เมื่อหลินหลันเดินไปดูอาการ เยี่ยซินเอ๋อร์กำลังนอนคว่ำพาดอยู่บนขอบรถและอาเจียนน้ำสีเหลืองออกมา ฟังจากเสียงดูแล้วคงทรมานอยู่ไม่ใช่น้อย โดยแม่ติงคอยลูบแผ่นหลังให้นางเพื่อช่วยให้หายใจหายคอสะดวกขึ้น พลางเอ่ยด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่ง “นี่เพิ่งวันแรกแท้ๆ ก็อาเจียนจนเป็นสภาพเช่นนี้ แล้วจะไปต่อไหวได้อย่างไร…”
สองสาวรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็กำลังขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วงและมีสีหน้าเป็นกังวลอย่างมาก
แม่โจวชี้ให้คนไปหยิบขิงหั่นแว่นมาให้เยี่ยซินเอ๋อร์อมเอาไว้ในปาก แต่เมื่อเยี่ยซินเออร์ได้กลิ่นของขิงสดกลับอาเจียนออกมาหนักขึ้นกว่าเดิม
“วิธีนี้ไม่ได้ผล…” แม่ติงร้อนรนใจ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่แทนเสี่ยวเจี่ยะ
หลินหลันซึ่งเห็นกลุ่มคนกำลังรายล้อมเยี่ยซินเอ๋อร์เพื่อคิดหาวิธีการช่วยเหลือ ตนจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกไป “ทุกคนถอยออกไปก่อนเถอะ! เสี่ยวเจี่ยะรองจะได้มีอากาศถ่ายเท”
กลุ่มคนพากันหันมามองยังหลินหลัน ทว่ากลับไม่มีใครขยับเขยื้อน
หลินหลันขมวดคิ้วขึ้น “การที่พวกเจ้าล้อมนางไว้เช่นนี้ นางจึงไม่มีอากาศสดชื่นให้ได้สูดหายใจเข้าไป มีแต่จะยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นไปเรื่อยๆ”
แม่โจวรีบร้อนกล่าวขึ้น “ทุกคนถอยออกไปหน่อย เส้าฟูเหรินเคยเรียนรู้วิธีการรักษาอาการป่วยมาก่อน ทำตามที่เส้าฟูเหรินกล่าว” ขณะเอ่ย ก็ชักนำให้พากันถอยห่างออกไป
หลินหลันเดินตรงเข้าไป มองลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษซากของอาเจียน ในใจก็รับรู้ได้ทันที ก่อนจะกล่าวออกไปอย่างใจเย็น “ใครก็ได้ช่วยไปนำน้ำสะอาดมาให้หนึ่งชาม”
ประเดี๋ยวเดียวก็มีสาวรับใช้เอ่ยขึ้นขอเป็นอาสาสมัครในทันที “เดี๋ยวข้าน้อยไปเอามาให้เจ้าค่ะ”
“แม่ติง ท่านช่วยถอยออกไปก่อน” หลินหลันขึ้นไปบนรถม้าแล้วเอ่ยเรียกให้แม่ติงหลีกไป
แม่ติงส่งเยี่ยซินเอ๋อร์ซึ่งอาเจียนจนอยู่ในสภาพอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงให้แก่หลินหลันด้วยท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
หลินหลันใช้หน้าตักของตนเองเป็นหมอนหนุนให้เยี่ยซินเอ๋อร์ และใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางแนบชิดกันกดลงไปที่จุดชีพจรศูนย์รวมเส้นประสาท พลางเอ่ยถามแม่ติง “เสี่ยวเจี่ยะรองก่อนหน้านี้ก็คงเคยนั่งรถม้าใช่ไหม”
