บทที่ 19 แมวน้อยแสนเกียจคร้าน

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

สิบเก้า

แมวน้อยแสนเกียจคร้าน

เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยถามก็ตะลึงงัน พลันเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที

สีหน้าของเด็กหนุ่มยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม สายตาที่มองมาก็เย็นชา… ไร้ซึ่งความรู้สึกใด

เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจทันที…

เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนฉลาด ที่ผ่านมาเรื่องเธอแอบขโมยของกินมาซ่อนเอาไว้ไม่รอดพ้นสายตาของเขาได้ แต่เขาไม่เคยปริปากพูดเรื่องนี้เลย บางทีเขาอาจคร้านจะสนใจเรื่องของเธอก็เป็นได้ จึงไม่เปิดเผยความลับนั้นออกไป

ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใดก็ตาม ขอเพียงเด็กหนุ่มไม่พูดถึงเรื่องนั้นก็พอแล้ว เมื่อคิดเช่นนั้นเธอก็โล่งใจไม่น้อย

เสวี่ยเจียเยว่ตอบเขาอย่างไม่เสแสร้ง “ใช่ วันๆ ท่านแม่ให้ข้ากินน้อยเช่นนั้น ข้าไม่ใช่นกเสียหน่อย ก็ต้องมีหิวบ้าง หากไม่อยากให้ท้องหิว ข้าก็ทำได้เพียงต้องแอบขโมยของกินมาซ่อนไว้เท่านั้น”

จากนั้นเธอก็หยิบถุงผ้าใบเล็กที่ใช้ใส่ข้าวสาลีคั่วออกมาจากกระบุงของตน ก่อนจะส่งให้เสวี่ยหยวนจิ้ง

“นี่เป็นข้าวสาลีคั่วที่เหลือ ข้าขโมยเมล็ดข้าวสาลีมาตอนท่านแม่ใช้ให้ข้าตากไว้ในลาน และอาศัยช่วงที่นางไม่อยู่ทำให้มันกลายเป็นข้าวสาลีคั่ว พอข้าหิวมากๆ ก็จะหยิบขึ้นมากินทีละนิด ท่านอยากจะลองชิมดูสักหน่อยหรือไม่ อร่อยมากนะ”

สายตาของอีกฝ่ายดูใจกว้างไม่น้อย ทำให้เสวี่ยหยวนจิ้งถึงกับตะลึงงัน เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินประโยคที่เขาถาม จะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก และรีบร้อนหาคำมาโต้แย้ง แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะไม่แก้ตัวแม้แต่คำเดียว ทั้งยังพูดออกมาอย่างหมดเปลือก

เสวี่ยหยวนจิ้งก้มลงมองถุงผ้าหยาบ เห็นได้ชัดว่าถุงผ้าใบนี้คนตรงหน้าคงทำขึ้นเอง ไม่เพียงเย็บปักไม่ประณีต ยังเอาผ้าหลายชิ้นมาเย็บต่อกัน เมื่อมองดูภายในถุงผ้า ก็เห็นว่ามีข้าวสาลีคั่วอยู่ประมาณสองสามกำ

เสวี่ยหยวนจิ้งยอมรับว่าข้าวสาลีคั่วเหล่านั้นมีกลิ่นหอมมากจริงๆ แต่เขาเป็นคนที่ควบคุมจิตใจตนเองได้ดี อีกทั้งเมื่อครู่เขาเพิ่งกินหมั่นโถวไปสองลูก และดื่มน้ำร้อนไปอีกหนึ่งถ้วย จึงไม่รู้สึกหิวแล้ว

เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยื่นมือไปรับถุงผ้าใบนั้นมา

หลังจากหยิบข้าวสาลีคั่วสองเม็ดขึ้นมากิน เขาก็เก็บถุงผ้าโดยไม่พูดอะไร จากนั้นหยิบถ้วยดินเผาเนื้อหยาบอีกใบออกมาจากกระบุง ก่อนจะเทน้ำร้อนลงไป แล้วส่งให้เสวี่ยเจียเยว่พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ดีมาก็ดีกลับ”

