ตอนที่ 37 คลื่นถาโถม (4)

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่ 37 คลื่นถาโถม (4)

ทันทีที่เห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ซึ่งน้องเขยของตนเองล้มลงไปกับพื้นแบบนั้น หลู่ฉีเว่ยก็ถึงกับโมโห เขาร้องตะโกนข่มขู่ใส่หน้าฉีเล่ยเสียงดัง

“ที่นี่เป็นสถานที่ราชการ แกกล้าเข้ามาทำร้ายเจ้าหน้าที่แบบนี้ แกต้องได้รับการลงโทษอย่างสาสมแน่!”

ฉีเล่ยเองก็ร้องตะโกนตอบกลับไปด้วยความโมโหเช่นกัน “แล้วเจ้าหน้าที่ราชการมีสิทธิ์ อะไร ถึงได้ใช้กระบองทำร้ายประชาชนมือเปล่าได้?”

ฉีเล่ยซึ่งขุ่นเคืองใจเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนี้ ตั้งแต่บีบบังคับให้เขาต้องลงทะเบียนอยู่ที่ประตูทางเข้าแล้ว เขาจึงตอบโต้กลับไปอย่างไม่ปราณี

“หึ! ยังจะกล้าพูดอีกเหรอ? แกปลอมแปลงเอกสาร แอบอ้างเป็นแพทย์พิเศษ แถมยังทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่แบบนี้ วันนี้แกไม่รอดคุกแน่!” หลู่ฉีเว่ยตะคอกใส่หน้าฉีเล่ยด้วยความโมโหอย่างมาก

ฉีเล่ยได้แต่คิดในใจด้วยความเดือดดาลอย่างที่สุด ‘แพทย์พิเศษมันจะวิเศษวิโสอะไรนักเชียว! นึกว่าฉันอยากจะเป็นมากนักหรือยังไง?’

ฉีเล่ยลุกขึ้นเดินไปหยิบจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมากาง พร้อมกับชี้ให้หลู่ฉีเว่ยดู “คุณบอกว่าจดหมายฉบับนี้เป็นของปลอมใช่มั๊ย?”

“ใช่! ฉันพูดเอง แล้วแกจะทำไม?”

แต่ยังไม่ทันที่หลู่ฉีเว่ยจะพูดจบประโยคดีด้วยซ้ำ เขาก็ได้ยินเสียงฉีกกระดาษดังขึ้น และเวลานี้ ฉีเล่ยก็ได้ฉีกจดหมายฉบับนั้นออกเป็นชิ้นเล็กลิ้นน้อย ก่อนจะโยนเศษกระดาษทั้งหมดลงกับพื้น พร้อมกับร้องตวาดใส่หน้าหลู่ฉีเว่ย

“งั้นก็ดี! คุณจำคำพูดของคุณไว้ให้ดีล่ะ ผมหวังว่าคุณจะหาคำอธิบายที่มีเหตุผล ไปตอบคณะกรรมการประจำมณฑลได้!”

หลังจากได้ฟังคำพูดที่เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจของฉีเล่ย หลู่ฉีเว่ยก็ถึงกับใจเสียขึ้นมาทันที และอดที่จะหวาดระแวงไม่ได้..

‘หรือจดหมายฉบับนั้นจะเป็นของจริง?’

‘ไม่! เป็นไปไม่ได้! ยังไงก็เป็นไปไม่ได้! คุณเกาโทรถามผู้อำนวยการจางที่สำนักงานประจำมณฑลแล้วนี่ ไม่น่ามีอะไรผิดพลาด!’

‘ไอ้บ้านี่คงจะหลอกให้ฉันกลัวแน่ๆ!’

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลู่ฉีเว่ยจึงรีบหันไปสั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เหลืออีกสามคนทันที

“ยังจะยืนนิ่งกันอยู่ทำไมอีก? รีบๆไปจับตัวเขาไปส่งตำรวจได้แล้ว!”

ปกติแล้ว เครื่องแบบของพวกเขา มักจะสร้างความหวาดกลัวให้กับคนธรรมดาทั่วไปได้ไม่น้อย แต่กับฉีเล่ยเวลานี้ พวกเขากลับกล้าๆกลัวๆ เพราะรู้ว่าชายหนุ่มสามารถหักแขนหักขาตนเองได้ ด้วยการขยับตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“แกระวังตัวให้ดีเถอะ! แกกล้าทำให้ฉันอยู่ในสภาพนี้ อย่าหวังว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ง่ายๆ!”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนเดิมร้องตะโกนข่มขู่ฉีเล่ย แม้ภายในใจจะหวาดกลัวไม่น้อยก็ตาม แต่เพื่อกู้หน้าตนเอง เขาได้ใช้วิทยุสื่อสารเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยมาเพิ่ม

และเพียงแค่เวลาสั้นๆ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกหลายสิบนาย ก็วิ่งกรูกันเข้ามาในห้อง และหนึ่งในนั้นก็ถึงกับร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโห

“แกกล้าทำถึงขนาดนี้เชียวเหรอ? อย่าคิดว่าจะได้กลับออกไปอีกเลย!”

