ตอนที่ 20 กวนใจเสียจริง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 20 กวนใจเสียจริง

ณ หออี้หง ห้องเซียนยิน

ด้านนอกหยาดฝนตกลงมากระทบเป็นเสียงดนตรี  ด้านในมีมือเรียวบางคู่หนึ่งลูบไล้ไปที่ซู่ฉิน บทกวีที่ร้องบรรเลงอยู่นั้นคือมองดูเจียงหนานที่ฟู่เสี่ยวกวนแต่งขึ้นนั่นเอง

บทกวีจบลง เสียงเพลงยังคงดังก้องอยู่ภายใน

 “เยี่ยม! แม่นางตั่วเอ๋อร์มีทักษะการบรรเลงและเสียงร้องที่มิอาจหาใครมาเทียบได้ ในวันนี้เมื่อได้ยินกับหูของตัวเอง ช่างไม่ธรรมดาเสียจริง ๆ!”

ในห้องนั้นนอกจากฝานตั่วเอ๋อร์แล้ว ก็ยังมีอีกสองคน ผู้ที่เอ่ยคำชมนั้นคือชายหนุ่มในชุดสวยงามที่นั่งอยู่ด้านขวา

เขาสวมใส่ชุดผ้าไหม ดวงตาคมเข้มภายใต้คิ้วหนาเป็นระเบียบนั้น คล้ายกับมีแรงดึงดูดบางอย่าง

เขามีนามว่าหยูหงอี้ หยูนั้นคือแซ่ของราชวงศ์ เขาผู้นี้คือบุตรชายคนโตของชินหวางหยูอันฝู อายุเพียง 18 ปี

ผู้ที่อยู่ด้านซ้ายเขานั้นคือคุณชายที่มีใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยนแต่ทรงพลัง เมื่อฝานตั่วเอ๋อร์บรรเลงจบ นางก็วางเครื่องดนตรีในมือลงแล้วรินเหล้าให้แก่คุณชายทั้งสอง สิ่งนี้มิใช่เหล้าของหออี้หง แต่เป็นเหล้าเทียนเซียงที่หยูหงอี้นำติดตัวมาด้วย

“กวีนี้……ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ประพันธ์งั้นหรือ?” คุณชายผู้อ่อนโยนเอ่ยถามขึ้น

“ถูกต้องแล้ว ไม่กี่วันก่อนหน้านี้มีผู้มีความสามารถทั้งสี่เดินทางมาที่นี่เพื่อเลี้ยงอำลา จางเหวินฮั่นได้ทิ้งกวีบทนี้ไว้ให้แก่ข้า พวกเขากล่าวว่านี่คือผลงานของคุณชายตระกูลฟู่”

คุณชายท่านนั้นมิได้หยิบถ้วยเหล้า แต่กลับหยิบถ้วยชาขึ้นจิบ

“กวีบทนี้ช่างงดงามเสียจริง แน่นอนว่าแม่นางก็บรรเลงได้อย่างไพเราะเช่นกัน” กล่าวจบก็หันไปทางหยูหงอี้แล้วยังถามว่า “เทียบเชิญนั้นเจ้าได้ส่งไปให้คุณชายตระกูลฟู่แล้วหรือยัง?”

“ส่งไปเรียบร้อยแล้ว….แต่เขาจะเดินทางมาหรือไม่นั้น ข้าก็มิอาจทราบได้”

“เหตุใดกัน?” คุณชายท่านนั้นถามขึ้นด้วยความสงสัย

 “……เจ้าคงไม่รู้ว่า คุณชายท่านนี้ปฏิเสธคำเชิญจากสำนักศึกษาป้านชาน ทั้งยังปฏิเสธการเชิญชวนจากสามผู้มีความสามารถ……ผู้คนล้วนพากันคิดว่าเขาไม่มีความสามารถอย่างที่กล่าวอ้าง เมื่อก่อนชายผู้นี้ไม่เคยร่ำเรียนตำราอย่างจริงจัง ทั้งยังทำเรื่องเสเพลไว้มากมาย จนตัวข้าเองก็ยังอยากต่อยเขาสักหมัด เรื่องราวหลังจากนั้น ก็เหมือนกับที่แม่นางต่งบอกกับเจ้า เพียงแต่บัดนี้ผู้คนในหลินเจียงล้วนเข้าใจว่ากวีทั้งสองบท เขาได้ไหว้วานให้ผู้อื่นประพันธ์ให้แล้วตัวเองค่อยคัดลอกมาอีกที”

หยูหงอี้กางแขนออกพร้อมกับขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ว่าผู้อื่นจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าเชื่อ บนโลกใบนี้จะมีปาฏิหาริย์ได้จริงหรือ เจ้านั่นแม้แต่ตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าก็ยังอ่านไม่จบ จะสามารถแต่งบทกวีที่งดงามถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ทั้งยังบังอาจจะขึ้นเป็นสี่ผู้มีความสามารถแห่งหลินเจียงอีก ช่างน่าขันยิ่งนัก”

มุมปากของคุณชายเผยอขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นฟันสีขาวราวกับหยก

“ไปเถิด ข้าเชื่อในคำกล่าวของชูหลาน”

พูดจบเขาก็ลุกขึ้น หยูหงอี้ดื่มเหล้าในถ้วยจนหมดและลุกยืนตามมา ฝานตั่วเอ๋อร์ทำท่าจะเดินไปส่งทั้งสอง ทันใดนั้นคุณชายผู้อ่อนโยนได้หันหลังกลับมากล่าวกับฝานตั่วเอ๋อร์ว่า “แม่นางตั่วเอ๋อร์ ท่านเชื่อหรือไม่?”

ฝานตั่วเอ๋อร์ตะลึง นางยิ้มแล้วตอบว่า “ตั่วเอ๋อร์เพียงต้องการบทกวีที่งดงามเพียงเท่านั้น มิได้ประสงค์ทราบว่าจริงหรือเท็จ”

เขาพยักหน้ากล่าวว่า “กลางคืนของวันที่หนึ่งเดือนหก มีงานเลี้ยงที่ซ่างหลินโจว แม่นางตั่วเอ๋อร์มิทราบว่าพอจะมีเวลาว่างมาขับร้องบทกวีทั้งสองบทนี้ในงานหรือไม่?”

ซ่างหลินโจวเป็นเกาะบนเมืองนี้ เป็นสถานที่ส่วนบุคคลของท่านชินอ๋อง หากมิใช่บุคคลสำคัญที่เชิญโดยเรือนชินอ๋อง คนธรรมดาทั่วไปมิอาจจะเข้าไปได้ ดังนั้นฝานตั่วเอ๋อร์จึงตอบรับโดยมิได้ลังเล

เมื่อทั้งสองเดินออกจากหออี้หง ก็มีผู้รับใช้ยืนกางร่มและเชิญขึ้นรถม้า

หยูหงอี้จึงได้ถอนหายใจ ส่ายหัวแล้วเอ่ยถามว่า “องค์หญิงเก้าขอรับ เหตุใดท่านจึงเดินทางมายังหลินเจียงเพียงเพื่อเหตุผลนี้?”

คุณชายผู้อ่อนโยนผู้นั้นบัดนี้จึงได้เผยโฉมที่แท้จริงออกมา นางยิ้มและเอ่ยว่า “อย่าเอ่ยว่าองค์หญิงเก้าเด็ดขาด เรียกข้าว่าน้องเก้าก็พอ ที่นี่คือหลินเจียง—— เจ้าคงไม่รู้ว่าเวลาที่ต่งชูหลานเอ่ยถึงคุณชายผู้นั้น ดวงตานางช่างเป็นประกายยิ่งนัก”

“ท่านหมายความว่าแม่นางชูหลานรู้สึกดีต่อเจ้านั่นอย่างนั้นหรือ?”

 “เป็นเช่นนั้นล่ะ?นางเดินทางไปจัดการธุระที่บ้านมารดาเรียบร้อยแล้วก็รีบเดินทางมาหาข้า เพื่อเล่าเรื่องราวของคุณชายผู้นั้นให้ข้าฟัง ข้าบอกเจ้าไปแล้วเจ้าต้องปิดปากให้เงียบเชียว ข้ามองจากสายตาก็พอจะรู้ว่านางประทับใจคุณชายผู้นี้เข้าเสียแล้ว เพียงแต่นางอาจจะยังไม่รู้ตัวเท่านั้น”

หยูหงอี้ยกมือมาลูบหน้าผาก นี่มันเรื่องอันใดกัน!

“เยี่ยนซีเหวินเล่า? ต่อให้เจ้านั่นสามารถแต่งกวี 2 บทนั้นด้วยตนเอง แต่จะสู้กับเยี่ยนซีเหวินได้อย่างไร?องค์หญิงเก้าของข้า ได้โปรดช่วยกลับไปตักเตือนแม่นางชูหลานเถิด ชายผู้นั้นมิใช่คนดีแต่อย่างใด ตัวข้าอยู่ที่หลินเจียงมาตลอด ย่อมรู้จักเจ้านั่นดีกว่าแม่นางชูหลาน……ตอนนี้นางคงถูกมนต์สะกดเป็นแน่แท้”

“เหตุเพราะข้าไม่เชื่อจึงได้เดินทางมาดูด้วยตาของตนเอง ว่าเขานั้นจะเก่งจริงอย่างที่ชูหลานกล่าวหรือไม่”

“นางกล่าวว่าอย่างไร?”

 “นางกล่าวว่า……ฟู่เสี่ยวกวนนี้ไม่เหมือนผู้อื่น เป็นคนที่น่าสนใจมากทีเดียว

“เพียงเช่นนี้?”