ในน้ำเสียงนั้นยังแฝงความรังเกียจอยู่เล็กน้อย ราวกับการมีไมตรีในครั้งนี้เป็นเพราะเขากินข้าวสาลีคั่วของเสวี่ยเจียเยว่ไปแล้ว จึงต้องให้ของตอบแทนเท่านั้นเอง

เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ขอเพียงได้ดื่มน้ำร้อนเธอก็ดีใจมากแล้ว

เธอรับถ้วยน้ำร้อนใบนั้นมาด้วยความดีใจ จากนั้นก็ยกขึ้นดื่มหนึ่งอึก รู้สึกราวกับกระแสความอบอุ่นไหลเข้าสู่ขั้วหัวใจ ร่างกายพลันอบอุ่นขึ้นมาในชั่วพริบตา

เมื่อเธอดีใจใบหน้าก็ประดับด้วยรอยยิ้มเปล่งประกาย ตาเล็กหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ระยิบระยับราวกับผิวน้ำตอนแสงแดดส่องกระทบก็มิปาน

“ข้าวสาลีคั่วอร่อยหรือไม่”

คนบางคนมีรอยยิ้มเป็นเสน่ห์มาตั้งแต่กำเนิด เสวี่ยหยวนจิ้งไม่กล้ามองรอยยิ้มของเสวี่ยเจียเยว่ตรงๆ เพราะมองทีไรหัวใจเขาก็ยากจะต่อต้านทุกที

“อือ” เป็นคำตอบที่ห้วนและเย็นชาอย่างมาก จากนั้นเขาก็หันไปมองต้นลี่ชู่[1]ที่อยู่ด้านข้าง

ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย ในความทรงจำของเธอ ตอนอยู่ในเรือนเสวี่ยหยวนจิ้งมักจะทำท่าทางเย็นชาเช่นนี้เสมอ เธอพูดด้วยเขาก็ไม่เคยสนใจด้วยซ้ำ หากตอบคำว่า ‘อือ’ ออกมาได้ ก็เพียงพอที่จะทำให้เธอรู้สึกเบิกบานใจได้ทั้งวันแล้ว

ด้วยเหตุนี้เธอจึงยิ้มพลางเอ่ยตอบ “ข้ายังมีอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้ข้าวสาลีคั่วอร่อยยิ่งขึ้น ท่านอยากลองชิมหรือไม่”

เสวี่ยหยวนจิ้งยังคงมองต้นลี่ชู่ต้นนั้นเช่นเดิม

ยามนี้คือช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ใบของต้นลี่ชู่ล้วนเปลี่ยนเป็นสีเหลือง กิ่งก้านก็เต็มไปด้วยผลลี่ชู่น้อยใหญ่ กระรอกตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งกำลังกระโดดขึ้นลงเก็บผลลี่ชู่บนต้นหนึ่ง หางของมันเต็มไปด้วยขนปุกปุยพันกันยุ่ง บางครั้งก็กระโดดไปมาระหว่างต้นไม้สองต้นด้วยความพลิ้วไหว ราวกับมันเป็นภูตตัวน้อยก็มิปาน

เสวี่ยหยวนจิ้งตอบ “อือ” สั้นๆ กลับไปเช่นเดิม แต่น้ำเสียงนั้นไม่ได้เย็นชาเหมือนเมื่อครู่แล้ว

เสวี่ยเจียเยว่รีบคว้าโอกาสนี้ไว้โดยยิ้มพลางเอ่ย “เช่นนั้นข้าขอยืมใช้หม้อใบนี้ของท่านได้หรือไม่”

“อือ” เขายังคงตอบสั้นๆ ได้ใจความเช่นเดิม ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ก็อดดีใจไม่ได้ จึงยิ้มจนตาหยี

เธอรีบเอ่ยขอบคุณเขาทันที จากนั้นจึงเทน้ำใส่หม้อด้วยความรวดเร็ว และหยิบกิ่งไม้แห้งที่เสวี่ยหยวนจิ้งใช้ไม่หมดเมื่อครู่มายัดเข้าไปใต้หม้อเพื่อเพิ่มไฟให้แรงขึ้น

