ไม่พบผู้ใดทั้งนั้น
ฉู่หลิวเยว่ฟังประโยคนี้ได้ขึ้นใจ
นางหยุดชะงักฝีเท้าทันที แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย
เมื่ออวี๋มั่วได้ยินประโยคนี้ก็ตกตะลึงเช่นกัน
ไม่ให้เข้าเฝ้าอย่างนั้นเหรอ
แต่เห็นกันชัดๆ ว่าก่อนหน้านี้เจ้านายเคยบอกว่าไว้ไม่ให้ใครเข้าเฝ้าทั้งนั้น มีเพียงคุณหนูใหญ่ตะกูลฉู่เท่านั้นหากมาถึงให้รีบไปรายงานทันที
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกล้าในคนพานางเข้ามาเลยเดี๋ยวนั้น
แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้…เจ้านายบอกว่าไม่อยากเจอแล้วอย่างนั้นหรือ
เยี่ยนชิงก็รู้สึกขมขื่นเช่นกัน ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า!
เขาเห็นกับตาว่าเจ้านายรอคุณหนูใหญ่ฉู่มาทั้งวันเต็มๆ ถ้าบอกว่าไม่อยากเจอก็คงเป็นไปไม่ได้
เมื่อครู่นี้ยังหงุดหงิดโมโหเพราะคุณหนูใหญ่ฉู่มาหาอยู่เลยนี่นา
กว่านางจะมามิใช่เรื่องง่าย เจ้านายไม่เพียงแต่ไม่ดีใจเท่านั้น แต่ทำไมแม้กระทั่งหน้านางก็ยังไม่อยากเจอ
“องค์ชาย คือ…คุณหนูใหญ่ฉู่…”
หรงซิวเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยนชิงด้วยแววตาเรียบนิ่ง
เหยียนชิงกลืนคำพูดในลำคอของเขาทันทีและก้มศีรษะลงอีกครั้ง แล้วยืนสงบปากสงบคำอยู่ด้านข้าง
หรงซิวถอนสายตากลับไปแล้วพลิกหน้าหนังสือหน้าถัดไป
ลมยามราตรีพัดผ่าน มือข้างหนึ่งของเขากำแน่นแล้วเอามาป้องปากไออยู่หลายครั้ง
แต่ดวงตาคมคู่นั้นไม่ได้หันไปมองฉู่หลิวเยว่เลยสักครั้ง
ฉู่หลิวเยว่เริ่มอยู่ไม่สุขแล้วมองไปที่อวี๋มั่ว
“ในเมื่อเจ้านายพวกท่านไม่สบาย เช่นนั้นขาก็ไม่รบกวนแล้ว ของสิ่งนี้นำไปฝากคืนแทนข้าที แล้วข้าฝากขอบพระทัยองค์ชายของพวกท่านด้วยที่ยื่นมือช่วยเหลือ”
นางพูดพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในถุงไปให้
เมื่ออวี๋มั่วเห็นผ้าเช็ดหน้าอีกฝ่าย เขาก็เกิดอาการหนังตากระตุกอย่างแรง
นี่คือผ้าเช็ดหน้าติดตัวขององค์ชายมิใช่หรือ
ปกติองค์ชายมักจะให้ความสำคัญกับผ้าเช็ดหน้ามา ติดตัวไว้ตลอดแทบไม่เคยห่าง แต่…ทำไมตอนนี้ถึงไปอยู่กับฉู่หลิวเยว่ได้ล่ะ
คืนนั้นเขาไม่ได้เข้าวังย่อมไม่รู้เรื่องภายในเป็นธรรมดา
องค์ชายต้องเป็นผู้มอบสิ่งนี้ให้ฉู่หลิวเยว่แน่นอน…
“คุณหนูใหญ่ฉู่ คือว่า…”
อวี๋มั่วลังเลว่าจะรับไว้ดีหรือไม่ แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งร่าง
เขาสะดุ้งโหยงแล้วรีบปฏิเสธทันควัน
“คุณหนูใหญ่ฉู่ขอรับ นี่เป็นของขององค์ชาย ท่านเอาไปให้เองเถิดขอรับ”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ก็แค่ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวไม่ใช่หรือ
ทำไมถึงต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย
นางก็อยากจะคืนให้เต็มแก่อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ถ่อมาถึงที่หรอก
แต่หรงซิวเพิ่งพูดอยู่หยกๆ ว่าไม่อยากเจอใครทั้งนั้น แล้วจะให้นางทำอย่างไร
นางเดินเข้าไปดูตรงนั้นแวบหนึ่ง
ด้านฝั่งตรงข้ามประตูที่เปิดอยู่นั้น นางเห็นร่างสูงโปร่งเอนกายนอนอยู่
แสงนวลตาส่องกระทบรูปร่างที่ไม่มีผู้ใครเทียบเคียงของเขาราวกับรูปสลักที่งดงามไร้ที่ติ
เปลือกตาหรุบลงและเม้มริมปากบางเล็กน้อย
นี่หรงซิว…กำลังโกรธเหรอ
เขาโกรธอะไร
เมื่อครุ่นคิดสักพัก ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่เข้าใจว่าเขาคิดสิ่งใดกันแน่ แต่นางก็ไม่อยากคิดให้ยุ่งเหยิง นางจึงมองแล้วถามหรงซิวตามตรง
