บทที่ 30 พญาอสรพิษตัวน้อยที่น่าหวาดกลัว EnjoyBook
บทที่ 30 พญาอสรพิษตัวน้อยที่น่าหวาดกลัว
เมื่อได้ยินฉู่ชวิ๋นและฮวาชิงหวู่พูดคุยกันทำให้ชายวัยกลางคนสีหน้าเย็นชาขึ้นมา คำพูดของฮวาชิงหวู่เป็นคำพูดที่ร้อนรน ราวกับถูกบังคับอย่างจนปัญญา ส่วนคำพูดของไอ้หนุ่มตรงหน้ามันเต็มไปด้วยความไม่แยแส ราวกับเขาจะทำอะไรก็ได้
“ขอเตือนว่าอย่ามายุ่งเรื่องชาวบ้าน อย่าคิดจะเป็นผู้กล้าช่วยสาวงามผลลัพธ์ที่ตามมาแกรับผิดชอบไม่ไหวหรอก” ชายวัยกลางคนพูดอย่างทะนงตัว
ฉู่ชวิ๋นใช้สายตามองไปยังชายวัยกลางคน เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แต่ว่าผ่านไปสักพักเขาก็ส่งเสียง “เหอะ” ออกมา
ร่างกายของชายวัยกลางคนมีพลังบางอย่างไหลเวียนออกมาเรื่องนี้ทำให้ฉู่ชวิ๋นสนใจนิดหน่อย พลังนี้ไม่น่าจะใช่ลมปราณ ถ้าใช้ก็ต้องบอกว่าเป็นลมปราณที่อ่อนแอมาก หรือว่านี้จะเป็นพลังภายนอก ที่เป็นพลังเริ่มต้นของผู้ฝึกวิชาทั่วไป
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกว่าน่าสนใจเลยปริปากพูดออกมา “นายมาเกเรอยู่หน้าประตูบ้านฉันแล้วยังพูดเตือนฉันไม่ให้ยุ่งเรื่องชาวบ้าน นายไม่รู้สึกว่านี่มันน่าตลกมากเหรอ?”
“ฉันไม่ตลก ถ้าหากว่าแกรู้ว่าฉันแค่ยกมือขึ้นก็สามารถฆ่าแกได้แล้ว แกยังจะคุยโวโอ้อวดอยู่แบบนี้อีกไหม นี่สิถึงเรียกว่าน่าตลก” ชายวัยกลางคนพูดอย่างเหยียดหยาม
แววตาของฉู่ชวิ๋นแสดงถึงความหยอกล้อแล้วส่ายหน้าพูด “จะฆ่าฉัน? ไหนนายลองดูสิ?”
ชายวัยกลางคน “เหอะ” ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและพุ่งเข้าไปเพื่อหวังตบหน้าฉู่ชวิ๋น ฝ่ามือแหวกอากาศ ดูโหดร้ายมาก ท่าทางของฉู่ชวิ๋นทำให้ชายวัยกลางคนไม่สบายใจเลยหวังจะฆ่าก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น!
“ซวบ!”
แสงสว่างเจ็ดสีพุ่งออกมา สอดเกี่ยวฝ่ามือของชายวัยกลางคนเอาไว้หลังจากนั้นก็แทงคอของชายวัยกลางคนจนคอหอยทะลุออกมา
ชายวัยกลางคนรูม่านตาขยายใหญ่ สีหน้าแสดงถึงความไม่น่าเชื่อ สักพักสีหน้าก็ซีดเผือดลงอย่างรวดเร็ว
“อาจารย์…” วัยรุ่นทั้งสองตกใจวิ่งเข้ามาดูศพอาจารย์
“ซวบ!”