เสวี่ยหยวนจิ้งเพียงเงี่ยหูฟังเสียงการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหวจึงหันไปมองช้าๆ เพราะอยากรู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่กำลังทำอะไรอยู่

เขาเห็นอีกฝ่ายใช้กิ่งไม้เขี่ยบริเวณใต้หม้อให้ไฟแรง รอจนน้ำในหม้อเดือดแล้ว ก็หยิบไข่สองฟองออกมาจากกระบุงของตนอย่างทะนุถนอม ก่อนจะตอกไข่ลงไปในหม้ออย่างชำนาญ

เมื่อไข่ขาวโดนน้ำร้อนก็แข็งตัวทันที ต้มเช่นนี้ประมาณครู่หนึ่ง พลันเสวี่ยเจียเยว่ก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา

เสวี่ยหยวนจิ้งตั้งตัวไม่ทัน สายตาจึงประสานกันตรงๆ

ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกกระอักกระอ่วน แต่สีหน้ายังคงไร้ความรู้สึกหมื่นปีไม่เปลี่ยนแปลง อีกทั้งสายตาก็ยังคงเย็นชาเหมือนเดิม

เสวี่ยเจียเยว่มิได้สนใจ เธอเพียงยื่นมือไปหาเสวี่ยหยวนจิ้งพร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ส่งถุงข้าวสาลีคั่วมาให้ข้าหน่อยเจ้าค่ะ”

เป็นเพราะเสวี่ยเจียเยว่อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก รอยยิ้มบนใบหน้าเธอจึงดูจริงใจและน่าเอ็นดูไม่น้อย ราวกับดอกชาสีชมพูบานสะพรั่งใต้แสงอาทิตย์ยามอรุณ ทำให้คนมองตกตะลึงกับความงดงามจนปฏิเสธไม่ได้

เสวี่ยหยวนจิ้งหยิบถุงผ้ามาส่งให้แม่นางน้อยโดยไม่เอ่ยคำใด

เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยขอบคุณพร้อมกับรับมา ก่อนจะกำข้าวสาลีคั่วออกมาหนึ่งกำ โรยลงไปในถ้วยดินเผาเนื้อหยาบสองใบที่เสวี่ยหยวนจิ้งกับเธอใช้ก่อนหน้านี้ จากนั้นก็เอ่ยถามเขาว่ามีช้อนหรือไม่

คำตอบที่ได้คือเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้นำช้อนมาด้วย มีเพียงตะเกียบ

เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเขาคงเตรียมตะเกียบมาเพียงคู่เดียวเท่านั้น แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะใช้ตะเกียบข้างเดียวเสียบไข่ลวกก็สามารถกินได้เลย แต่เธอคิดไม่ถึงว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะหยิบตะเกียบสองคู่ออกมาจากกระบุงของเขา

เธอเงยหน้ามองเขาด้วยความตกตะลึง!

คิดไม่ถึงเลยว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะเตรียมตะเกียบมาสองคู่…

เมื่อคิดดู ถ้วยดินเผาที่เขาใช้ใส่น้ำร้อนให้เธอดื่มเมื่อครู่คือใบที่สอง เหตุใดเขาต้องเตรียมถ้วยกับตะเกียบมาสองชุดด้วยเล่า แบกไว้บนหลังจะไม่หนักเกินไปหรือ นอกจากว่าตอนที่เตรียมของเหล่านี้เขากำลังนึกถึงเธอ…

หมายความว่าถ้วยกับตะเกียบอีกชุด เสวี่ยหยวนจิ้งเตรียมมาเพื่อเธอเช่นนั้นหรือ แม้เขาจะคิดเผื่อเธอขนาดนี้ แต่ยังคงปากแข็งเหมือนปากเป็ด และแกล้งทำหน้าเย็นชาใส่เธอเท่านั้น

เสวี่ยเจียเยว่คิดจะพูดกระเซ้าเสวี่ยหยวนจิ้ง ทว่าเธอนึกถึงไข่ลวกในหม้อขึ้นมาอย่างฉับพลัน!

