บทที่ 39: ผู้คนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
“พี่สะใภ้ใหญ่คะ เรื่องนี้ถูกเขียนไว้ในหนังสือสัญญาแล้ว ฉันไม่มีอำนาจตัดสินใจด้วยตัวเองหรอกค่ะ ถ้าพี่อยากจะทำอะไรตามที่พี่บอก พี่ต้องรอให้เจี้ยนอวิ๋นกลับมาก่อน เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวและเป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดในครอบครัวเรา เมื่อถึงตอนนั้นก็ให้พี่ชายใหญ่ไปคุยกับเขาแล้วกันค่ะ” ซูตานหงถูกหล่อนกดดันจนไม่มีทางเลือกและต้องพูดออกมา
เธอไม่เชื่อว่าจี้เจี้ยนกั๋วจะไม่รู้ความคิดของเฝิงฟางฟาง คนทั้งคู่น่าจะคุยกันเป็นการส่วนตัวแล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาอยากได้สวนผลไม้ของเธออย่างแท้จริง
แต่เธอจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้ยังไง? ไม่มีทางหรอก
เธอเชื่อมั่นในตัวจี้เจี้ยนอวิ๋นและรู้ว่าเขาจะต้องไม่เห็นด้วย ซึ่งเขาไม่ใช่คนโง่
แต่นี่เป็นเรื่องระหว่างสะใภ้ด้วยกัน ซูตานหงจึงไม่อาจพูดอะไรให้เด็ดขาดมากกว่านี้ได้ สำหรับคนเจ้าเล่ห์คนนี้คงจะปล่อยให้จี้เจี้ยนอวิ๋นเป็นคนจัดการ เธอเพียงแต่งเข้ามาเป็นภรรยาของเขา อะไรที่จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่สะดวกที่จะทำเธอถึงจะพูดอะไรก็ได้
แต่เฝิงฟางฟางจะเป็นคนที่ปล่อยผ่านอะไรไปได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ?
หล่อนยิ้มและพูดว่า “ตานหง อย่าหลอกพี่สะใภ้คนนี้เลย น้องสามจะไม่ฟังเธอได้ยังไง? เธอแค่บอกว่าไปทางตะวันออกอย่าไปทางตะวันตกเขาก็เชื่อแล้ว ไม่เป็นไรหรอกถ้าเธอจะเป็นคนตัดสินใจ”
หล่อนเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดในช่วงตรุษจีน เมื่อก่อนนั้นไม่สำคัญหรอกว่าจะเป็นอย่างไร แต่ในตอนนี้ซูตานหงดูสวยขึ้นมาก และน้องชายสามดูเหมือนจะชอบเธอมากทีเดียว จนคนในหมู่บ้านแอบมาถามว่าเธอเป็นเซียนจิ้งจอกจำแลงมาหรือไม่ ไม่อย่างนั้นเธอจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ได้อย่างไร?
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ด้วยฝีมือของเธอ อย่างผืนดินทุรกันดารเบื้องหลังภูเขานี้ก็ตกเป็นของเธอ แล้วดูสิ ต้นกล้าผลไม้ต่างเจริญเติบโตงอกงามด้วยดี พวกมันเพิ่งได้รับการปลูกไม่นาน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสามารถออกดอกออกผลได้ภายในปีนี้แล้ว
เห็นคู่รักคู่นี้แล้วหล่อนก็รู้สึกละโมบขึ้นมา
ดังนั้นหล่อนจึงอยากจะคืนเงิน 200 หยวนที่เคยได้รับมาแทบทนไม่ไหว และอยากได้ส่วนแบ่งที่ดินผืนนี้แทน
ซูตานหงไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำยกยอของหล่อน เธอทำเพียงตอบด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ใหญ่คะ อย่างไรฉันก็ตัดสินใจในเรื่องนี้ไม่ได้ รอให้เจี้ยนอวิ๋นกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากันนะคะ”