“ท่านหลีอ๋อง หม่อมฉันนำของมาคืนแล้ว หม่อมฉันคงไม่ติดค้างหนี้บุญคุณแล้วใช่หรือไม่ ขอบพระทัยพระองค์ที่ยื่นมือช่วยเหลืออยู่หลายครั้ง แต่ว่าหม่อมฉันไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณผู้ใด อีกทั้งหนทางของหม่อมฉันและพระองค์แตกต่างกัน ตั้งแต่นี้ไปเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา หม่อมฉันว่าพยายามเจอกันให้น้อยที่สุดจะดีกว่าเพคะ”
เมื่อนางพูดเสร็จสรรพก็ไม่หันไปมองปฏิกิริยาของหรงซิวอีก แล้วกะจะเอาผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ยื่นให้อวี๋มั่ว
หรงซิวหัวเราะเบาๆ โดยไร้เสียง
ไม่มีทางใดที่จะสยบชายหนุ่มคนนี้ได้จริงๆ
ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้น สายตาที่มองฉู่หลิวเยว่ล้อมรอบตัวนางเอาไว้อย่างล่องหน
“ไม่ วันนี้เจ้ายังติดหนี้บุญคุณข้าอีกสองครั้ง”
ฉู่หลิวเยว่ใจสั่นไหว
“ครั้งแรกคือเสวียเสวี่ยช่วยเจ้าเอาไว้”
น้ำเสียงของเขาอบอุ่นและสดใสอยู่เสมอ แต่เย็นยะเยือกยิ่งกว่าแสงจันทร์
“ครั้งที่สอง คนที่ตามฆ่าเจ้าวันนี้ ไม่ใช่คนของรัชทายาท”
แววตาของฉู่หลิวเยว่พลันเย็นเฉียบ
…
ในวันนี้ เมืองหลวงของแคว้นเย่าเฉินดูสงบ แต่กลับมีความเคลื่อนไหวบางอย่างในความมืดมิด
ณ ห้องทรงอักษร ตำหนักรัชทายาท
ในห้องนั้น มีเพียงหรงจิ้นและชายชราอีกคนในชุดคลุมสีเทา
“ท่านแน่ใจจริงหรือว่ามีสัตว์อสูรระดับเจ็ดปรากฏตัวขึ้นที่เมืองหลวง แต่ดูเหมือนจะไม่มีข่าวลือเลยนี่นา…”
หรงจิ้นถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“สัตว์อสูรระดับเจ็ดตัวนั้นมาปรากฏตัวเพียงแวบเดียว คนธรรมดาไม่มีทางทันสังเกต แต่อาจารย์ได้ไปสืบดูแล้ว ตรอกแปดเหลี่ยมทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวงมีร่องรอยต่อสู้ของสัตว์อสูรระดับเจ็ดจริงพ่ะย่ะค่ะ”
ชายชราลูบเคราของเขาอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม
“อีกอย่าง กระหม่อมขอยืนยันในฐานะราชครู ตัวนั้นไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง มันต้องเพิ่งมาปรากฏตัวใหม่แน่นอน ที่สำคัญมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่ามันมีเจ้าของแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ้นขมวดคิ้วเป็นปม
“แต่ในเมืองหลวงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถครอบครองสัตว์อสูรระดับเจ็ดได้…แล้วมันคือผู้ใด”
ราชครูส่ายหน้า
“พระองค์อย่าได้ดูถูกผู้ใดในเมืองหลวงเป็นอันขาด อีกฝ่ายมีสัตว์อสูรระดับเจ็ดในครอบครอง จะเห็นได้ว่ามิอาจต่อกรได้โดยง่าย หากอีกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่พระองค์ พระองค์เองก็ต้องยิ่งระวังตัวนะพ่ะย่ะค่ะ”
ชายชราส่ายหน้าอีกครั้ง
“ตอนนี้พระองค์คือรัชทายาทผู้สูงส่ง หลายคนต่างหมายปองตำแหน่งนี้ สัญญาหมั้นหมายระหว่างพระองค์กับฉู่หลิวเยว่จบไม่สวยเท่าไหร่ ฝ่าบาทก็ทรงไม่พอพระทัยอยู่เหมือนกัน ดังนันเวลาเยี่ยงนี้ พระองค์อย่าได้ก่อเรื่องเดือดร้อนอีกนะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ทีไรหรงจิ้นก็นึกโมโหขึ้นมา
“เป็นเพราะฉู่หลิวเยว่คนเดียว…”
“นางก็เป็นแค่คนพิการ ไม่มีสิ่งใดต้องเกรงกลัว ช่วงนี้พระองค์ทรงอยู่เฉยๆ รอคลื่นลมสงบก็จะดีขึ้นเอง ที่สำคัญคือ พระองค์ต้องยกระดับความแข็งแกร่ง ทำให้ฝ่าบาทได้เห็นถึงความสามารถของพระองค์”
หรงจิ้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยักหน้าตอบ
“ท่านราชครูพูดถูก ศิษย์จะจดจำทุกคำสอนให้ขึ้นใจ”
“ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่พระองค์ศึกษาในสำนักเทียนลู่ พระองค์ต้องคว้าโอกาสนั้นให้ได้ เข้าใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม!”
