ตอนที่ 30 ถูกมองข้าม

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“คุณหนู คุณหนูใหญ่ตระกูลซั่งกวนมาเจ้าค่ะ เห็นว่านางต้องการพบท่าน!” คำพูดของจื่อหลัวทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชะงักมือที่กำลังปักห่านคู่ลงบนผ้าไปเล็กน้อย คล้อยหลังนางก็เย็บต่อไปคล้ายกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

“นางเพียงคนเดียวอย่างนั้นรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดน้ำเสียงราบเรียบ ทางช่าจื่อที่อยู่ด้านข้างก็ลอบเบ้ปากอย่างอดไม่ไหว คุณหนูใหญ่ตระกูลซั่งกวนไหนเลยจะออกมาคนเดียวได้ ไม่ว่าอย่างไรสาวใช้หรือแม่นมก็ย่อมต้องติดตามมาด้วย คำถามเช่นนี้ยังจะถามออกมาอีก!

“ยังมีหญิงสาวที่ดูไม่เหมือนกับสาวใช้ตามมาด้วยอีกคนหนึ่งเจ้าค่ะ บ่าวถามแล้ว ทราบว่าเป็นอู๋เลี่ยนเยี่ยน นางเป็นหลานสาวของอนุภรรยาอู๋เจ้าค่ะ!” จื่อหลัวเข้าใจความหมายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางเป็นนับว่าเป็นคนที่รอบคอบผู้หนึ่ง ย่อมเข้าใจโดยปริยายว่าคุณหนูของตนซักไซ้เพราะเหตุใด

“ข้าเข้าใจแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “ช่าจื่อ เจ้ากับลู่หลัวไปเชิญคุณหนูใหญ่เข้ามาเถิด!”

ช่าจื่อรู้ดีว่าทั้งสองคนต้องการคุยเรื่องอะไรที่ไม่อยากให้นางได้ยินเป็นแน่ นางนั้นแม้อยากจะแอบฟัง แต่เมื่อเป็นคำสั่งของเยี่ยยมี่เอ๋อร์ก็ไม่กล้าขัดเช่นกัน นางจึงทำได้แต่ทำตามโดยดี เดินออกไปพร้อมกับลู่หลัว

“คุณหนู ยามที่บ่าวเห็นคุณหนูซั่งกวนผู้นั้น นางก็ถูกคนรั้งไว้ที่ห้องโถงสักพักแล้วเจ้าค่ะ ไม่แน่ใจว่ามีใครลอบวางแผนอะไรรึเปล่า สีหน้าของนางจึงดูถมึงทึงอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าโมโหเพราะเรื่องนี้หรือเรื่องอื่น! ท่านต้องระวังหน่อยนะเจ้าคะ” จื่อหลัวกล่าวเตือน ซั่งกวงหลิงหลงแม้จะพยายามข่มกลั้นอารมณ์ กระนั้นนางก็ไม่ใช่คนที่ชอบปิดบังความรู้สึกแต่อย่างใด คิดเช่นไรก็ทำเช่นนั้นจนติดเป็นนิสัย ไม่ได้คิดที่จะควบคุมอารมณ์ และคนที่รู้ก็ไม่ตักเตือน ดังนั้นท่าทีของนางเป็นเช่นไร แค่มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันที

“เข้าใจแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มเล็กน้อย หลิงหลงและอู๋เลี่ยนเยี่ยนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนม ย่อมไม่อาจมองตนเองออก คาดว่าคงคล้ายกับหากอีกฝ่ายส่องกระจกก็จะเห็นเป็นตัวเอง ซ้ำร้ายยังมาพบกับคนที่มีใจจะหาเรื่อง แต่เมื่ออู๋เลี่ยน เยี่ยนคนนั้นก็มาด้วย…เยี่ยนมี่เอ๋อร์ครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “เซียงเสวี่ย เจ้าไปดูสิว่าจิงอิ๋งมาแล้วหรือยัง อย่าให้นางเข้ามายังเรือนสดับวายุเป็นอันขาด หากพบนางก็เกลี้ยกล่อมให้นางกลับไปก่อน จื่ออวิ๋น จัดเตรียมน้ำชาให้พร้อม ชงชาเถี่ยกวนอินที่พ่อบ้านหวงส่งมาให้ก็แล้วกัน”