แสงสว่างเจ็ดสีพุ่งออกมาอีกครั้ง ร่างกายของวัยรุ่นทั้งสองหยุดชะงักเดินเข้ามาไม่กี่ก้าวก็ล้มลงบนศพของชายวัยกลางคน ที่คอปรากฏรูเลือดขนาดกลาง ๆ ฮวาชิงหวู่ดวงตาเบิกกว้าง ร่างกายสั่นเทา เธอรู้สึกว่าเลือดแข็งตัว
ผู้อาวุโสกลืนน้ำลายลงลำคอ ไม่รู้ว่ากลืนน้ำลายไปกี่รอบ หนังตาชักกระตุกไม่หยุด ภายในพริบตาเดียว ชายวัยกลางคนและวัยรุ่นสองคนที่เอาชนะเขาอย่างง่ายดายตอนนี้กลายเป็นศพไปหมดแล้ว
ฮวาชิงหวู่ ผู้อาวุโส หันคอที่แข็งทื่อมองไปที่ฉู่ชวิ๋นตรงหน้าพวกเขามี พญาอสรพิษตัวเล็กชูคอร่างกายเปล่งประกายแสงเจ็ดสีออกมา ตอนที่พระอาทิตย์ตกดินดูสวยงามเป็นพิเศษ
ผู้อาวุโสและฮวาชิงหวู่สะดุ้งตกใจ ตอนที่พวกเขาพิจารณาพญาอสรพิษตัวเล็กอย่างละเอียด พญาอสรพิษตัวเล็กตัวนั้นก็เอียงหัวและพิจารณาพวกเขาอย่างละเอียดเหมือนกัน
พวกเขาได้แต่คิดขยับก็ยังขยับไม่ได้ ร่างกายแข็งทื่อ เพราะพองูตัวเล็กนี้ ถึงมองดูแล้วจะสวยงามมากแต่กลับอันตราย ศพทั้งสามที่ตายอยู่ด้านข้างเป็นหลักฐานอย่างดี
ฉู่ชวิ๋นถอนหายใจอย่างจนปัญญาและเดินไปเคาะหัวเล็ก ๆ ของ พญาอสรพิษเบา ๆ
“ครั้งหน้าฉันไม่อนุญาต ห้ามออกมาเองตามอำเภอใจ เข้าใจไหม?” ฉู่ชวิ๋นพูด เดิมทีเขาอยากจะลองรู้จักขอบเขตของพลังภายนอกแต่ผลลัพธ์คือพญาอสรพิษ จัดการฆ่าให้อย่างฉับไวก่อนที่เขาจะห้ามซะอีก
จะว่าไป พญาอสรพิษถึงอย่างไรก็เป็นสัตว์ร้าย คาดว่าบนโลกนี้ถ้ามีคนรู้จักมันคงทำให้เกิดเรื่องน่ารำคาญที่ไม่จำเป็นมากน่าดู
พญาอสรพิษก็คล้ายกับเด็กที่ทำความผิด ใช้หัวเล็ก ๆ ของมันถูมือของฉู่ชวิ๋นอย่างออดอ้อน ถ้าหากว่ามันสามารถพูดได้ แน่นอนมันจะต้องพูดว่ามันแค่อยากช่วยคุณเท่านั้นเอง
“เอาละ กลับมาเถอะ!!” ฉู่ชวิ๋นพูด
พญาอสรพิษเลื่อยไปที่ข้อมือของฉู่ชวิ๋นและแปลงร่างกลายเป็นกำไลเจ็ดสีอีกครั้ง เหตุการณ์นี้ทำให้ฮวาชิงหวู่และผู้อาวุโสลูกตาแทบจะหลุดออกมาพญาอสรพิษตัวเล็กนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเชื่อฟังคำพูดของฉู่ชวิ๋น ปาฏิหาริย์เกินไปแล้ว
ต่อมา ฉู่ชวิ๋นก็จัดการใช้ค่ายกลเก้ามังกรเพลิงสุริยันทำให้ศพทั้งสามหายไปอย่างไม่เหลือร่องรอย พอแข็งแกร่งขึ้นอะไรมันก็ง่ายดีจริง ๆ ฉู่ชวิ๋นคิดในใจ ครั้งก่อนที่ใช้ค่ายกลเก้ามังกรเพลิงสุริยัน ลมปราณเขาเกือบจะหมดลง ตอนนี้เขาสามารถใช้มันได้อย่างง่ายดาย
ฮวาชิงหวู่ตัวสั่นเทา เรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในฝันร้าย ทันใดนั้นผู้อาวุโสก็ล้มลง ใบหน้าซีดเผือด
“ผู้อาวุโส…” ฮวาชิงหวู่ดวงตาแดงก่ำ มือไม้อ่อนไปหมด
“ขอร้องละ ช่วยผู้อาวุโสด้วย” ฮวาชิงหวู่พูดขอร้องฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นถอนหายใจ น่ารำคาญจริง ๆ เขาไม่มองก็รู้ว่า ผู้อาวุโสคนนี้ถูกทำร้ายร่างกาย เขาเดินไปมองใช้มือข้างหนึ่งวางบนหน้าอกของผู้อาวุโสแล้วถ่ายทอดลมปราณให้? สีหน้าของผู้อาวุโสก็ดีขึ้นมา หลังจากนั้นฉู่ชวิ๋นก็เก็บมือตัวเอง บาดแผลของผู้อาวุโสไม่นานก็หายสนิท
“ผู้อาวุโส เป็นยังไงบ้าง?” ฮวาชิงหวู่ถามด้วยความเป็นห่วง สายตาผู้อาวุโสเต็มไปด้วยความตกใจ เขายืนขึ้นและหันไปคารวะฉู่ชวิ๋น
“ขอบคุณมาก ๆ ครับนายท่าน!”