…
ข่าวการปรากฏตัวของสัตว์อสูรระดับเจ็ดในเมืองหลวงแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปจนถึงพวกตระกูลขุนนางทั้งหลาย
แน่นอนว่าหรงเจินก็รู้เรื่องนี้ด้วย
เรื่องนี้ทำให้นางกระตือรือร้นอยากรู้อยากลอง
ก่อนหน้านี้ที่จับสัตว์อสูรมา ระดับของพวกมันไม่สูงเท่าไหร่นัก ตอนนี้ในที่สุดก็มีสัตว์อสูรระดับเจ็ดตัวหนึ่งมาปรากฏตัว นางต้องได้ไปเจอตัวมันอย่างแน่นอน
หากสามารถจับมันเอาไว้ได้ก็จะให้มันทำสัญญาเป็นสัตว์อสูรของตนเอง…ไม่รู้ว่านางจะชื่นชมสมใจแค่ไหน
ด้วยเหตุนี้นางจึงเริ่มส่งคนไปสืบหาร่องรอยของสัตว์อสูรระดับเจ็ดตัวนี้
เรื่องที่ฉู่หลิวเยว่ถูกคนตามฆ่า ดูเหมือนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้กระทั่งทางด้านสองคนนั้นที่หายสาบสูญไปก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น
ในสถานการณ์ที่ดูสงบนิ่ง ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็ได้รับสารจากสำนักเทียนลู่
…ทางสำนักเทียนลู่ตอบรับพระประสงค์ของฝ่าบาท ให้สิทธิพิเศษในการสอบเข้าให้ฉู่หลิวเยว่
เพียงแค่นางสอบผ่านก็จะสามารถเข้าเรียนที่สำนักเทียนลู่แล้วกลายเป็นลูกศิษย์อีกคนหนึ่งได้
…
ขึ้นสิบค่ำเดือนแปด คือวันครบรอบวันเกิดอายุสิบสี่ปีของฉู่หลิวเยว่ ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ฉู่หลิวเยว่ต้องไปสอบที่สำนักเทียนลู่
ฉู่หนิงตื่นมาทำบะหมี่อายุยืนให้กับนางด้วยตัวเอง
ในอดีตชาติของนาง วันครบรอบวันเกิดของนางทุกครั้งจะจัดอย่างยิ่งใหญ่อลังการมาก คนที่เข้ามาอวยพรเฉลิมฉลองมีมากมายนับไม่ถ้วน ของขวัญต่างๆ สามารถเขียนรายการออกมาได้ยาวเหยียด
ตอนนี้ แม่จะมีฉู่หนิงคนเดียวที่อยู่ด้วยกันกับนาง แต่บะหมี่อายุยืนชามนี้กลับทำให้นางรู้สึกเติมเต็มความอบอุ่นขึ้นมาได้มากมายเลยทีเดียว
ฉู่หลิวเยว่กินบะหมี่จนเกลี้ยงชาม เมื่อเก็บกวาดเรียบร้อย นางก็ออกจากบ้านแล้วมุ่งหน้าไปยังสำนักเทียนลู่ทันที
ฉู่หนิงอยากตามไปด้วย แต่กลับถูกนางปฏิเสธ
นางรู้ดีว่าช่วงนี้ฉู่หนิงกำลังยุ่งเรื่องบางอย่างอยู่ อีกอย่างสำหรับนางแล้ว เรื่องสอบเข้าเป็นเพียงเรื่องง่ายนิดเดียวเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้ใครไปเป็นกำลังใจให้
แต่พอมาถึงหน้าประตูสำนักเทียนลู่ ฉู่หลิวเยว่จึงพบว่าที่นี่มีคนมารออยู่เยอะมากแล้ว
เมื่อฉู่หลิวเยว่ปรากฏตัวก็ดึงดูดสายตาคนจำนวนไม่น้อย
ฉู่หลิวเยว่ตกใจ
เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้มารอดูเรื่องตลกขบขัน
ชายวัยกลางคนยืนอยู่หน้าประตูของสำนักเทียนลู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขามองไปที่ฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาอดรนทนไม่ไหว
“ฉู่หลิวเยว่เองหรือ ในเมื่อฝ่าบาทเอ่ยปากขอร้องแทนเจ้า เช่นนั้นพวกเราก็จะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง การสอบเข้ามีทั้งหมดสามสาขาได้แก่ ผู้ฝึกยุทธ์ ปรมาจารย์ และหมอเทวดา หากสอบผ่านสาขาใดก็ได้ ถือว่าเจ้าประสบความสำเร็จ แล้วเจ้า…เลือกสาขาใดหรือ”