“ใช่น่ะสิ! เมื่อก่อนก็เมารถ แต่ทว่าไม่ได้สาหัสสากรรณเฉกเช่นครั้งนี้” แม่ติงเอ่ยตอบ
“คราวหลังก่อนขึ้นรถ ให้เสี่ยวเจี่ยะกินของว่างรองท้องเสียหน่อย แต่ต้องไม่ใช่พวกอาหารประเภทหวานโดยเด็ดขาด”
เด็กสาวรับใช้คนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “เส้าฟูเหรินรู้ได้อย่างไรเจ้าคะว่าเสี่ยวเจี่ยะกินของหวานเข้าไป”
หลินหลันอมยิ้ม “มองดูเศษซากที่อาเจียนลงไปบนพื้นก็รู้แล้ว ซุปถั่วเขียวแม้ว่าจะสามารถช่วยคลายร้อน แต่ทว่ามันหวานเกินไป สรรพคุณที่ได้จึงตรงกันข้ามกับที่หวังไว้ อีกอย่างเมื่ออยู่บนรถก็ไม่ควรอ่านหนังสือด้วย”
สาวรับใช้ผู้นั้นตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง โดยมองไปที่หลินหลันด้วยความเลื่อมใสศรัทธาและเอ่ยขึ้นภายในใจ เส้าฟูเหรินท่านนี้ช่างเก่งกาจจริงๆ ไม่คาดคิดเลยว่าจะรู้ไปทั้งหมดเช่นนี้
บีบนวดกันไปได้ซักพักเยี่ยซินเอ๋อร์ก็ค่อยๆ อาการดีขึ้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “พี่สะใภ้ ทำให้ท่านลำบากไปด้วยจนได้”
หลินหลันยิ้มออกไปอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก “เรื่องแค่นี้สบายมาก คราวหลังหากนั่งรถแล้วรู้สึกมึนงง ก็บีบนวดบริเวณตำแหน่งที่มีเส้นประสาทพวกนี้ จะช่วยคลายอาการมึนงงได้ ทว่าวิธีที่ดีสุดก็คือหลับตาพักผ่อน ถ้าสามารถหลับได้ก็หลับไปเลยสักครู่หนึ่ง”
เด็กสาวรับใช้นำน้ำมาให้ในที่สุด หลินหลันให้เยี่ยซินเอ๋อร์ดื่มน้ำเข้าไป “เจ้าอดทนอีกสักหน่อย ข้างหน้าอีกไม่ไกลนักก็จะถึงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งแล้ว เปี่ยวเกอของเจ้าบอกว่าค่ำคืนนี้พวกเราจะพักค้างแรมกันที่นั่น”
สีหน้าของเย๋ซินเอ๋อร์ราวกับผู้ป่วย ที่กำลังปั้นหน้าดั่งสาวงามผู้น่าสงสารซึ่งตกหลุมรักผู้ชายคนเดียวกัน และกล่าวขอโทษขึ้น “โทษข้าเองที่ไม่ได้เรื่อง จนทำให้การเดินทางของเปี่ยวเกอต้องล่าช้าลง”
“จะโทษเจ้าได้อย่างไรกันเล่า ไม่มีใครอยากเจ็บป่วยขึ้นมาหรอก” หลินหลันฉีกยิ้มให้ ก่อนจะกลับไปยังรถม้าของตนพร้อมด้วยหยินหลิ่ว
“เส้าฟูเหรินช่างมีความสามารถเสียจริง” เด็กสาวรับใช้ของเยี่ยซินเอ๋อร์เผยความรู้สึกออกมาด้วยเสียงบางเบา
เยี่ยซินเอ๋อร์ขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว และมองไปที่แผ่นหลังของหลินหลัน นัยน์ตาลึกล้ำเย็นชายากเกินกว่าจะเข้าใจ
หลี่หมิงอวินซึ่งรออยู่ข้างรถม้าเมื่อเห็นนางเดินกลับมาจึงเอ่ยถามขึ้น “เปี่ยวเหม่ยดีขึ้นแล้วหรือ”
