เวลาพระอาทิตย์ตกดินของทุกวัน

 

ท่านปู่มักจะเดินเล่นตามลำพังอยู่ในสวนและสถานที่ที่ท่านมักจะใช้เวลาหยุดพักอยู่นานที่สุดก็คือป่าไม้เขียวชอุ่มขนาดย่อม

 

นอกจากจุดเริ่มต้นจากการที่เมื่อเนิ่นนานมาแล้ว ปฐมกษัตริย์ได้มอบต้นไม้ใบเขียวไม่ผลัดใบให้เป็นของขวัญอยู่หลายต้น ทำไมท่านถึงได้หวงแหนสถานที่นั้นมากมายขนาดนั้นกัน

 

ตลอดระยะเวลาที่ได้ใช้เวลาอยู่ข้างกายท่านปู่ในช่วงบั้นปลายชีวิตของท่านอยู่หลายปี เธอก็ได้ทราบเหตุผลนั้น

 

ก็คือท่านย่า

 

ท่านย่าไม่ชอบใบไม้ที่ร่วงโรยอย่างโดดเดี่ยว ท่านจึงชื่นชอบการเดินเล่นผ่านทางเดินป่าเขียวไม่ผลัดใบแห่งนี้ด้วยกันกับท่านปู่

 

ส่วนท่านปู่ที่ตอนนี้ถูกทิ้งให้มีชีวิตอยู่เพียงลำพัง จึงได้ใช้ชีวิตประจำวันอยู่เช่นนั้นซ้ำไปซ้ำมา แม้กระทั่งวันก่อนหน้าที่ท่านจะเสีย ท่านปู่ก็ยังเดินผ่านต้นไม้เขียวชอุ่มพวกนี้

 

ฟีเรนเทียยืนรออยู่หน้าห้องทำงาน กะเวลาให้ตรงกับช่วงหลังจากที่ท่านปู่จะเดินเล่นเสร็จแล้วกลับเข้ามา รอไม่นาน เธอก็เห็นภาพท่านปู่เดินตรงเข้ามาจากอีกด้าน

 

“ท่านปู่!”

 

เธอจงใจเรียกท่านปู่เสียงดัง วิ่งเข้าไปหา

 

“โอ้ว เด็กคนนี้ บอกแล้วไงว่าอย่าวิ่ง”

 

“แฮะๆ พอดีมีของอยากมอบให้ท่านปู่ ก็เลยมารอน่ะค่ะ! ”

 

“มอบให้ข้าอย่างนั้นหรือ”

 

เธอจับมือท่านปู่ลากเข้าไปข้างในห้องทำงาน

 

ท่านปู่ดูจะตกใจอยู่บ้าง แต่ก็ยอมเปิดประตูห้องทำงานให้ แล้วเดินตามจังหวะการลากของเธอ

 

“มันคืออะไรกันแน่ ถึงได้…”

 

ท่านปู่หยุดชะงัก ไม่อาจพูดได้จบประโยค

 

รูปไม้แกะสลักที่ถูกเช็ดอย่างดีไม่มีเศษฝุ่นผงแม้แต่เศษเสี้ยวถูกวางลงบนโต๊ะที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุดเมื่อเปิดประตูห้องทำงานออก

 

มันคือของที่เธอไหว้วานให้อัลเพโอ้แกะสลักให้

 

“นาตาเลีย?”

 

ท่านปู่ได้แต่เหม่อลอยเอ่ยเรียกชื่อของท่านย่า

 

มันเป็นเพียงแค่รูปแกะสลักที่สร้างขึ้นจากไม้ที่ไม่มีสีสันใดๆ แต่เมื่อได้รับแสงอาทิตย์ตกดินที่อาบย้อมไปทั่วผืนฟ้า มองดูแล้วจึงให้ความรู้สึกราวกับมันดูดกลืนความอบอุ่นเอาไว้จริงๆ

 

“ของขวัญมอบให้ท่านปู่ค่ะ! ”

 

“ฟีเรนเทีย เจ้าเป็นคนเตรียมรูปแกะสลักนี่อย่างนั้นหรือ”

 

ท่านปู่มองเธอครั้งหนึ่ง ก่อนจะรีบเดินเข้าไปใกล้รูปแกะสลัก

 

“นี่มันช่าง…ถอดแบบมาจากนาตาเลียสมัยสาวๆ ไม่มีผิดเลย”

 

คำพูดของท่านปู่ไม่ได้โอเวอร์เกินจริงเลยแม้แต่น้อย

 

ความสามารถในการแกะสลักของอัลเพโอ้นั้นดีเลิศเป็นอย่างมาก เขาสร้างสรรค์รูปที่ท่านพ่อวาดออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

“พ่อช่วยวาดรูปท่านย่าให้น่ะค่ะ ข้าก็เลยเอามันไปไหว้วานขอให้เพื่อนช่วยทำเป็นรูปไม้แกะสลักให้ค่ะ!”

