงเฉินด้วยความตะลึงปราดหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินรับป้ายประจำตัวแล้วหันหลังจากไปไกลแล้ว ศิษย์ผู้ดูแลผู้นั้นยังอยู่ในภวังค์

 

 

“เป็นอันใดหรือ ศิษย์พี่หลิว?” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอีกคนหนึ่งถาม

 

 

ศิษย์ผู้ดูแลสีหน้ายังกลัวไม่หายว่า “ศิษย์น้องจู เจ้าพูดได้ถูกต้อง ศิษย์น้องผู้นั้นกล้าใช้ก้อนอิฐฟาดพวกเราจริงๆ นาง นางก็คือคนที่สร้างรากฐานตั้งแต่อายุยี่สิบสอง ถูกนักพรตเหอกวงรับเป็นศิษย์ก้นกุฏิหนึ่งในสองโฉมสะคราญชิงชิง มั่วชิงเฉิน!”

 

 

เพราะว่าตกตะลึงเกินไป ศิษย์ผู้ดูแลลืมส่งเสียงทางจิต คำพูดนี้จึงได้ยินไปทั่วในหมู่ศิษย์ที่มุงดูอยู่ จากนั้นได้ยินเสียงสูดหายใจนับไม่ถ้วน

 

 

มั่วชิงเฉินไม่มีกะจิตกะใจสนใจเรื่องพวกเนี้ นางรีบเร่งฝีเท้าคิดเพียงจะรีบออกจากประตูสำนัก อย่าให้ความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก ทันใดนั้นฝีเท้ากลับต้องสะดุดกึก

 

 

ไม่ไกลออกไป ผู้ชายคิ้วเข้มตาเป็นประกายแต่ใบหน้าดันเย็นชาคนหนึ่งกำลังมองนางอยู่ นั่นคือเยี่ยเทียนหยวนที่ไม่ได้พบกันหลายปี

 

 

เมื่อก่อนสองคนอาวุโสต่างกัน อีกทั้งมั่วชิงเฉินเป็นเพียงศิษย์ฆราวาส พบหน้ากันแล้วต่อให้ไม่ยินยอมเพียงใดก็ต้องคารวะทักทาย บัดนี้นางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเช่นกันแล้ว จึงเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย ก็เดินตรงผ่านข้างๆ เขาไปแล้ว

 

 

“เจ้าช้าก่อน” ทันใดนั้น เยี่ยเทียนหยวนออกปากเรียก

 

 

มั่วชิงเฉินแอบถอนใจในใจ อาจารย์ ท่านดูปฏิทินมาเป็นพิเศษแล้วใช่หรือไม่ ถึงได้เลือกไล่ศิษย์สุดที่รักท่านลงเขาวันนี้?

 

 

ข้าไม่ได้ยิน ข้าไม่ได้ยิน

 

 

มั่วชิงเฉินสะกดจิตตนเอง เร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้าไม่หยุด

 

 

ทันใดนั้นกลับพบว่าคนผู้นั้นได้ยืนอยู่หน้านางแล้ว จากนั้นยังไม่รอให้นางส่งเสียง ก็จับข้อมือนาง พานางบินไปแล้ว

 

 

“ดูเร็ว นั่น นั่นคืออาจารย์อาเยี่ย!” ได้ยินฐานะของมั่วชิงเฉิน เดิมทีศิษย์พวกนั้นก็ยังใช้สายตามองตามนางอยู่ เมื่อเห็นเหตุการณ์ไม่คาดคิดนี้ ศิษย์ไม่น้อยจึงตะโกนออกมา

 

 

“เหตุใดอาจารย์เยี่ยจึงจับอาจารย์อามั่วผู้นั้นล่ะ? หรือว่าพวกเขามีอะไรบาดหมางกันหรือเช่นไร?” ศิษย์ที่มาใหม่บางส่วนสงสัยว่า

 

 

ศิษย์ที่มีคุณสมบัติเก่าแก่บางส่วนจึงเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “ไปข้างๆ เลย พวกเจ้ามาใหม่ไม่รู้เรื่อง อาจารย์อาผู้นี้นะ มีอดีตที่ไม่พูดไม่ได้กับอาจารย์อามั่วเรื่องหนึ่ง…”

 

 

“ศิษย์พี่เยี่ย ขอให้ท่านรักษากิริยาด้วย!” สองคนเพิ่งร่อนลงพื้น มั่วชิงเฉินก็ออกแรงดิ้นหลุดจากมือของเขาว่า

 

 

แม้สองคนต่างอยู่ระดับสร้างรากฐาน ทว่าพลังกลับต่างกันลิบลับ ต้องรู้ว่าภายใต้เหตุการณ์ปกติ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนหนึ่งพอที่จะรับมือผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะต้นหลายคนทีเดียว

 

 

พลังของมั่วชิงเฉินแม้เทียบได้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางทั่วไป ทว่าอย่าลืมว่าเยี่ยเทียนหยวนเดิมทีก็เป็นหัวกะทิในหมู่หัวกะทิ

 

 

เห็นเยี่ยเทียนหยวนนิ่งเงียบไม่พูดจา มั่วชิงเฉินโกรธจนขบฟัน ตกลงตนไปล่วงเกินเขาที่ใดกันแน่ ทุกครั้งที่พบกันต้องถูกเขาหิ้วเหมือนหิ้วลูกไก่ตะลอนไปทั่วทุกครั้งไป

 

 

นางกวาดสายตาไปรอบๆ อย่างรีบร้อน กลับต้องชะงักงัน ไม่นึกเลยว่าที่นี่คือหุบเขาแห่งนั้น!