เฝิงฟางฟางยังกัดเธอไม่ปล่อย แต่เมื่อเห็นว่าหล่อนไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้จึงออกอาการฉุนขึ้นมาเล็กน้อยและเตรียมตัวกลับ ซูตานหงจึงพูดขึ้นมา “จริงสิ พี่สะใภ้ใหญ่คะ คราวที่แล้วฉันเข้าเมืองและซื้อรองเท้าผ้าใบให้โหวหวาจือคู่หนึ่ง มาจากเซี่ยงไฮ้เลยนะคะ พี่เอาไปให้โหวหวาจือใส่เถอะค่ะ เขากำลังจะเข้าโรงเรียนแล้ว จะทำให้เขาถูกหัวเราะเยาะไม่ได้หรอกค่ะ”
ลมหายใจของเฝิงฟางฟางสะดุดไป หล่อนพลันคลี่ยิ้มออกมา “ดูเธอสิ ขนาดกระเป๋านักเรียนของเขายังใช้ผ้าจากบ้านเธอ ตอนนี้เธอยังซื้อรองเท้าผ้าใบให้เขาอีก ขณะที่คนเป็นแม่แท้ ๆ ไม่ได้ซื้ออะไรให้เขาเลย ไม่แปลกใจหรอกที่เขาร้องอยากจะมาบ้านสะใภ้สามเพื่อดูน้องชายของเขา แล้วจะได้รอเล่นกับน้องชายในอนาคตของเขาด้วย”
หล่อนพูดได้อย่างยอดเยี่ยม ในขณะที่ซูตานหงก็ยังรับมือกับหล่อนได้อย่างไม่ตึงมือนัก เพราะต่อให้เฝิงฟางฟางพยายามหาโอกาสเหนือกว่าอย่างแนบเนียนหล่อนก็ยังพูดจาสุภาพกับเธอ ต่างจากจี้มู่ตานผู้เป็นสะใภ้รองที่มอบอะไรบางอย่างให้แล้วก็อย่าหวังว่าจะได้ยินอะไรดี ๆ จากหล่อนเลย
เธอขออะไรบางอย่างจากเฝิงฟางฟาง แล้วเฝิงฟางฟางก็ทำให้เธอได้ คราวที่แล้วหล่อนให้ปลามาสองตัว ซึ่งพวกมันเป็นปลาที่จี้เจี้ยนกั๋วจับได้จากแม่น้ำ
“แต่ฉันยังไม่รู้เลยค่ะว่าจะได้ลูกชายหรือลูกสาว ถ้าได้ลูกชาย ในอนาคตพี่ก็ให้โหวหวาจือเป็นพี่ชายของเขานะคะ” ซูตานหงพูดด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้ท้องของเธอไม่เล็กแล้ว และทุกคนในหมู่บ้านก็รู้กันหมด ข่าวลือในตอนแรกจึงสลายไปด้วยตัวเอง จนคนที่เคยพูดถึงรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า คนบางคนถึงกับพึมพำว่าเธอท้องจริง ๆ หรือ? ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยมีลูกมาก่อนเลยนะ น่าประหลาดเกินไปแล้ว
เนื่องจากคนที่สายตาดีบางคนสามารถบอกได้ว่าเธอท้องได้กี่เดือนเพียงแค่เหลือบมอง เมื่อลองนับเวลาดูแล้ว มันไม่ใช่ช่วงที่จี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมาพอดีหรอกหรือ? ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าอวดรู้พูดอะไรอีก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการสร้างความขายหน้าให้ตัวเองเปล่า ๆ
ตอนนี้อย่าพูดว่าเธอแย่งใครมาเลย เพราะเธอเป็นถึงภรรยาเจ้าของที่ดินแล้ว ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นในยุคก่อนหน้านี้ เธอจะถูกลากออกมาวิพากษ์วิจารณ์ แต่ในตอนนี้นโยบายต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปแล้ว
ซูตานหงไม่ได้สนใจใด ๆ กับเรื่องนี้
แม้เฝิงฟางฟางจะไม่ได้อะไรจากซูตานหง แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านหล่อนก็ยิ้มให้จี้เจี้ยนกั๋ว ราวกับว่าหล่อนมีวิธีที่จะดำเนินการเรื่องนี้แล้ว
“ทำไมเหรอครับ? บ้านสามเห็นด้วยแล้วเหรอ?” จี้เจี้ยนกั๋วถามเร็วรี่ และหยุดมือที่กำลังสับฟืนไว้
“ยังเลยค่ะ ตานหงบอกว่าหล่อนทำเรื่องนี้ไม่ได้ จึงทำได้แค่รอให้น้องชายสามกลับมาก่อน” เฝิงฟางฟางพูด
จี้เจี้ยนกั๋วชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยฮึดฮัด “หล่อนปฏิเสธงั้นเหรอ?”