เซียงเสวี่ยและจื่ออวิ๋นรับคำสั่ง ก่อนจะแยกย้ายไปทำตามหน้าที่อย่างรวดเร็ว…

“คุณหนู ท่านกำลังจะบอกว่าคุณหนูรอง…” จื่อหลัวมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างตกใจ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใส่ใจกับซั่งกวนจิงอิ๋งถึงเพียงนั้น นางและลู่หลัวล้วนเห็นได้อย่างชัดเจน หรือว่าคุณหนูรองที่ดูเหมือนจะจริงใจใสซื่อผู้นั้น หลังจากกลับไปก็กระพือเรื่องจนใหญ่โต ดังนั้นจึงเกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้?

“ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ว่านิสัยของจิงอิ๋งนั้น ยามไม่มีเรื่องอะไรก็ชอบพาลหาเรื่องใส่ตัวอยู่แล้ว หากเกิดเรื่องขึ้นมา คนแรกที่จะเข้ามาร่วมผสมโรงก็ย่อมมิวายเป็นนาง อีกสักพักก็จะได้พบซั่งกวนที่มีความสามารถเลื่องลือผู้นั้น นางอาจจะเหมือน กับจิงอิ๋ง แต่ความอยากรู้อยากเห็นกลับมีมากกว่า คงเข้ามาดูว่าผู้ที่เป็นพี่สะใภ้ของนางจะเป็นคนเช่นไร ข้าย่อมต้องต้อนรับนางอย่างสมเกียรติ แต่หากมาเพื่อพูดออกหน้าแทนคุณหนูอู๋ผู้นั้น ข้าก็คงต้องจัดการในฐานะพี่สะใภ้ใหญ่อยู่บ้าง ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้นางร้องไห้ขี้มูกโป่ง และหากจิงอิ๋งอยู่ในเหตุการณ์ ก็รั้งแต่จะทำให้นางลงมือได้ไม่เต็มที่” แม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะฉลาดอย่างไร ก็ไม่คาดคิดว่าหญิงสาวจอมก่อเรื่องทั้งสองจะมาสร้างเรื่องถึงที่นี่อยู่ดี แต่ว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเคยกล่าวไว้ว่า อนุภรรยาอู๋ผู้นั้นหมายมั่นที่จะให้อู๋เลี่ยนเยี่ยนเชื่อมสัมพันธ์เป็นอนุภรรยาของซั่งกวนเจวี๋ย แต่อู๋เลี่ยนเยี่ยนก็เป็นคนที่เก่งกาจคนหนึ่ง เช่นนั้นพวกนางก็คงไม่ได้มาดีแน่

“บ่าวรู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไรเจ้าค่ะ!” จื่อหลัวแม้จะไม่กระจ่างแจ้งกับเรื่องนี้มากนัก แต่เมื่อได้ฟังเยี่ยนมี่เอ๋อร์พูด ก็พอจะจับจุดอะไรได้บ้าง ทั้งรู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร

ขณะที่พูดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ได้ยินเสียงบางอย่าง…เป็นเสียงของลู่หลัวที่จงใจลงฝีเท้าให้หนักขึ้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่งสายตาเป็นนัยให้กับจื่อหลัว จื่อหลัวรู้เช่นนั้นก็เดินกลับไปประจำตำแหน่งด้านหลังนางทันที