 

 

อย่างบังคับตนเองไม่ได้ มั่วชิงเฉินหน้าร้อนผ่าว ถลึงตาใส่เยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่งแล้วหันหลังจากไป

 

 

มองดูแผ่นหลังที่จากไปไกลอย่างไม่ไยดีของมั่วชิงเฉิน เยี่ยเทียนหยวนอ้าปาก เอ่ยเสียงแหบเล็กน้อยว่า “มั่ว…ศิษย์น้องมั่ว ได้โปรดหยุดก่อน…”

 

 

มั่วชิงเฉินหยุดลง มองเขาอย่างสงสัยปราดหนึ่ง หรือว่าเขาจะมีธุระจริงๆ แต่ก่อนเห็นตน มิใช่หลบยังกับหลบอะไรดีเช่นนั้นหรือ?

 

 

เห็นเยี่ยเทียนหยวนเดินเข้ามาใกล้ ความรู้สึกประหลาดนั้นจู่โจมมาอีกแล้ว มั่วชิงเฉินถอยหลังหนึ่งก้าวว่า “ศิษย์พี่เยี่ย มีอันใดท่านก็พูดเถอะ ข้าได้ยิน”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนสายตามืดมนลงเล็กน้อย จากนั้นกลับคืนสู่ความเย็นชาดังปกติว่า “ศิษย์น้องมั่ว วันนี้ข้าเพียงแต่อยากเอ่ยคำขอโทษต่อเจ้า”

 

 

“เอ่อ ขอโทษ?” มั่วชิงเฉินยังไม่ได้สติกลับมา

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเม้มริมฝีปากบางว่า “แต่ก่อนนั้นข้าเข้าใจเจ้าผิด ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็น…เป็นร่างหยินบริสุทธิ์…”

 

 

พูดถึงตรงนี่เยี่ยเทียนหยวนไม่ได้พูดต่อแล้ว มั่วชิงเฉินกลับเข้าใจความหมายของเขาในทันที มิน่าแต่ก่อนมักใช้สายตารังเกียจมองตน มักคิดว่าตนเสกคาถาเสน่ห์ใส่เขาอย่างไรอย่างนั้น วันนี้กลับผิดปกติเช่นนี้ ที่แท้ก็เข้าใจผิดคิดว่าตนมีร่างหยินบริสุทธิ์ คิดไปเองว่ามีคำอธิบายต่อแรงดึงดูดประหลาดที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคนแล้ว

 

 

นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินยิ่งสับสนแล้ว เขาและต้วนชิงเกอคนหนึ่งร่างหยางบริสุทธิ์ คนหนึ่งร่างหยินบริสุทธิ์ ระหว่างทั้งสองคนกลับไม่มีอะไร เหตุใดตนและเขากลับดันผิดปกตินะ?

 

 

ทว่ากลับไม่กล้าคิดลึกต่อไป จึงเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ศิษย์พี่เยี่ย บัดนี้ท่านก็เข้าใจผิดแล้วเช่นกัน ข้าไม่ใช่ร่างหยินบริสุทธิ์ ทว่าขอให้ท่านวางใจ ข้าไม่เคยคิดจะตามตื๊อท่านจริงๆ เมื่อก่อนไม่คิด ต่อไปยิ่งไม่คิด น้องยังมีธุระ ต้องขอตัวก่อนแล้ว”

 

 

มองดูมั่วชิงเฉินกระโดดเข้าไปในชามกระเบื้องใบใหญ่จากไปอย่างสง่าผ่าเผย เยี่ยเทียนหยวนยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเย็นชา ริมฝีปากบางที่เม้มแน่นค่อยๆ สูญเสียสีเลือด จากนั้นกระโดดลงในน้ำพุร้อนโดยพลัน เนิ่นนานไม่โผล่ขึ้นมา

 

 

เขารั่วสุ่ย

 

 

มั่วหลีลั่วได้รับยันต์ส่งสารที่มั่วชิงเฉินส่งมา พอดีว่างจึงรีบไปเขาโฮ่วเต๋อคิดจะส่งนางสักครา ใครจะคิดว่าได้เห็นละครฉากหนึ่ง รอนางดูจบด้วยความเพลิดเพลินยังไม่ทันได้ทักทาย ก็เห็นมั่วชิงเฉินถูกศิษย์พี่เยี่ยที่หลบเลี่ยงผู้บำเพ็ญเพียรหญิงดังหลบโรคระบาดมาตลอดพาไป จึงรีบย้อนกลับมาพร้อมใจซุบซิบเต้นระทึกดวงหนึ่ง

 

 