“เรื่องนี่ฉันไม่เถียงหรอกค่ะ ตานหงเป็นฝ่ายสะใภ้เหมือนกัน หล่อนจึงไม่สามารถตัดสินใจแทนได้ หล่อนบอกว่าถ้าน้องชายสามกลับมาแล้วก็ให้คุณคุยกับน้องชายสามเอง” เฝิงฟางฟางพูด
จี้เจี้ยนกั๋วเม้มปาก เจี้ยนอวิ๋นจะไปเห็นด้วยได้ยังไง? เขาแค่อยากให้ทางบ้านสามยินยอมเสียก่อนที่เจี้ยนอวิ๋นจะกลับมา จะได้เป็นการง่ายขึ้นที่บ้านสามจะช่วยเหลือพวกเขาในเรื่องนี้ แต่ในเมื่อทางนั้นไม่ยินยอมแล้ว มันก็ยากที่จะตัดสินใจต่อ
“อย่าโทษตานหงเลยค่ะ หล่อนกำลังตั้งครรภ์และไม่มีความคิดเห็นอะไรในเรื่องนี้ แล้วนี่โหวหวาจือไปไหนเหรอคะ?” เฝิงฟางฟางพูด
“ไม่รู้ว่าไปหารังนกที่ไหนหรือเปล่านะ” จี้เจี้ยนกั๋วสับฟืนต่อด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
“ดูนี่สิคะ นี่เป็นของที่ตานหงซื้อให้โหวหวาจือโดยเฉพาะเลยล่ะค่ะ เป็นของจากเซี่ยงไฮ้ ฉันจับดูก็รู้ว่าเป็นของดีแล้ว ดูการตัดเย็บสิคะ เห็นตั้งแต่แรกก็ไม่ใช่ของที่ต้องต่อราคาแล้วล่ะค่ะ!” เฝิงฟางฟางหยิบรองเท้าผ้าใบให้เขาดูขณะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ครั้นจี้เจี้ยนกั๋วเห็นรองเท้าผ้าใบคู่นี้ ครู่ต่อมาเขาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คราวก่อนผมตั้งใจว่าจะซื้อรองเท้าให้โหวหวาจืออยู่ แต่แบบนี้เห็นทีคงไม่ต้องซื้อให้เขาแล้วล่ะ”
“ราคา 2 หยวน 3 เหมาสินะคะ?” เฝิงฟางฟางรู้สึกพอใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินราคา ตัวหล่อนเองไม่กล้าซื้อรองเท้าราคาเท่านี้หรอก แต่ก็ไม่คิดเลยว่าซูตานหงจะซื้อมาให้ลูกชายของหล่อน “ถ้าคุณมีเวลาก็ไปที่แม่น้ำนะคะ มีปลาก็จับมาให้ตานหงด้วย ฉันคิดว่าหล่อนคงชอบกินน่ะค่ะ”
“ได้สิ” จี้เจี้ยนกั๋วรับคำอย่างมีความสุข
คนทั้งคู่ไม่พอใจนักในเรื่องที่ถูกปฏิเสธไม่ให้มีส่วนร่วมในสวนผลไม้ แต่พอเป็นเรื่องที่ซูตานหงซื้อรองเท้าผ้าใบมาให้ลูกชายของพวกเขา ทั้งคู่ก็รู้สึกดีขึ้นอีกครั้ง
วันต่อมาโหวหวาจือก็มาหาซูตานหงพร้อมกับสวมรองเท้าผ้าใบมาด้วย
เมื่อเห็นเด็กอย่างโหวหวาจือมาที่นี่บ่อย ๆ ต้าเฮยก็ไม่สนใจเขา
“อาสะใภ้สาม ขอบคุณสำหรับรองเท้าผ้าใบนะครับ มันหายากมากเลย!” โหวหวาจือเอ่ยกับเธอ
“ถึงจะหายากก็ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ แต่อย่าทำเลอะนะ หนูต้องรักษามันดี ๆ เข้าใจไหมจ๊ะ?” ซูตานหงยิ้ม
“ผมรู้แล้วครับ ตอนนี้ผมจะใส่เล่นไปช่วงหนึ่งก่อน แล้วค่อยเก็บไว้รอใส่ไปวันเปิดเทอม!” โหวหวาจือเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ ตอนนี้เขาจะใส่เล่นให้เพื่อน ๆ อิจฉากันไปเลย
“หนูหิวหรือยังจ๊ะ?” ซูตานหงถาม
“มีอะไรอร่อยกินบ้างเหรอครับ?” โหวหวาจือเอ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายสุกใส
ซูตานหงยิ้ม ก่อนจะเดินเข้ามาและนำเค้กออกมาให้เขากิน 2 ชิ้น จนโหวหวาจือคิดว่าถ้าได้อาสะใภ้สามเป็นแม่ก็คงจะดี
“อาสะใภ้สามครับ เมื่อไหร่น้องชายผมจะออกมา? ผมอยากเล่นกับเขาแล้วครับ” โหวหวาจือถาม
“ยังเหลืออีกไม่กี่เดือนน่ะจ้ะ” ซูตานหงยิ้ม
“ไม่กี่เดือน นั่นก็ยังนานอยู่นะครับ” โหวหวาจือเอ่ยจริงจัง
“ไม่นานหรอกจ้ะ ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว” ซูตานหงตอบ
เมื่อคุณแม่จี้มาถึง นางก็เห็นโหวหวาจือกำลังกินเค้กอยู่ จึงมองซูตานหงด้วยสายตาอ่อนโยน ดูสิสะใภ้สามโตขึ้นขนาดไหน ปีที่แล้วเธอยังเก็บเค้กไข่ไว้กินคนเดียวเลย แต่ตอนนี้กลับเต็มใจให้โหวหวาจือได้กินบ้างแล้ว
คนเราไม่ควรถูกทุบตีจนตายเพียงอย่างเดียว เพราะมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ
………………………………………