 

“รูปที่แคลอฮันวาด…”

 

ท่านปู่ยื่นมือออกไปลูบไล้บริเวณนัยน์ตาของรูปแกะสลักท่านย่า ปลายนิ้วสั่นเทาไม่หยุด สัมผัสเย็นเฉียบที่สัมผัสได้บนปลายนิ้ว ทำให้ริมฝีปากของท่านปู่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มขมขื่นแต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ใบหน้าที่หันกลับมามองเธอก็เปลี่ยนเป็นปกติเหมือนอย่างทุกวัน

 

“ว่าแต่นี่คือของขวัญข้ารึ”

 

“ค่ะ! ถูกใจมั้ยคะ”

 

“ก็ถูกใจอยู่หรอก แต่ว่า…”

 

ท่านปู่หัวเราะเล็กน้อย

 

“ของขวัญมันเป็นของที่ไม่มีราคาค่าตอบแทนหรอกนะ”

 

ทราบเรื่องการบ้านของเครย์ลีบันอยู่แล้วนี่เอง

 

แต่ก็นะ เรื่องแค่นี้เธอเองก็คาดการณ์เอาไว้แล้วเหมือนกัน

 

นิสัยอย่างเครย์ลีบันน่ะ ไม่เคยล่าช้า เขาจะต้องรายงานผลการเรียนในทันทีอยู่แล้ว

 

เพราะเธอเองก็คิดเอาไว้แล้วเหมือนกัน จึงไม่ได้แสดงความตื่นตระหนกอะไรออกไป ก่อนจะเอ่ยพูด

 

“รูปไม้แกะสลักของข้าทำให้ท่านปู่มีความสุขมั้ยคะ”

 

“ความสุข ความสุขอย่างนั้นเหรอ ความทรงจำอันแสนสุขกับนาตาเลียในช่วงเวลาเหล่านั้นมีมากมายเหลือเกิน ทุกครั้งที่เห็นรูปสลักนี่ ย่อมทำให้ปู่คนนี้มีความสุขอย่างแน่นอน”

 

“ถ้างั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ! ถ้าท่านปู่มีความสุข ข้าก็มีความสุขด้วยเหมือนกันนี่คะ!”

 

มันไม่ใช่คำโกหกเสียทีเดียว

 

หลังจากเจ็บป่วย ท่านปู่ก็มองอะไรไม่ค่อยเห็น ทำให้ท่านเสียใจมากที่ไม่อาจมองดูภาพเหมือนของท่านย่าได้อีกต่อไปแล้ว

 

นั่นคือเหตุผลที่เธอย้ายภาพของท่านย่ามาเปลี่ยนเป็นรูปไม้แกะสลักแทน

 

ในอนาคตถ้าหากมองไม่เห็นด้วยวัยชรา ท่านปู่ก็ยังคงสามารถจินตนาการภาพของท่านย่าด้วยปลายนิ้วได้

 

“การบ้านของอาจารย์เครย์ลีบัน เอาไว้คราวอื่นค่อยทำให้ดีกว่านี้ก็พอค่ะ!”

 

นี่ก็เป็นความจริงเหมือนกัน

 

ต่อให้ไม่ใช่ครั้งนี้ เธอก็สามารถแสดงความสามารถที่โดดเด่นออกมาในคลาสเรียนของเครย์ลีบันได้ตลอดอยู่แล้ว

 

อีกอย่างถ้าหากได้คะแนนพิเศษโดยตรงจากท่านปู่ ก็ต้องเลือกฝั่งนี้ก่อน เดิมทีจุดประสงค์ของคลาสเรียนผู้สืบทอดเดิมทีก็มีไว้คอยประเมินผลระยะยาวเพื่อคัดเลือกคนที่จะเป็นเจ้าตระกูลคนถัดไปนี่นะ

 

“ฟีเรนเทีย”

 

ท่านปู่มองเธอราวกับอ่านความคิดในใจของเธอแต่เธอไม่ใช่คนที่จะเป็นลมเพราะเรื่องแค่นี้หรอก

 

เธอมองสบตาท่านปู่ด้วยใบหน้าใสซื่อ

 

“ถึงยังไงจะให้รับของขวัญดีๆ แบบนี้มือเปล่าก็ไม่ได้ด้วย ถ้าเจ้ามีของที่ต้องการก็ลองบอกข้ามาเถอะ ฟีเรนเทีย”

 

“ของที่ต้องการเหรอคะ อืม”

 

ต้องแบบนี้สิ

 

นิสัยอย่างท่านปู่น่ะ ต่อให้เป็นของขวัญจากหลานสาวตัวน้อย ก็ไม่มีทางรับไว้โดยไม่ตอบแทนอยู่แล้ว