ลู่หลัวนำกลุ่มคนสี่ห้าคนเดินเข้ามา เยี่ยนมี่เอ๋อร์เงยหน้ามองไป ผู้ที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดแต่งกายด้วยชุดสบายๆ ทั้งมีกลิ่นไอของหญิงสาวผู้สูงส่งอย่างเห็นได้ชัด เป็นคุณหนูใหญ่ที่เผยใบหน้าหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย เค้าโครงยังคล้ายกับจิงอิ๋งอยู่หลายส่วน ย่อมมิพ้นเป็นซั่งกวนหลิงหลง ผู้ที่ได้ยินคำเลื่องลือมาอย่างยาวนาน ด้านข้างเป็นหญิงสาวที่อยู่ในชุดสีเขียวผู้หนึ่ง ดวงตาจดจ้องไปยังเบื้องหน้าอย่างเคร่งขรึม ทุกการเคลื่อนไหวราวกับล้วนถูกกลั่นกรองมาเป็นอย่างดี แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายทุกคนอยู่บ้าง ทว่าท้ายที่สุดก็ยังดูหม่นหมองอยู่ เห็นได้ชัดว่าเทียบรัศมีไม่ติด เช่นนั้นก็คงต้องเป็นอู๋เลี่ยนเยี่ยนแล้ว! ด้านหลังของนางยังมีแม่นมและสาวใช้ผู้หนึ่ง ต่างก็มีสีหน้าที่ไม่ดีนัก มิน่าเล่า จื่อหลัวจึงได้เตือนเช่นนั้น!

หลังจากหลิงหลงเห็นหญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะเย็บผ้า นางก็มองจนสติแทบจะหลุดลอย…ช่างงดงามเหลือเกิน มิน่าเล่าจิงอิ๋งจึงได้เทิดทูนนางขนาดนั้น เป็นคนที่สง่างามอย่างแท้จริง! อู๋เลี่ยนเยี่ยนก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน พลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีตามขึ้นมาทันที

“คุณหนู คุณหนูใหญ่ซั่งกวนมาถึงแล้วเจ้าค่ะ!” ลู่หลัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูใหญ่ นี่คือคุณหนูของพวกเราเจ้าค่ะ!”

“คงเป็นหลิงหลงสินะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ละเข็มในมือลง ใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ได้ยินมานานว่าคุณหนู

หลิงหลงตระกูลซั่งกวนฉลาดหลักแหลม ชื่นชอบคิดคำนวณเป็นที่สุด เป็นบุตรีตระกูลขุนนางที่มีความคิดความอ่านฉับไวยากจะได้พบ แต่เดิมยังคิดว่าคงจะได้พบกันหลังแต่งงาน ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกันก่อนเช่นนี้ ลู่หลัวยังอ้ำอึ้งอะไรอยู่ รีบเชิญคุณหนูหลิงหลงนั่งเสียสิ”

เมื่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้ม ก็ยิ่งงดงามทวีคูณมากยิ่งขึ้น จื่อหลัวและลู่หลัวต่างก็รู้ดี พวกนางจึงไม่แปลกใจที่รอยยิ้มงดงามของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะสร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้คน ทั้งสองคนลอบส่งสายตาให้กันเป็นนัย มองกันอย่างรู้ไส้รู้พุง

“แค่กๆ” หลิงหลงดึงสติกลับมาได้เป็นคนแรก ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นางก็เคยคบค้าสมาคมกับมู่หรงชิงหวั่นมาก่อน อายุอานามของนางก็ไม่ต่างจากบุตรีของตระกูลอื่นมากนัก จากที่ติดตามมู่หรงชิงหวั่น มองเห็นนางที่งดงามเหนือผู้คนใต้หล้า จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์เปล่งประกายความงามออกมา แม้จะมองจนหูตาฝ้าฟาง แต่ก็นับว่าสดใสสะคราญไม่ต่างกัน

“เชิญคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ!” ลู่หลัววางเก้าอี้ลงด้านหน้าโต๊ะที่จื่ออวิ๋นกำลังชงชา ก่อนจะเชิญหลิงหลงนั่งลงด้วยความนอบน้อม เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยัดกายขึ้นมาจากโต๊ะปักผ้า จากนั้นก็ถูกจื่อหลัวค่อยๆ พยุงไปยังโต๊ะน้ำชา

“นั่งลงก่อนเถิด!” น้ำเสียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้ให้ความรู้สึกเย็นชา ทั้งไม่ได้จงใจทำเสียงแข็งทื่อ แต่เป็นน้ำเสียงที่ดูนุ่มนวลอย่างเป็นปกติ เมื่อได้ฟังก็คล้ายกับลมเย็นที่พัดปลิวผ่านใบหน้า ทั้งอ่อนโยนและเย็นสบาย ทำให้คนต่างก็อดไม่ไหวที่จะเข้าใกล้