“ตอนนี้คงไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว” หลินหลันมองดูเขาซึ่งดูเป็นกังวลคล้ายมีอะไรบ้างอย่างซ่อนอยู่ในใจ ไม่รู้เช่นกันว่าที่เขากำลังเป็นกังวลอยู่นั้นคือสภาพร่างกายของเยี่ยซินเอ๋อร์ หรือเกรงว่าการที่เยี่ยซินเอ๋อร์เมารถระหว่างทางจะทำให้การเดินทางล่าช้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ นางจึงกล่าวขึ้น “เมื่อถึงหมู่บ้านเล็กๆ ข้างหน้า ข้าจะลองไปดูที่ร้านยาแล้วหาซื้อยาคลายความเครียดมาไว้”
หลี่หมิงอวินพยักหน้า “รบกวนเจ้าด้วย”
เมื่อมาถึงเมืองขนาดย่อม โดยมีข้ารับใช้ได้จัดการเรื่องห้องพักเตรียมไว้ก่อนหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนปักหลักเข้าที่พักของตนเอง หลังมื้ออาหารเย็นผ่านพ้นไป หลินหลันจึงมุ่งไปหาร้านขายยา ขณะที่หลี่หมิงอวินเนื่องด้วยต้องคอยจัดการอยู่ทางด้านนี้จึงไม่สะดวกติดตามไปด้วย เลยสั่งการให้เหวินซานติดตามหลินหลันไปแทน
วัตถุดิบยาในการรักษาอาการคลายเครียดนั้นไม่ใช่สิ่งที่หาซื้อได้ยากนัก โดยปกติแล้วมีขายตามร้านขายยาทั่วไป หลินหลันจัดซื้อมาเยอะพอตัว ด้วยคาดว่าน่าจะมีคนต้องการมากขึ้นเมื่ออยู่บนเรือ และยังซื้อเปลือกส้มเขียวหวานและของกินรสเปรี้ยว วัตถุดิบยาไม่ได้มีน้ำหนักขนาดที่ว่าหนักมากมาย แต่เมื่อรวมๆ กันแล้วก็ไม่ใช่น้อยแบบที่ขนาดฝามือใหญ่ทั้งสองข้างของเหวินซานยังไม่สามารถถือมันได้ทั้งหมด จึงต้องแขวนห้อยไว้ที่ลำคอของเขาจนเต็มไปหมด ราวกับต้นสนขนาดใหญ่ที่มีชีวิตขึ้นมา ทำให้ดูตลกเอาเสียมากๆ หยินหลิ่วและหลินหลันจึงอดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะคิกคักขึ้นมา
ทันทีที่กลับมาถึงที่พัก หลินหลันก็รีบพุ่งตรงเข้าไปยังห้องของตนเอง ทิ้งตัวลงบนเตียง นอนคว่ำราบอยู่บนผ้าห่ม และตามด้วยเสียงคร่ำครวญ “เหนื่อยชะมัด…”
อยากยืดเส้นยืดสายเสียเป็นยิ่งนัก จะเรียกอวี้หลงให้มาทุบๆ นวดๆ หลังให้ตนเอง ทว่าอวี้หลงก็ยังรักษาระยะห่างกับนางอยู่ตลอด จึงรู้สึกเกรงใจที่จะเอ่ยปากเรียก ไม่เหมือนกับหยินหลิ่วซึ่งสนิทสนมใกล้ชิดกับนาง แต่หยินหลิ่วก็เหนื่อยมากแล้ว จึงยิ่งเกรงใจที่จะเอ่ยเรียกมากขึ้นไปอีก ระหว่างกำลังครุ่นคิดสับสอยู่นั้นก็มีเสียงทุ้มใสเอ่ยถามขึ้น “ต้องการให้ข้าช่วยนวดไหม”
หลินหลันตกใจดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว กลับมองเห็นหลี่หมิงอวินนั่งอยู่ที่เก้าอี้ม้านั่งตัวยาวแบบมีพนักพิงและเบาะนุ่มซึ่งกำลังจ้องมองนางพร้อมด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขาเมื่ออยู่ภายใต้แสงเทียนสีนวลเข้มยิ่งแสดงให้เห็นถึงความอบอุ่นที่ชัดเจน