 

แต่จะให้ขอเงินเพื่อการบ้านเฉยๆ ก็เป็นตัวเลือกที่เปล่าประโยชน์เกินไป นอกจากเงินจากการขายรูปไม้แกะสลักแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เธอต้องการอยู่ด้วย

 

“ถ้าอย่างนั้น ท่านปู่”

 

เธอแสร้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดปากพูด

 

“เพื่อนที่แกะสลักรูปไม้แกะสลักให้น่ะค่ะ เขาชื่ออัลเพโอ้ แต่ว่า…”

 

ตลอดเวลาที่เธอเล่าเรื่องของอัลเพโอ้ มุมปากของท่านปู่ก็กระตุกไม่หยุด

 

และในที่สุด

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า! คนมีความสามารถเช่นนั้นอาศัยอยู่ในรั้วตระกูลลอมบาร์เดียแห่งนี้เหรอเนี่ย!”

 

ท่านปู่ระเบิดหัวเราะเสียงดัง ท่าทางอารมณ์ดีจริงๆ

 

ว่าแล้วเชียว นิสัยคลั่งไคล้การสะสมคนมีความสามารถนี่ ไม่ว่าจะสมัยนี้หรือสมัยก่อน ก็ยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย

 

เธอยืนผ่อนคลาย ดื่มด่ำกับเสียงหัวเราะของท่านปู่ราวกับเป็นเสียงดนตรีบรรเลง

 

ทำไมน่ะเหรอ ก็ยิ่งท่านปู่อารมณ์ดี ยอดเงินที่ท่านจะมอบให้เธอก็ยิ่งเยอะยังไงล่ะ เธอคือหลานสาวผู้น่ายกย่องที่สร้างรูปสลักของท่านย่ามอบให้ท่านปู่ ทั้งยังเป็นหลานสาวที่มอบตัวอัจฉริยะมากความสามารถขนาดสร้างรูปไม้แกะสลักสมบูรณ์แบบขนาดนั้นยัดใส่มือท่านปู่เชียวนะ

 

เธอที่น่าชมเชยแบบนี้ ท่านปู่ไม่มีทางตอบแทนเธอด้วยมือเปล่าอยู่แล้ว

 

และตามธรรมเนียมก็มีกล่าวเอาไว้ว่า เด็กไม่ควรปฏิเสธเงินที่ผู้ใหญ่มอบให้เสียด้วยสิ

 

 

วันที่จะได้รู้ผลการบ้านวนกลับมาอีกครั้ง

 

ฟีเรนเทียมาถึงห้องเรียนเร็วกว่าเวลาเริ่มเรียนเล็กน้อย ทันทีที่เปิดประตูเดินเข้าไป เธอก็มองสำรวจใบหน้าของพวกเด็กๆ ทีละคน

 

สองแฝดทำหน้านิ่งเหมือนเคย จนกระทั่งสังเกตเห็นเธอแล้ววิ่งเข้ามาหา ส่วนเบเลซักท่าทางดูตื่นเต้นไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่คนที่ผิดคาดคือลาลาเน่ นางถือถุงเงินใบเล็ก ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำด้วยความคาดหวัง

 

“สวัสดี ลาลาเน่”

 

“ฟีเรนเทียนี่เอง เข็มกลัดประดับเสื้อวันนี้สวยจัง”

 

ลาลาเน่ชี้ไปยังเข็มกลัดสีเขียวที่ติดอยู่บนชุดของเธอพลางเอ่ยพูด

 

“อื้อ ข้าเองก็ถูกใจมันเหมือนกัน ขอบใจนะ”

 

ในระหว่างที่พวกเราเอ่ยทักทายกันเช่นนั้น เครย์ลีบันก็เดินเข้ามา ก่อนที่คลาสเรียนจะเริ่มต้นขึ้น

 

“เอาละ ถ้างั้นมาดูผลการบ้านพร้อมกันเลยดีมั้ยครับ”

 

เบเลซักไม่ได้ทำการบ้านมาเหมือนอย่างที่เจ้าตัวเคยพูดเอาไว้

 

ไม่เห็นจำเป็นต้องทำเรื่องไร้ประโยชน์แบบนั้นเหมือนอย่างที่ประกาศกร้าวเอาไว้เสียหน่อย

 

ส่วนสองแฝดก็บอกว่าขายท่อนซุงไปใช้เป็นฟืนให้แก่ข้ารับใช้ตามคาด ทั้งคู่อธิบายอย่างชัดเจนอยู่หลายครั้งว่า พวกนั้นเป็นคนที่ต้องการมันจริงๆ และพวกเขาก็ไม่ได้ใช้กำลังบังคับด้วย ส่วนลาลาเน่

 