“ชาที่จื่ออวิ๋นกำลังชง เป็นชาเถี่ยกวนอินจากอันฝู ชาฤดูหนาวปีที่แล้วที่พ่อบ้านหวงส่งมาให้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองจื่ออวิ๋นอุ่นกา ก่อนจะบรรจงเทชาลงไปในกาจื่อซา[1]คล้อยหลังก็มองกาน้ำชาที่ถูกอุ่นโดยไม่ละสายตา คอยดูว่าน้ำเดือดแล้วหรือยัง

“ข้าค่อนข้างชื่นชอบการดื่มชา จึงดื่มชาจนติดเป็นนิสัยแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย มองจื่ออวิ๋นที่เทน้ำร้อนลงใส่กาจื่อซา จากนั้นก็นำกาน้ำชาไปวางไว้อีกด้าน ยกฝาปิดกาจื่อซาไว้ทั้งเขย่าเล็กน้อย ก่อนฟองชาที่เอ่อล้นออกมาจะซึมหายไปอย่างรวดเร็ว คล้อยหลังนางก็เทกาน้ำชาลงไปในถ้วยจื่อซาที่เตรียมไว้ไม่กี่ถ้วย ใช้ถ้วยเล็กคว่ำปิดปากถ้วยเอาไว้ ก่อนจะส่งให้ทั้งสามคนรวมถึงอู๋เลี่ยนเยี่ยนด้วย

เยี่ยนมี่เอ๋อร์สูดลมหายใจลึก ทั้งหยิบถ้วยเล็กที่ปิดไว้ออก เคลื่อนถ้วยเข้ามาใกล้จมูก สูดดมกลิ่นชาเข้าไปอย่างแผ่วเบา นางพริ้มตาอย่างเคลิบเคลิ้ม เผยใบหน้าที่ผ่อนคลายและสบายอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง

หลิงหลงก็คุ้นชินกับการดื่มชา แต่ว่านางพิถีพิถันขนาดนั้นที่ไหนกัน ความละเอียดอ่อนนี้ ทำให้จิตใจสงบลงโดยปริยาย กลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้บางเบาผสานกับความหอมจากชาเกิดเป็นกลิ่นที่แปลกประหลาด มีเพียงอู๋เลี่ยนเยี่ยนที่สัมผัสกลิ่นชาจากการร่ำเรียนมาอย่างระมัดระวัง จึงทำให้สูญเสียความเป็นธรรมชาติ ดูแข็งทื่อและยึดตามแบบจนเกินไป

“ปกติหลิงหลงชอบดื่มชาอันใดกัน?” เมื่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นว่านางได้ดำดิ่งไปกับกลิ่นหอมของชา ก็วางถ้วยชาลง ก่อนจะกล่าวถามทั้งเผยยิ้มอย่างเลือนราง

“ข้ามักจะดื่มชาหวงซานเหมาเฟิง” หลิงหลงในยามนี้ไม่มีอารมณ์โมโหเหมือนตอนที่เดินเข้าประตูมาอีกแล้ว ทั้งรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด น้ำเสียงในขณะที่พูดก็อ่อนโยนตามมาด้วย

“กลิ่นของเหมาเฟิงให้ความรู้สึกสดชื่นและเป็นธรรมชาติ มีรสกลมกล่อม ยามที่ลิ้มรสจะขมเล็กน้อย เมื่อผ่านไปสักพักก็จะให้รสชาติที่หอมหวานติดปลายลิ้นอยู่เนิ่นนาน หลิงหลงก็คล้ายกับเหมาเฟิง มิน่าเล่าเจ้าจึงชอบเหมาเฟิง” คำกล่าวของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้หลิงหลงหน้าแดงไปชั่วขณะ รู้สึกเขินอายมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

“กลิ่นหอมบ่งบอกนิสัย การดื่มชาก็ทำให้รู้จักคนเช่นกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยแย้มยิ้ม “สีของชาเหมาเฟิงใสสะอาด ทั้งเปล่งประกาย แม้ว่าหลิงหลงจะฉลาดหลักแหลม ทั้งมีไหวพริบ แต่เพราะถูกปกป้องจนเกินไป จึงทำให้มองออกอย่างง่าย ดายว่ายังขาดประสบการณ์ ไม่เคยแปดเปื้อน ทั้งอาจถูกสั่นคลอนได้ง่าย ข้าพูดถูกหรือไม่?”