น้ำเดือดได้พักหนึ่งแล้ว หากต้มไข่นานกว่านี้ ไข่จะสุกมากเกินไปและไม่อร่อย เธอจึงรีบคีบไข่ลวกออกจากหม้อมาใส่ถ้วย และเทน้ำร้อนตามลงไป

ก้นถ้วยมีข้าวสาลีคั่วอยู่ก่อนแล้ว หลังจากเทน้ำร้อนลงไป ข้าวสาลีคั่วก็มีกลิ่นหอมโชยขึ้นมาทันที

เนื่องจากต้องเตรียมอาหาร เสวี่ยเจียเยว่จึงตัดสินใจไม่พูดกระเซ้าเสวี่ยหยวนจิ้ง

เด็กหนุ่มเป็นคนฉลาด ขี้สงสัย ทั้งยังทะนงตัว หากเธอพูดเย้าแหย่ในตอนนี้ เขาอาจเขินอายจนพานโกรธก็ได้ แม้จะรู้ว่าเขาเริ่มใจอ่อนกับเธอบ้างแล้ว เพียงแต่ยังแกล้งทำเป็นเย็นชาเท่านั้น ทว่าเธอไม่อยากให้ความพยายามในช่วงที่ผ่านมาสูญเปล่า จึงคิดว่าไม่ควรพูดออกไปจะดีกว่า ใจของเธอรับรู้ก็พอแล้ว เธอจะปฏิบัติตัวเหมือนที่เคยเป็น และสานต่อความรู้สึกดีๆ กับเขา

เสวี่ยเจียเยว่ยกถ้วยด้วยสองมือ แล้วส่งให้เสวี่ยหยวนจิ้งพลางยิ้มแป้น “ท่านพี่ ลองกินดูเจ้าค่ะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งมองรอยยิ้มบนใบหน้าขาวผ่อง หลังจากเขาเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก็เอื้อมมือไปรับถ้วยไข่ลวก

ในถ้วยมีข้าวสาลีคั่วสีเหลืองลอยอยู่บนผิวน้ำ และใต้น้ำนั้นมีไข่ลวกอยู่ฟองหนึ่ง เมื่อดื่มหนึ่งอึกจะได้กินข้าวสาลีคั่วหลายเม็ดก่อน ความนุ่มและกรอบอยู่ในระดับที่เหมาะสม เมื่อกัดไข่แดงเข้าไปก็รู้สึกว่ามันเหนียวเป็นพิเศษ

ตอนที่มารดายังมีชีวิตอยู่ นางมักจะทำไข่ลวกให้เขากับน้องสาวกินเป็นประจำ ทว่าตั้งแต่มารดาจากโลกนี้ไป เสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่ได้กินอีกเลย

เมื่อคิดถึงมารดา ดวงตาทั้งสองข้างของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ร้อนผ่าว เขาก้มหน้าก้มตากินไข่ลวกอย่างตั้งอกตั้งใจโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา

เด็กหนุ่มไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอในใจของเขา

เสวี่ยเจียเยว่เองก็มิได้สนใจเขาแต่อย่างใด คนที่ไม่ได้กินอิ่มท้องมาเป็นเวลานาน ยามนี้กำลังนั่งอยู่ใต้แสงแดดที่อบอุ่นในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ในมือถือถ้วยพลางกินไข่ลวกใส่ข้าวสาลีคั่ว ช่างรู้สึกสบายใจเหลือเกิน… เธอหลับตาลงแล้วถอนหายใจออกมา ชีวิตช่างงดงามจริงๆ

เสวี่ยหยวนจิ้งหันไปมอง ก็เห็นเสวี่ยเจียเยว่กำลังหลับตาด้วยสีหน้าอิ่มเอม

ท่าทางเช่นนี้ทำให้เขาคิดว่าอีกฝ่ายเหมือนแมวน้อยที่นอนตากแดดอันอบอุ่นอย่างเกียจคร้าน เมื่อมีความสุขแมวน้อยตัวนั้นจะกระดิกหูเบาๆ พลางแกว่งหางไปมา

[1] ลี่ชู่ คือต้นโอ๊ก