“ทำเป็นถ่านแล้วเอาไปขายให้โรงหลอมในคฤหาสน์หรือครับ”

 

“ค่ะ เพราะฉะนั้นก็เลยต้องมอบเงินให้กับข้ารับใช้ที่ช่วยงานเล็กน้อย จึงเหลือเงินอยู่เท่านี้น่ะค่ะ”

 

ข้างในถุงเงินที่ลาลาเน่ยื่นส่งให้มีเงินอยู่สิบห้าเหรียญทองแดง

 

หากคำนึงถึงเรื่องที่ปกติท่อนไม้โง่ๆ หนึ่งท่อนนั่นมีราคาประมาณยี่สิบเหรียญทองแดง มันถือว่าเป็นการค้าที่ขายต่ำกว่าราคาทุน แต่ก็น่าตกใจที่คนทึ่มทื่ออย่างลาลาเน่เคลื่อนไหวอย่างจริงจังขนาดนี้

 

เรื่องนี้เครย์ลีบันเองก็คงจะคิดเหมือนกัน ถึงได้พยักหน้าไปพลางไม่คิดตระหนี่คำชมเชยให้แก่ลาลาเน่

 

“คนสุดท้าย ท่านฟีเรนเทีย”

 

“ค่ะ อาจารย์”

 

“ขายท่อนซุงได้เงินเท่าไหร่ครับ”

 

เธอยักไหล่ไม่ยี่หระเพียงครั้งเดียว

 

“หรือว่า ไม่ได้ทำการบ้านหรือครับ”

 

คำพูดของเครย์ลีบันทำให้เบเลซักที่นั่งขดตัวอยู่ในซอกโซฟาลุกพรวดขึ้นมา

 

“เปล่าค่ะ ทำเต็มที่เลยค่ะ อาจารย์”

 

“ถ้าอย่างนั้นเงินอยู่ที่ไหนครับ”

 

“อยู่นี่ค่ะ”

 

“ครับ? ไหน…”

 

เธอชี้ไปยังเข็มกลัดติดหน้าอกให้เครย์ลีบันดูพลางเอ่ยพูด

 

“เอาท่อนซุงไปทำเป็นรูปไม้แกะสลักมอบให้ท่านปู่ ก็เลยได้เข็มกลัดนี่เป็นการตอบแทนค่ะ นี่คือมรกตเลยนะคะ!”

 

แถมยังเม็ดหนาใหญ่ทั้งยังแพงหูฉี่เลยด้วยนะคะ!

 

คราวนี้แม้แต่ใบหน้าของเครย์ลีบันเองก็ยังตื่นตกใจเป็นอย่างมาก

 

เธอดื่มด่ำกับตำแหน่งผู้ชนะ เอนกายพิงพนักเก้าอี้อยู่ครู่หนึ่ง แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงแค่เธอคนเดียวที่ได้ของดีแบบนี้

 

ท่านปู่มอบสิบเหรียญเงินเป็นค่าจ้างให้แก่อัลเพโอ้ที่เป็นคนแกะสลักรูปไม้ ในขณะเดียวกันก็ได้มอบเงินทุนการศึกษาของตระกูลและโอกาสให้เขาได้ศึกษาเรียนรู้ภายใต้การดูแลของช่างแกะสลักชื่อดัง

 

ฟีเรนเทียยิ้มด้วยความภูมิใจ ในขณะที่พยายามอดกลั้นความรู้สึกที่อยากจะยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาไขว่ห้างอย่างผู้ชนะ เธอดื่มด่ำกับทัศนียภาพของห้องเรียนที่ทุกคนต่างก็เหม่อมองมาที่เธอด้วยความตกตะลึงสายตาเหลือบเห็นเบเลซักที่หอบแฮกด้วยความโมโหจนรูจมูกบาน

 

เธอจงใจกระตุกยิ้มมุมปากให้เบเลซักเห็นโดยเฉพาะ

 

เขาเคยบอกไว้ว่า เด็กเลือดผสมอย่างเธอมันต่ำต้อยและโลว์คลาสกว่าลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ใช่มั้ยเคยเยาะเย้ยเธอว่า ไม่ได้เรียนหนังสือหนังหา ไม่อาจใช้ชีวิตหรูหราดั่งชนชั้นสูง ต้องใช้ร่างกายทำงานเหมือนพวกสามัญชน

 

ดูถูกกันว่าสุดท้ายคนชั้นต่ำอย่างเธอจะต้องตายไปเหมือนกับแม่ของเธอเพราะฉะนั้นต่อไปเธอจะทำให้เขาได้รู้สึกเสียบ้างว่าการถูกเลือดผสมคนนี้ขับไล่มันเป็นยังไง

 

ให้ได้รู้ว่าการถูกแย่งชิงของที่ควรจะเป็นของตัวเองมันให้ความรู้สึกแบบไหน

 

นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น