“คุณหนูหลักแหลมยิ่งนัก” หลิงหลงหน้าแดง ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความเหนียมอาย รู้สึกตกใจกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่บ้าง จากนั้นก็ค่อยถามอย่างสงสัย “ท่านชอบดื่มชาอะไรหรือ?”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มบางๆ “ตั้งแต่เด็กก็มักจะถูกลมหนาวเข้าแทรก จึงดื่มชาผู่เอ๋อร์บ่อยครั้ง แต่พอโตขึ้น ข้าก็มักจะดื่มชาเถี่ยกวนอินมากกว่า กระนั้นข้ายังชอบแต่ชาฤดูหนาวเท่านั้น ทำให้จิตใจรู้สึกผ่อนคลาย ในยามที่ปลดปล่อยอารมณ์ไปกับบุปผาและจันทรา ก็จะใช้ถ้วยแก้วสีสันสดใสชงชาอิ๋นเจิน กล่าวได้ว่าชื่นชอบอย่างหลากหลาย”

“คุณหนูเยี่ยนกล่าวว่าการดื่มชาทำให้รู้จักนิสัยคน ไม่ทราบว่าจากการที่คุณหนูเยี่ยนดื่มชาทำให้เห็นอะไรบ้างหรือ?”

อู๋เลี่ยนเยี่ยนไม่สบอารมณ์ที่ตนถูกมองข้ามเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังไม่ยินดีที่จะเห็นหลิงหลงรู้สึกดีกับเยี่ยมี่เอ๋อร์ จึงกล่าวออกไปทันที

              “ชื่นชอบหลากหลายเช่นนี้ หรือจะหมายความว่าชมชอบหลายอย่างไปหมด ไม่เช่นนั้นก็รักง่ายหน่ายเร็วอย่างนั้นหรือ?”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกตะลึงไปเล็กน้อย ใบหน้าปรากฏความสงสัยอยู่บ้าง “หลิงหลง หญิงสาวผู้นี้ จะว่าไปแล้วดูไม่เหมือน กับสาวใช้ข้างกายของเจ้าเลย เหตุใดไม่แนะนำสักหน่อยเล่า?”

อู๋เลี่ยนเยี่ยนโกรธจนขึ้นหน้า นางว่าอะไรนะ ดูไม่เหมือนกับสาวใช้ข้างกายอย่างนั้นรึ นางคล้ายสาวใช้ที่ไหนกัน?

จู่ๆ หลิงหลงก็รู้สึกได้ทันทีว่าการพาอู๋เลี่ยนเยี่ยนมาด้วยเป็นความผิดพลาดอย่างหนึ่ง นางควรจะแนะนำอู๋เลี่ยนเยี่ยน

อย่างไรดี เพื่อนสนิทของตน? หลานสาวของอนุภรรยาอู๋? ผู้ที่ชื่นชมพี่ชายใหญ่? ดูคล้ายจะไม่เหมาะสมไปหมด!