ในเวลานั้นเอง เกาว่านฮุยที่ยืนใจเต้นแรงจนหัวใจแทบหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ก็ได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า

‘พระเจ้า! นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน?’

หลังจากที่ได้เห็นความแข็งแรงของฉีเล่ยเมื่อครู่ เกาว่านฮุยจึงได้หันไปร้องตะโกนสั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดทันที

“เร็วเข้า! เข้าทั้งหมดนั่นล่ะ! ล้อมจับเขาไว้ให้ได้ อย่าให้หนีไปได้เชียว อีกไม่นานตำรวจก็คงจะมาถึงแล้วล่ะ!”

ดูเหมือนฉีเล่ยจะไม่ยอมออกไปจากที่นี่แน่ เขาลากเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้ตัวเข้ามานั่ง พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ถ้าไม่เชื่อ พวกคุณก็โทรไปสอบถามผู้อำนวยการจ้าว ที่โรงพยาบาลทหารเดี๋ยวนี้ได้เลย แล้วถ้าไม่มีคำอธิบายที่เหมาะสม ผมจะไม่ออกไปจากที่นี่เด็ดขาด!”

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่เข้ามาดูเหตุการณ์ ถึงกับอดรนทนไม่ได้จนต้องตวาดฉีเล่ยกลับไปว่า “นี่แกคิดว่าแกเป็นใคร ถึงได้อ้างผู้อำนวยการจ้าว? ช่างวอนคุกวอนตารางจริงๆ”

ทางด้านเกาว่านฮุยนั้น ได้แต่ยืนมองฉีเล่ยที่นั่งนิ่งอย่างสง่างามอยู่ด้านใน โดยไม่มีทีท่าหวาดกลัว หรือบ่งบอกว่าอยากจะหนีไปจากที่นี่เลยแม้แต่น้อย

เขาเคยพบเจอมิจฉาชีพมาก็มาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เคยพบเห็นมิจฉาชีพที่ถูกจับได้ กลับมีสีหน้าท่าทางที่สงบนิ่ง ไม่กระโตกกระตาก หรือแสดงท่าทีหวาดหวั่นออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย เพราะเท่าที่เขาพบเห็นมา ป่านนี้คงจะต้องรีบวิ่งหนีหางจุกตูดไปแล้ว!

เวลานี้ เกาว่านฮุยได้แต่นึกดีใจที่ยังไม่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายมากไปกว่านี้ นอกจากมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้รับบาดเจ็บนายหนึ่งเท่านั้น ไม่อย่างนั้นแล้ว สถานการณ์คงจะเลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่มาก

แม้จะยังรู้สึกหวาดกลัวฉีเล่ยอยู่บ้าง แต่เกาว่านฮุยก็ได้ร้องตะโกนสั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกครั้ง

“เร็วเข้า! เข้าไปล้อมจับเขาไว้ให้ได้!”

สถานีตำรวจอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก และหลังจากได้รับแจ้ง ผู้กำกับตังผินก็รีบเดินทางมาที่กรมอนามัยด้วยตัวเองทันที เมื่อขึ้นบันไดมา ก็พบคนยืนอออยู่เต็มทางเดินไปหมด และแต่ละคนก็มีสีหน้าท่าทางโมโหไม่น้อย

ผู้กำกับตังผินเดินแหวกฝูงชนเข้าไป ปากก็ร้องตะโกนว่า “หลีกทางหน่อยครับ! หลีกทางให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปหน่อย!”

ผู้คนที่พากันมุงอยู่เต็มทางเดินนั้น ต่างก็พากันแยกเป็นสองฝั่ง เปิดทางให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สามารถเดินเข้าไปได้อย่างสะดวก

“หมอนี่มันไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากที่ไหนกัน ถึงได้กล้าเข้ามาก่อเรื่องในนี้ได้?”