“เจ้า…เจ้ามาอยู่ในนี้ได้อย่างไร” หลินหลันงุนงงอยู่เล็กน้อย และกวาดสายต้องมองไปรอบๆ หรือว่าตนเองเข้าห้องผิดเช่นนั้นหรือ ด้วยการตกแต่งของห้องพักเหล่านี้ซึ่งดูไม่แตกต่างกันมากนัก
“นี่เป็นห้องของข้า จึงคงไม่แปลกหากข้าจะอยู่ที่นี่” หลี่หมิงอวินปิดหนังสือที่เขากำลังอ่านอยู่เมื่อครู่ มือข้างหนึ่งวางพาดบนพนักวางแขน ขณะที่มืออีกข้างวางไว้บนหัวเข่างอในท่านั่งไขว้ขา ลำตัวเอนไปด้านหลังเล็กน้อย ท่าทางของเขาดูผ่อนคลายสบายๆ แต่กลับไม่ทิ้งความสง่างามเลยแม้แต่น้อย พลางจ้องมองมาที่นางด้วยรอยยิ้ม
เอ่อ…หลินหลันรู้สึกถึงความอับอาย ที่แท้เป็นนางเองที่เข้าผิดห้อง
หลินหลันภายในใจรู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับไม่แสดงออกบนใบหน้าขึ้นมาเลยแม้แต่น้อยโดยเลือกที่จะก้มหน้าก้มตาพึมพำ “บ้าจริง ห้องเหล่านี้ดูเหมือนกันไปหมด” ขณะพูดก็รีบร้อนเดินไปยังทิศทางซึ่งมุ่งออกไปด้านนอก
“เจ้าจะไปไหนหรือ” หลี่หมิงอวินเรียกนางเอาไว้
หลินหลันกล่าวทั้งท่าทีตกตะลึง “ข้าก็จะกลับไปห้องของข้าไง!”
หลี่หมิงอวินค่อยๆ เผยรอยยิ้ม แล้วลุกขึ้นยืนก้าวเดินตรงเข้าไปหยุดที่เบื้องหน้าหลินหลัน และกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “เจ้าควรรู้ไว้ได้แล้วว่านับแต่ออกมาจากจวนเยี่ย เจ้าและข้าในสายตาของผู้อื่นเมื่ออยู่ข้างนอกก็คือความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาอย่างเป็นทางการ ดังนั้นเจ้าต้องให้ความร่วมมือกับข้าตั้งแต่ค่ำคืนนี้เป็นต้นไป”
หลินหลันยังคงไม่ค่อยเข้าใจนัก “ทว่ากว่าจะถึงเมืองหลวงยังอีกตั้งใกล้แหนะ!”
นางรู้ดีว่าการร่วมมือกับเขาในฐานะคู่สามีภรรยาปลอมๆ จำเป็นต้องอาศัยอยู่ร่วมห้องเดียวกัน แต่ทว่า นี่ยังไปไม่ถึงเมืองหลวงเสียหน่อย
“แสดงละครทั้งทีก็จำเป็นต้องแสดงให้แนบเนียนถึงจะใช้ได้ ตอนนี้นอกเสียจากแม่โจวที่รับรู้เรื่องราวที่แท้จริง หยินหลิ่วและอวี้หลงต่างก็ล้วนไม่ได้รับรู้ด้วย ข้าจำเป็นเตือนเจ้าไว้ว่าบุคคลที่เมืองหลวงท่านนั้นฉลาดหลักแหลมเป็นอย่างยิ่ง หากถูกนางมองออกแม้เพียงนิดเดียว ละครของพวกเราก็ไม่ต้องได้แสดงกันอีกแล้ว” หลี่หมิงอวินกล่าวเตือนอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