ฉู่ชวิ๋นโบกมือและมองไปยังฮวาชิงหวู่ “พวกเธอกลับไปก่อนเถอะ! มีเรื่องอะไรแล้วฉันจะบอกเธอ”
ฮวาชิงหวู่หยุดชะงักสักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดเสียงเบา ๆ “ฉันยังไม่รู้ชื่อของคุณเลย?”
ฉู่ชวิ๋น มึนงงไปสักพักก่อนพูดขึ้นมา “ฉันชื่อ ฉู่ชวิ๋น”
ฮวาชิงหวู่แววตาเปล่งประกายแปลก ๆ แล้วหันมายิ้มให้ฉู่ชวิ๋นหลังจากนั้นก็พยุงผู้อาวุโสขึ้นรถตัวเองกลับไป ฉู่ชวิ๋นกำลังเตรียมตัวกลับเข้าไปในบ้านพักตากอากาศ รถที่อยู่ด้านข้างก็เปิดประตูออกและมีคนวิ่งมาอย่างไวก่อนจะคุกเข่าลงต่อหน้าฉู่ชวิ๋น
“นายท่าน ผมรู้ว่าตัวเองผิดไปแล้ว ขอให้นายท่านให้อภัยผมเถอะ…” เจิ้งกันคุกเข่าและพูดไม่หยุด ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้ว เขาไม่ได้สนใจเจิ้งกันแถมยังเดินผ่านเข้าไปในบ้าน
ในบ้านมีพร้อมทุกอย่าง สักพักเขาก็เห็นเจิ้งก่วงอี้คุกเข่าอย่างน่าเวทนาอยู่บนโซฟาในบ้านของเขาน่าจะเป็นเฉินฮั่นหลงพาเข้ามา พอเขาเห็นฉู่ชวิ๋นเขาก็รีบแสดงความเคารพแต่ผลลัพธ์มือคือไม้อ่อนจนทำอะไร ไม่ถูกร่างกายที่นั่งท่าคุกเข่าตลอดอยู่บนโซฟาก็ล้มลงมา ฉู่ชวิ๋นเดินผ่านไปนั่งอยู่บนโซฟาตรงข้าม
เจิ้งก่วงอี้รีบใช้มือทั้งสองข้างดันร่างกายตัวเองให้ลุกขึ้นมา เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและภาวนาขอให้ฉู่ชวิ๋นเห็นใจ
“รู้สึกเป็นไงบ้าง ประธานเจิ้ง?” ฉู่ชวิ๋นถามอย่างหยอกล้อและมองเจิ้งก่วงอี้
“ขอให้นายท่านได้โปรดกรุณาช่วยผมด้วย ผมผิดไปแล้ว…ขอร้องละนายท่านได้โปรดเมตตากรุณา ผมรู้ว่าผมผิดจริง ๆ….” เจิ้งก่วงอี้ทั้งพูดและก้มหัวเคารพไปด้วย
ตลอดเวลา สองถึงสามเดือนนี้ พอเขาเห็นว่าเขานั่งคุกเข่าแบบนี้ก็ถูกผู้คนหัวเราะเยาะตลอด จนไม่มีกะจิตกะใจสนใจบริษัท ธุรกิจก็ตกต่ำลงเรื่อย ๆ การดำรงชีวิตก็ไม่สะดวกสบายนัก พูดได้เลยว่าไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ การใช้ชีวิตกับความเป็นอยู่ก็ต้องมีคนมาปรนนิบัติดูแล ไม่งั้นแย่ยิ่งกว่าขอทาน กลายเป็นคนพิการแบบนี้ ทำให้เขาเจ็บปวดเสียใจจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว
“ตอนนี้นายมีอยู่สองทางเลือก ทางเลือกแรกคือมารับใช้ฉัน ทางเลือกที่สอง คุกเข่าอยู่แบบนี้ตลอดชั่วชีวิต” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างเย็นชา
“ผมยอมรับใช้นายท่านครับ หลังจากนี้เป็นต้นไปจะทำทุกอย่างที่นายท่านต้องการ” เจิ้งก่วงอี้แทบจะไม่ได้คิดอะไรรีบพูดทันที
“ได้ แกรีบหยดเลือดออกมา!” ถึงแม้ว่าเจิ้งก่วงอี้จะไม่เข้าใจว่าฉู่ชวิ๋นต้องการจะทำอะไรแต่ก็ไม่กล้ารอช้ารีบกัดนิ้วมือตัวเองทันที ฉู่ชวิ๋นแค่กวักมือ หยดเลือดก็ลอยอยู่ตรงหน้า