“จริงสิ เจ้ามองดูโคมแดงที่แขวนตลอดริมแม่น้ำนี้ ยวี๋ฝูจี้ เซียงเฉวียน เทียนฉุน เจ้าลองนึกย้อนดูสองวันมานี้สิ มีขบวนตีกลองเคาะฆ้องถือป้ายผ้าเดินไปตามท้องถนน เขาช่างแตกต่างไปจากผู้อื่นจริง ๆ ”

หยูหงอี้รู้สึกโมโหขึ้นมาในทันที

“สิ่งเหล่านี้ก็แค่ดึงดูดความสนใจจากสายตาของชาวบ้านเพียงเท่านั้น ท่านคิดว่ามีประโยชน์อันใด? อย่างมากก็ทำให้ยวี๋ฝูจี้ขายเหล้าได้มากกว่าเดิมแล้วอย่างไรต่อ? เขาเป็นเพียงซิ่วไฉ อีกทั้งยังได้ยินมาว่าบิดาของเขาใช้เงินซื้อตำแหน่งนี้มา ท่านจงไปคิดไตร่ตรองดูเถิดว่า วิสัยทัศน์ของเขาเปรียบกับเยี่ยนซีเหวินได้หรือไม่? ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงพ่อค้า แม้เขาจะมีเงินทองจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็เป็นได้เพียงพ่อค้าเท่านั้น!”

องค์หญิงเก้าขมวดคิ้วมองมาที่เขา ในสมองเธอครุ่นคิดชั่วครู่ สิ่งที่หงอี้พูดเมื่อครู่……ดูคล้ายจะเป็นความจริง

 “อย่าได้ใส่ใจเลย อย่างไรเสียข้าเองก็อยากมาเห็นด้วยตาของตนเอง……”

……

หลินเจียงนั้นฝนตก ในขณะที่จินหลิงพระจันทร์ส่องสว่าง

ไฟในจวนต่ง ณ ตรอกหวู่อี้นั้นค่อย ๆ ดับลงทีละดวง มีเพียงดวงไฟในห้องเล็กที่ห่างออกไปเท่านั้นที่ยังคงสว่างอยู่

นี้คือห้องของต่งชูหลาน นางนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะหนังสือ สายตามองไปนอกหน้าต่าง

บนโต๊ะนั้นมีกระดาษวางอยู่ บนนั้นคือตัวอักษรที่มองแล้วไม่สบายตานัก

สิ่งนี้คือกวีที่ฟู่เสี่ยวกวนแต่งให้แก่นาง นางมิเคยให้ผู้อื่นเห็น แม้แต่เพื่อนสนิทอย่างองค์หญิงเก้าหยูเวิ่นหวิน นางก็ไม่ได้ให้ดู

นางเดินทางกลับจากหลินเจียงเป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองนั้นจิตใจมักไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หยูเวิ่นเหวินกล่าวว่า……นางมีคนที่ชอบแล้วใช่หรือไม่?

ใช่หรือมิใช่?

ต่งชูหลานเองก็มิอาจรู้ได้

หากมิใช่ แล้วเหตุใดจึงมักนึกถึงเขาอยู่เสมอ?

หากใช่……แต่เวลาที่รู้จักกันก็เพียงไม่กี่วัน นางเข้าใจเขาดีแล้วอย่างนั้นหรือ?

อีกอย่างหนึ่ง เขาเป็นเพียงพ่อค้า มียศเพียงซิ่วไฉ บิดานั้นอาจยอมรับได้ แต่มารดาของนางจะต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน

มารดาของนางถูกชะตากับเยี่ยนซีเหวินเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับเยี่ยนซีเหวินนั้น นางไม่ได้มีความรู้สึกใด ๆ ต่อเขา ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นบุรุษที่เพียบพร้อมทุกอย่าง แต่นางก็รู้สึกว่าเขาไม่น่าสนใจเอาเสียเลย มีความฝักใฝ่ในหนังสือมากและทะเยอทะยาน ในสายตาของมารดานางนั้น นี่คือบุคคลที่มีความรู้ รักในหนังสือมีอนาคตที่สดใส แต่นางหาได้ชอบไม่

นางมีความสับสนเป็นอย่างยิ่ง สายตาก็วนมาบรรจบที่กระดาษนั้นอีกครั้งหนึ่ง

แยกจากกันจะฝากฝังความรู้สึกได้เยี่ยงไร?

ขมิ้นน้อยคิดคำนึงนกนางแอ่น……

ช่างกวนใจเสียจริง!

นางหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง หยิบพู่กันและเขียนอักษรหนึ่งบรรทัดว่า

เพื่อปณิธานแห่งฟ้าดินได้ยืนหยัด เพื่อชะตามวลประชาที่มั่นคง เพื่อสืบทอดความรู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อสันติสุขในทุกสมัย

 “หากเจ้าทำได้……ก็คงดีไม่น้อย”