ไม่ใช่เลยง่ายดายเลยหากต้องปิดบังเรื่องราวต่อผู้ซึ่งคอยให้การปรนนิบัติใกล้ชิดอย่างหยินหลิ่วและอวี้หลง หลินหลันมองไปที่เตียงนั่นแล้วก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่านางได้มองข้ามปัญหาที่ร้ายแรงอย่างมากไปเสียแล้ว การนอนหลับโดยร่วมเตียงเดียวกัน ใครจะรับประกันได้ว่าชายผู้นี้จะกลายร่างเป็นสัตว์ป่าขึ้นเมื่อไหร่? เช่นนั้นไม่ใช่ว่านางก็จะมีแต่เสียเปรียบกับเสียเปรียบหรอกหรือ
หลี่หมิงอวินราวกับว่ามองออกความรู้สึกนึกคิดในใจของนาง “เจ้าวางใจได้ ข้าตั้งใจให้เสี่ยวเอ้อเพิ่มเตียงม้านั่งโซฟาไว้ในห้อง วันข้างหน้าเอาแบบนี้แล้วกัน เจ้านอนบนเตียง ส่วนข้านอนบนม้านั่งโซฟาตัวยาว ช่วงเวลากลางคืนข้าก็ได้สั่งการไว้แล้วว่า ไม่ชอบให้มีคนนอกอยู่ในห้อง และไม่ต้องการให้พวกนางคอยปรนนิบัติใดๆ ทั้งสิ้น อีกอย่าง…” หลี่หมิงอวินหยุดชะงัก และจ้องมองนางตั้งแต่บนจรดล่าง เผยนัยน์ตาซึ่งดูเหมือนรังเกียจและไม่อยากเข้าใกล้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้า ไม่ได้รู้สึกสนใจในตัวเจ้า”
หลินหลันรู้สึกอับอายไปชั่วขณะ ผู้ชายคนหนึ่งบอกว่าเขาไม่สนใจเจ้า นี่มันคือความอัปยศอดสูอันยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับลูกผู้หญิง เจ้างั่ง เจ้าไม่ได้รู้สึกสนใจในตัวข้า ข้าต่างหากล่ะที่ไม่ได้สนใจในตัวเจ้า! ใครจะไปรู้ว่าเจ้ามีดีแค่ภายนอกแต่ความจริงแล้วไร้ประโยชน์ใช้การไม่ได้
หลินหลันจ้องมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาแห่งการดูถูกเหยียดหยามที่หนักยิ่งกว่า จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อยและรอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้น “เข้าใจแล้ว ยังดีที่เราเป็นแค่สามีภรรยาปลอมๆ ส่วนที่ว่าอะไรนั่นของเจ้า…ใช้การไม่ได้ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้า แต่ทว่านะ! ในเมื่อมีปัญหาก็ควรรีบรักษาโดยเร็วที่สุด อย่าได้เขินอายที่จะไปพบหมอ มิเช่นนั้นเกรงว่าภรรยาในอนาคตของเจ้าจะได้น้ำตานองหน้าทั้งวันเพราะการไม่เอาใจใส่นี้ เช่นนี้ล่ะก็จะถือเป็นการผิดศีลธรรมอย่างมากนะ”
หลี่หมิงอวินที่พูดออกไปเช่นนี้เดิมทีก็เพื่อให้นางสบายใจ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงคนนี้กลับสงสัยไปว่าเขาใช้การไม่ได้ ทันใดนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องแบบนี้กลับยังเถียงออกไปไม่ได้ ในใจจึงอัดแน่นไปด้วยความอึดอัดขัดข้อง
“พอเถอะ เจ้าเองก็เหนื่อยแล้ว รีบพักผ่อนเถิด” หลี่หมิงอวินชักสีหน้าเย็นชาแล้วหันกลับไปอ่านหนังสือของเขาต่อดั่งเดิม
หลินหลันกลอกตามองแผ่นหลังของเขา ใครใช้ให้เจ้าทำให้ข้าอับอายก่อนกันเล่า