เวลาต่อมา เจิ้งก่วงอี้ก็เหงือแตก เขาและไป๋เหรินเจี๋ยเหมือนกันถูกฉู่ชวิ๋นใช้พลังควบคุมจิตวิญญาณเพื่อเป็นหลักประกัน
“เจ้านาย!” เจิ้งก่วงอี้ก้มหัวและพูดด้วยความเคารพ
“หลังจากนี้ นายเรียกฉันว่านายท่านเหมือนเดิมเถอะ!” ฉู่ชวิ๋นพูด
เจิ้งก่วงอี้และไป๋เหรินเจี๋ยไม่เหมือนกัน เจิ้งก่วงอี้แค่ล่วงเกินเขา ส่วนไป๋เหรินเจี๋ยกลับมีจิตใจที่ไม่ซื่อสัตย์ต้องการใช้ประโยชน์จากเขา
“ครับ!” เจิ้งก่วงอี้ตอบรับด้วยความเคารพ
“นายลุกขึ้นมาเถอะ!” ฉู่ขวิ้นพูด
“ครับ!” เจิ้งก่วงอี้รีบลุกขึ้นมาทันที
ทันใดนั้น เขาก็ยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม สีหน้าแดงเถือกเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ผ่านไปนานเขาถึงมีปฏิกิริยาตอบกลับ เขาลุกขึ้นมาได้ขาของเขากลับมาเหมือนเดิมแล้ว “ขอบคุณครับนายท่าน…..ขอบคุณครับนายท่าน…” เจิ้งก่วงอี้พูดสับสนไปหมด เขาพูดแล้วก็คุกเข่าลงแต่กลับถูกฉู่ชวิ๋นห้ามไว้
“นายกลับไปเถอะ หลังจากนี้ถ้าจะทำอะไร ฉันจะไปหานายเอง”
“ได้ครับ!”
บ้านพักตากอากาศในที่สุดก็กลับมาสงบ ตอนที่ฉู่ชวิ๋นกำลังปิดประตูบ้านก็มีรถขับเข้ามาจอดด้วยความรวดเร็ว ฉู่ชวิ๋นหยุดเดินและมองไปยังเฉินฮั่นหลงที่กระโดดลงจากรถรีบวิ่งมา
“นายท่าน คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?” เฉินฮั่นหลงถามด้วยความเป็นห่วง ในใจฉู่ชวิ๋นรู้สึกอบอุ่น นานแล้วที่ไม่มีคนมาใส่ใจตัวเขาแบบนี้
“ฉันไม่เป็นไร” ฉู่ชวิ๋นพูดพร้อมรอยยิ้ม คาดว่าเฉินฮั่นหลงมาหาเขาหลายครั้งแล้วแต่ไม่เจอตัว เลยถามแบบนี้ออกมา
“เข้ามาคุยกันเถอะ!” ฉู่ชวิ๋นพูด ทั้งสองคนก็เดินเข้ามายังบ้านพักตากอากาศ
“นายท่าน นายท่านยังจำที่ผมแนะนำก่อนหน้านี้ได้ไหม?” พึ่งจะนั่งลงไปเฉินฮั่นหลงก็ปริปากพูดออกมา
“นายพูดคือเรื่องหยดน้ำพวกนั้น?” ฉู่ชวิ๋นจำได้ว่าเฉินฮั่นต้องการขายหยดน้ำในบ้านพัก
เฉินฮั่นหลงพยักหน้าและพูดออกมา “นายท่าน ผมร่างแผนการมาแล้ว นายท่านอยากจะดูสักหน่อยไหม?” เขาพูดและเอาแฟ้มเอกสารออกมา
ฉู่ชวิ๋นรีบโบกมือปฏิเสธ เขาไม่มีเวลาดูของพวกนี้ “ไม่ใช่ว่าฉันพูดไปแล้วเหรอ? ของพวกนี้ให้นายจัดการเองได้เลย”
“งั้นผมพูดคร่าว ๆ ก่อน นายท่านลองฟังดูสักหน่อย ถ้าหากว่ามีข้อบกพร่องอะไรขอให้นายท่านชี้แนะได้เลย” ฉู่ชวิ๋นก็จำใจยอมฟังและได้แต่พยักหน้าบอกใบ้ให้เฉินฮั่นหลงพูด
“ผมวางแผนเอาหยดน้ำพวกนี้มาแบ่งเป็น สามระดับ ระดับสาม คือผ่านการทำให้เจือจาง ประสิทธิภาพมีเพียงแค่ หนึ่งในสิบของหยดน้ำเดิม ขวดละสิบกรัม ราคาขายหนึ่งแสนหยวน”