ตังผินล้วงกุญแจมือออกมาจากเอว พร้อมกับเดินเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าท่าทางดุดัน ปากก็พึมพำออกมาด้วยความสงสัย

เขาเคยพบเห็นมิจฉาชีพที่อ้างตัวเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาไม่น้อย แต่ละคนล้วนเป็นชายชรามีหนวดเคราขาวโพลน และด้วยเหตุผลข้อนี้ ตังผินจึงคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้กระบอง

แต่เมื่อเดินเข้าไปในห้อง ภาพของชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำ ที่กำลังนอนร้องคร่ำครวญอยู่กับพื้นด้วยความเจ็บปวด และชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสง่างามนั้น กลับทำให้เขาตกอกตกใจไม่น้อย

ผู้กำกับตังผินจึงรีบคว้ากระบองมาจากมือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนายหนึ่ง ปากก็ร้องตะโกนออกไปว่า

“นี่คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ คุณถูกจับกุมตัวแล้ว ลุกขึ้นเอามือประสานไว้ที่หลังคอ แล้วนั่งยองๆลงกับพื้นเดี๋ยวนี้!”

ผู้กำกับตังผินก็ไม่ต่างจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก่อนหน้านี้ ที่มาถึงก็ใช้กระบองชี้หน้าชายหนุ่ม และกล่าวหาฉีเล่ยเป็นอาชญากรในทันที ในขณะเดียวกันกระบองในมือของตังผิน ก็ฟาดลงใส่ร่างของฉีเล่ยโดยไม่ทันได้สอบถามอะไรเช่นกัน..

ฉีเล่ยเห็นกระบองที่ฟาดลงมาใส่ร่างตน จึงได้เงื้อมือขึ้นจับไว้ทันที!

ผู้กำกับตังผินถึงกับร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโห “นี่แกกล้าขัดขืนการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจเชียวเหรอ? ไม่กลัวกฏหมายบ้างหรือยังไง?”

ระหว่างที่พูดนั้น เท้าของหนึ่งของผู้กำกับตังผิน ก็ได้ถีบเข้าที่ท้องน้อยของฉีเล่ย พร้อมกับแอบคิดอยู่ในใจว่า

‘ไอ้โจรชั่ว! วันนี้ฉันจะซัดแกให้น่วมเลยคอยดู แกรู้จักฉันน้อยไปซะแล้ว!’

ฉีเลยหมุนตัวหลบเล็กน้อย ก่อนจะยกเท้าเตะเข้าที่สีข้างของผู้กำกับตังผินทันทีเช่นกัน!

“พระเจ้า!”

เสียงร้องอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นพร้อมกัน แล้วจู่ๆ ผู้กำกับตังผินก็รู้สึกร่างกายชาไปครึ่งท่อนทันที แล้วร่างของเขาก็ลอยละลิ่วไปกลางอากาศ ก่อนจะร่วงลงกระแทกกับพื้นอย่างแรง..

“ไอ้สารเลว! นี่แกกล้าทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจเชียวเหรอ?”

ผู้กำกับตังผินร้องคำรามออกมาด้วยความโมโห ก่อนจะหันไปตวาดใส่คนที่ยืนมุงดูเหตุการณ์อยู่

“แล้วพวกคุณมายืนมุงดูอะไรกัน?”

“ผมรู้สึกประทับใจในตัวคุณมากจริงๆคุณตำรวจ!”

ฉีเล่ยเอ่ยชมด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก่อนจะพูดต่อว่า “เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เตือน หมวกบางใบเมื่อสวมไปแล้ว คิดจะถอดออกกลับถอดยาก หรือบางทีอาจไม่สามารถถอดออกได้อีกเลยก็เป็นได้..”

เวลานี้ ผู้กำกับตังผินได้แต่นึกเสียใจที่ไม่ได้นำเจ้าหน้าที่ตำรวจมาด้วย คงจะดีไม่น้อย หากเขาสามารถจับตัวผู้ชายคนนี้ไปสอบสวนที่สถานทีตำรวจได้..

แต่ผู้ชายคนนี้กลับร้ายกาจกว่าที่เขาคิดไว้มาก!

แต่ในเมื่อตังผินได้ขึ้นมาเป็นถึงผู้กำกับ แน่นอนว่าเขาต้องมีความสามารถ และเฉลียวฉลาดพอควร เวลานี้ในใจก็ได้แต่คิดว่า เพราะเหตุใดชายหนุ่มตรงหน้าเวลานี้ ถึงได้ต้องหลอกคนอื่นๆว่าตนเองเป็นแพทย์พิเศษด้วย?

นั่นเพราะการเที่ยวปลอมตัวเป็นหมอเก่งๆ ไปหลอกลวงเงินทองจากคนร่ำคนรวย น่าจะง่ายกว่าการแอบอ้างเป็นแพทย์พิเศษของกรมอนามัยแบบนี้!

แต่อีกใจหนึ่งก็แอบคิดว่า หากชายหนุ่มคนนี้เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจริง การได้เป็นแพทย์พิเศษง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ถึงได้เป็นกันตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น? แพทย์พิเศษไม่จำเป็นต้องเป็นหมอที่ผ่านประสบการณ์ และทักษะทางการแพทย์ที่ช่ำชองอย่างนั้นหรือ?