“คุณหนูอู๋ผู้นี้เป็นหลานสาวของอนุภรรยาอู๋ เข้าจวนมาเป็นเพื่อนเล่นเพื่อนคุยกับคุณหนูของพวกเราอยู่บ่อยครั้ง คงจะไม่เคยมีคนกล่าวให้คุณหนูเยี่ยนได้ยินมาก่อนสินะเจ้าคะ?” ผู้ที่หัวเราะรักษาบรรยากาศคือแม่นมหวัง นางมองออกว่า คุณหนูตระกูลเยี่ยนรู้จักอู๋เลี่ยนเยี่ยน แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม จึงแสร้งเป็นไม่รู้จักเสียอย่างนั้น

“เป็นคุณหนูอู๋นี่เอง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทราบแล้ว กลับไม่ได้คิดจะสนทนาต่อไปแต่อย่างใด กล่าวกับหลิงหลงแทน “ตระกูลหวงฝู่ควบคุมดูแลพื้นที่ในเมืองฝูโจว ชาเถี่ยกวนอินนี้ก็เป็นตระกูลหวงฝู่ที่ส่งมาให้ จำได้ว่าในวัยเด็ก ทุกปีฮูหยินก็ล้วนแต่ส่งของดีๆ มาให้ ทั้งชาเถี่ยกวนอินและชาอู่อี๋เหยียน ชาอู่อี๋เหยียนนั้นมีกลิ่นหอมฟุ้ง น่าลุ่มหลง รสชาติอมขมอมหวาน เมื่อดื่มก็จะทำให้รู้สึกชุ่มคอ วันที่ร้อนอบอ้าว หากจิบสักนิดก็ให้ผลดีไม่น้อย เพียงแต่เสียดายที่ข้าไม่ชื่นชอบสีของมัน สีสวยสดแต่ก็ไม่อาจแยกออกได้ชัดเจน ดังนั้นจึงดื่มไม่มากนัก แม้หลายคนมักจะกล่าวว่าชาฤดูใบไม้ผลิมีรสชาติดี แต่อย่างไรข้าก็ยังชอบดื่มเถี่ยกวนอินที่เป็นชาฤดูหนาวอยู่ดี ให้รสที่กลมกล่อมกว่าชาฤดูใบไม้ผลิ ละมุนลิ้นเป็นอย่างมาก แม้จะมีรสขมเข้มข้นไปบ้าง แต่รสหวานก็ยังคงอยู่ปลายลิ้นเช่นกัน โดยเฉพาะหลันเซียง การชงแต่ละครั้งล้วนมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยกถ้วยชาถ้วยแรกที่จื่ออวิ๋นเพิ่งชงเมื่อสักครู่มาจิบหนึ่งคำ “หลิงหลง เจ้าลองชิมดูว่ารสชาตินี้คล้ายกับอะไร”

หลิงหลงคล้ายกับถูกสะกดจิตจนลืมเสียสิ้นว่าตนกำลังรอให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดคุยกับอู๋เลี่ยนเยี่ยนอยู่ นางยกถ้วยชาขึ้น มา ฉวยยามที่ชายังร้อนอยู่ ดื่มไปหนึ่งคำ แท้จริงแล้วเป็นดั่งที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวไม่มีผิด รสชาติกลมกล่อมกว่า กลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้ก็ลึกล้ำมากกว่า คล้ายกับดอกกล้วยไม้ที่ผลิบานยามรัตติกาลที่ไร้ผู้คนก็มิปาน หอมฟุ้งจนเตะจมูก…

คนที่ฉลาดอย่างแท้จริงไม่อาจถูกคนจูงจมูก แต่ต้องชักจูงผู้อื่นให้ได้ต่างหาก!

คำพูดของมารดา เยี่ยนมี่เอ๋อร์แต่ไหนแต่ไรก็จำจนขึ้นใจ ทั้งนำมาปรับใช้ ประจบเหมาะที่หยั่งเชิงนิสัยของซั่งกวนหลิงหลงได้ จึงชักจูงความคิดของนาง…แน่นอนว่า นี่ก็เป็นเพราะว่ารู้ข้อมูลบางส่วนของหลิงหลงมาจากจิงอิ๋ง เมื่อลองวิเคราะห์นิสัยของนางอย่างละเอียดแล้วจึงได้ผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้ และก็ทำให้อู๋เลี่ยนเยี่ยนถูกมองข้ามไปอย่างง่ายดาย…

———————————

[1] กาจื่อซา กาที่ทำจากดินจื่อซา มีชื่อเสียงอย่างแพร่หลาย ทนต่อความร้อนได้สูงและดูดซับรสชาติได้ดี