“เป็นอันใดหรือ ลั่วเอ๋อร์?” เห็นสีหน้าเช่นนั้นของศิษย์สุดที่รัก นักพรตรั่วซีที่รู้จักศิษย์เป็นอย่างดีถามขึ้น

 

 

มั่วหลีลั่วลังเลครู่หนึ่ง ยังคงทนไม่ไหวบรรยายเหตุการณ์ที่เห็นให้นักพรตรั่วซีฟังรอบหนึ่ง แต่กลับปิดบังส่วนสุดท้ายเรื่องที่มั่วชิงเฉินถูกเยี่ยเทียนหยวนพาไปไม่พูด

 

 

หรวนหลิงซิ่วหญิงบ้าคนนั้นตั้งแต่รู้ว่าศิษย์น้องต้วนมีร่างหยินบริสุทธิ์ ก็เริ่มสงสัยนางและศิษย์พี่เยี่ยอีก มักมาหาเรื่องนางทุกไม่กี่วัน หากให้นางได้ยินเรื่องนี้ คิดว่าศิษย์น้องมั่วคงไม่ได้ใช้ชีวิตสงบสุขอีกต่อไปแล้ว

 

 

นักพรตยั่วซีฟังจบ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวหัวเราะร่าขึ้นมา “ลั่วเอ๋อร์ สหายสนิทพวกเจ้าคนนี้ ช่างเป็นคนน่าสนใจจริงๆ ฮ่าๆๆ…ใครๆ ก็บอกว่าผู้หญิงที่เขารั่วสุ่ยเราไม่ควรตอแย ทว่าก็ไม่เคยเห็นใครเอาก้อนอิฐซัดผู้ขอความรักมาก่อน น่าเสียดาย ยามนั้นหากข้าเร็วขึ้นก้าวหนึ่งแย่งรับนางหนูนั่นเป็นศิษย์ก็ดีน่ะสิ”

 

 

พูดถึงตรงนี้นักพรตรั่วซียกมือปล่อยยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งออกมาว่า “ไม่ได้ ข้าต้องเล่าเรื่องนี้ให้ศิษย์น้องเหอกวงผู้นั้นฟัง ไม่รู้จริงๆ ว่าคนลักษณะเช่นเขา เหตุใดจึงรับศิษย์สุดที่รักเช่นนี้ได้”

 

 

“อาจารย์ ท่านกับศิษย์พี่พูดอะไรกันน่ะเจ้าคะ?” ต้วนชิงเกอที่ไม่ได้ออกจากห้องหลายวันเมื่อเปิดประตูออก ก็พบยันต์ส่งสารของมั่วชิงเฉิน ดูเสร็จรีบร้อนออกมา กลับเห็นอาจารย์และศิษย์พี่มั่วกำลังพูดเล่นกันอยู่

 

 

รอมั่วหลีลั่วเล่าเรื่องอีกรอบหนึ่ง ต้วนชิงเกอหัวเราะว่า “เมื่อก่อนข้าคิดมาตลอด ว่าหากมีคนตามขอความรักศิษย์น้องชิงเฉินนางจะรับมือเช่นไร บัดนี้ในที่สุดก็รู้แล้ว หึๆ นี่กลับเป็นวิธีที่เหนื่อยครั้งเดียวแต่สบายไปตลอดชีวิตจริงๆ”

 

 

นักพรตรั่วซีกวาดสายตาใส่นางปราดหนึ่ง “เอาล่ะ พวกเจ้าหากเอาเป็นเยี่ยงอย่างจริง ระวังต่อไปจะแต่งไม่ออก ถูกแล้ว ลั่วเอ๋อร์ บัดนี้เจ้าอยู่สุดยอดระดับสร้างรากฐานแล้ว ก็ควรลงเขาไปเช่นกันใช่หรือไม่?”

 

 

มั่วหลีลั่วยิ้มว่า “นั่นน่ะสิ ศิษย์กำลังคิดจะขออาจารย์อยู่พอดีเจ้าค่ะ”

 

 

“ขออะไรกัน จุกจิกจู้จี้จริง รีบเก็บข้าวของแล้วไปเถอะ หากเร่งทัน ไม่แน่ยังสามารถไปเป็นเพื่อนศิษย์น้องมั่วคนนั้นของเจ้าได้ วันหลังเกิดเรื่องสนุกอันใดจำไว้ว่าต้องเล่าให้อาจารย์ฟัง” นักพรตรั่วซีโบกแขนเสื้อว่า

 

 

“อาจารย์ หากท่านรู้สึกเบื่อจริงๆ ไม่สู้หาอาจารย์พ่อให้พวกเราคนหนึ่งเถอะ…” มั่วหลีลั่วเอ่ยเสียงเบา กลับหนีเตลิดไปท่ามกลางความโกรธของนักพรตรั่วซี

 

 

ต้วนชิงเกอขอร้องอย่างระมัดระวังว่า “อาจารย์ ชิงเกอก็อยากไปเจ้าค่ะ…”

 

 

อีกด้านหนึ่ง เมื่อนักพรตเหอกวงรับยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่ง เขาขมวดคิ้วก่อน จากนั้นกลับยิ้มขึ้นมาจางๆ