หลินหลันหลังจากไปล้างหน้าล้างตาบ้วนปากเรียบร้อย จึงขึ้นไปบนเตียงนอนโดยปิดผ้าม่านลงแล้วจึงถอดเสื้อคลุมออกตามด้วยทิ้งหัวลงหมอนนอนหลับ ทว่าพลิกไปพลิกมาก็ยังไม่อาจหลับใหลลงได้ ในเมื่อนอกกระโจมนี่ยังมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่หนิ! ความรู้สึกชนิดนี้มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว พอนึกถึงว่าหลังจากนี้อีกหนึ่งพันค่ำคืนจะต้องอยู่ร่วมห้องเดียวกับผู้ชายคนนี้ หลินหลันก็คิดสับสนไปต่างๆ นานา
“เฮ้! เจ้าช่วยพลิกเปิดหนังสือให้มันเบาๆ หน่อย เสียงดังมาถึงข้าแล้ว” หลินหลันพึมพำออกไปหนึ่งประโยคอย่างไม่พอใจ
ด้านนอกเต็มไปด้วยความเงียบงัน ไม่มีเสียงพลิกเปิดหนังสือดังขึ้นมาอีก หลินหลันรู้สึกประหลาดใจจึงมองผ่านผ้าม่านมุ้งตาข่าย มองเห็นเขาอย่างเลือนรางภายใต้อิริยาบถที่เชื่องช้าลง พลิกเปิดหนังสือแต่ละหน้าอย่างระมัดระวัง ด้วยสภาวะจิตใจจดจ่อ บางครั้งก็หยิบปากกาขึ้นมาจดบันทึก ชายหนุ่มผู้นี้ช่างเอาจริงเอาจังเสียจริง หลินหลันค่อยๆ คลายความกังวลใจลงไปอย่างช้าๆ อีกทั้งด้วยความเหนื่อยล้าที่มีไม่นานนักจึงนอนหลับสนิทไป
หลี่หมิงอวินอ่านหนังสือไปเรื่อยจนกระทั่งเสียงตีกลองดังขึ้นสามครั้ง [1] จึงได้ปิดหนังสือลง ขยี้ดวงตาที่รู้สึกเจ็บอย่างเบาๆ และเตรียมตัวเข้านอน ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่า ตนเองไม่ได้หอบเอาผ้าห่มติดมาด้วย เพราะเกรงว่าอวี้หลงจะสงสัย เขาจึงจงใจสั่งให้เสี่ยวเอ้อเตรียมผ้าห่มไว้แค่ผืนเดียว แล้วก็นำผ้าห่มวางไว้บนเตียงนั้นเสียก่อน กลับกลายเป็นว่าเมื่อครู่ถูกหลินหลันทำให้โมโหขึ้นมาจนลืมนึกถึงเลยนี้ไปเสียสนิท เวลานี้คนภายใต้ผ้ามุ้งกระโจมนั้นกำลังหายใจเป็นจังหวะอย่างสงบ ซึ่งเท่ากับว่านางเข้าสู่ห้วงนิทราไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็คงไม่ดีเท่าไหร่นักหากเขาจะเปิดม่านออกแล้วเกิดนางรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากะทันหัน และคิดไปว่าเขาจะลวนลามนาง เช่นนั้นคงต้องตกเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ถูกกล่าวหาอย่างแก้ต่างอะไรไม่ได้อีกแล้ว หลี่หมิงอวินถอนหายใจอย่างเงียบๆ เป็นครั้งแรกที่เผชิญสถานการณ์เยี่ยงนี้ ไร้ซึ่งประสบการณ์ ดูเหมือนว่าค่ำคืนนี้จะต้องหลับใหลไปโดยมีเสื้อผ้าที่ปกคลุมเรือนร่างเอาไว้เท่านั้นเสีย โชคยังดีที่ในตอนนี้เวลากลางคืนอากาศไม่เหน็บหนาวจนเกินไป
——
[1] การตีกลองสามครั้ง เป็นการบ่งบอกเวลาในยุคสมัยโบราณ เคาะสามครั้งเทียบเท่ากับเวลาตีสาม