“หนึ่งแสนหยวน?” ฉู่ชวิ๋นเบิกตาโพลง ที่เขาจะตกใจเพราะหยดน้ำพวกนี้เดิมทีไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย ตอนนี้คาดไม่ถึงว่าเฉินฮั่นหลงจะกล้าตั้งราคาสูงขนาดนี้ ขายหนึ่งแสนในปริมาณสิบกรัมและยังผ่านการเจือจางมาแล้วคนซื้อมันต้องโง่ขนาดไหนกันนะ
“นายท่านก็รู้สึกว่าราคามันต่ำไปใช่ไหม?” เฉินฮั่นหลงถามอย่างระมัดระวัง
“ฉันรู้สึกว่า…….ราคานี้กำลังดี!” ฉู่ชวิ๋นยับยั้งจิตใจที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของตัวเอง เขาคิดในใจว่าราคานี้ขายออกก็แปลกมากแล้ว
“อ้อ! งั้นผมจะพูดต่อ ระดับสอง ทุกขวดก็ยังอยู่ในปริมาณ สิบกรัมแต่ประสิทธิภาพจะเป็น หนึ่งในห้าของหยดน้ำเดิม ราคาขายสิบล้านหยวน”
ฉู่ชวิ๋นเกือบสำลักน้ำลายตัวเอง ถึงเขาจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการหาเงินแต่ก็รู้สึกว่าเฉินฮั่นหลงมีความคิดพิสดารมาก
“ระดับหนึ่งคือของเหลวที่เป็นหยดน้ำเดิมพวกนี้เลย ทุกขวดปริมาณ สิบกรัมเหมือนกัน ราคาขาย ห้าล้าน…ดอลลาร์” ฉู่ชวิ๋นรู้สึกตกใจพอไม่รู้จะบอกยังไงเฉินฮั่นหลงดี
“นายลองไปทำดูสิ! เรื่องพวกนี้นายก็ตัดสินใจด้วยตัวเองเลย ฉันไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว”
เฉินฮั่นหลงลุกขึ้นและพูดอย่างจริงจังว่า “ขอบคุณมากครับนายท่านที่เชื่อใจผม ผมรับประกันว่าจะไม่ทำให้นายท่านผิดหวัง”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าเบา ๆ! จริง ๆ แล้วในใจกลับไม่ค่อยเชื่อใจเฉินฮั่นหลงเท่าไรเขาคิดว่าราคาแบบนี้ขายออกก็บ้าแล้ว!
ถ้าหากว่าเฉินฮั่นหลงรู้ความคิดของฉู่ชวิ๋น เขาเองก็ตกใจเพราะหยดน้ำพวกนี้คืออะไร? มันคือยาของเทพเซียน! ราคาพวกนี้เขารู้สึกว่าต่ำมากแล้ว
จริง ๆ แล้วตามธุรกิจการค้าขาย ฉู่ชวิ๋นคือคนโง่มาก ๆ คนหนึ่ง
“นายท่านยังมีอีกเรื่อง หยดน้ำพวกนี้อยากให้นายท่านคิดชื่อขึ้นมาให้”
“ชื่อ?” ฉู่ชวิ๋นคิดแล้วคิดอีก “งั้นเรียก หยดน้ำวิญญาณเทพ! เป็นไง?”
“นายท่านคิดชื่อได้เป็นธรรมชาติมากนัก” เฉินฮั่นหลงพอใจกับชื่อนี้มาก
“นายท่าน งั้นผมไปทำงานแล้วนะ”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าแต่ก็พูดออกมาทันที “รอก่อน!”
เฉินฮั่นหลงที่เดินมาถึงประตูก็รีบหันกลับมาและพูดด้วยความเคารพ “นายท่านยังมีเรื่องอะไรอีกเหรอครับ?”
“นายติดต่อไป๋เหรินเจี๋ยแล้วถามเรื่องที่ให้ไปค้นหาบ่อนใต้ดินจินหยินฮวาว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว?”
“ครับ ผมจะไปทำเดี๋ยวนี้เลย!” เฉินฮั่นหลงพูดตอบรับทันที