เล่ม 1 ตอนที่ 36 ดูเรื่องตลก

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ไม่พบผู้ใดทั้งนั้น

ฉู่หลิวเยว่ฟังประโยคนี้ได้ขึ้นใจ

นางหยุดชะงักฝีเท้าทันที แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย

เมื่ออวี๋มั่วได้ยินประโยคนี้ก็ตกตะลึงเช่นกัน

ไม่ให้เข้าเฝ้าอย่างนั้นเหรอ

แต่เห็นกันชัดๆ ว่าก่อนหน้านี้เจ้านายเคยบอกว่าไว้ไม่ให้ใครเข้าเฝ้าทั้งนั้น มีเพียงคุณหนูใหญ่ตะกูลฉู่เท่านั้นหากมาถึงให้รีบไปรายงานทันที

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกล้าในคนพานางเข้ามาเลยเดี๋ยวนั้น

แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้…เจ้านายบอกว่าไม่อยากเจอแล้วอย่างนั้นหรือ

เยี่ยนชิงก็รู้สึกขมขื่นเช่นกัน ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า!

เขาเห็นกับตาว่าเจ้านายรอคุณหนูใหญ่ฉู่มาทั้งวันเต็มๆ ถ้าบอกว่าไม่อยากเจอก็คงเป็นไปไม่ได้

เมื่อครู่นี้ยังหงุดหงิดโมโหเพราะคุณหนูใหญ่ฉู่มาหาอยู่เลยนี่นา

กว่านางจะมามิใช่เรื่องง่าย เจ้านายไม่เพียงแต่ไม่ดีใจเท่านั้น แต่ทำไมแม้กระทั่งหน้านางก็ยังไม่อยากเจอ

“องค์ชาย คือ…คุณหนูใหญ่ฉู่…”

หรงซิวเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยนชิงด้วยแววตาเรียบนิ่ง

เหยียนชิงกลืนคำพูดในลำคอของเขาทันทีและก้มศีรษะลงอีกครั้ง แล้วยืนสงบปากสงบคำอยู่ด้านข้าง

หรงซิวถอนสายตากลับไปแล้วพลิกหน้าหนังสือหน้าถัดไป

ลมยามราตรีพัดผ่าน มือข้างหนึ่งของเขากำแน่นแล้วเอามาป้องปากไออยู่หลายครั้ง

แต่ดวงตาคมคู่นั้นไม่ได้หันไปมองฉู่หลิวเยว่เลยสักครั้ง

ฉู่หลิวเยว่เริ่มอยู่ไม่สุขแล้วมองไปที่อวี๋มั่ว

“ในเมื่อเจ้านายพวกท่านไม่สบาย เช่นนั้นขาก็ไม่รบกวนแล้ว ของสิ่งนี้นำไปฝากคืนแทนข้าที แล้วข้าฝากขอบพระทัยองค์ชายของพวกท่านด้วยที่ยื่นมือช่วยเหลือ”

นางพูดพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในถุงไปให้

เมื่ออวี๋มั่วเห็นผ้าเช็ดหน้าอีกฝ่าย เขาก็เกิดอาการหนังตากระตุกอย่างแรง

นี่คือผ้าเช็ดหน้าติดตัวขององค์ชายมิใช่หรือ

ปกติองค์ชายมักจะให้ความสำคัญกับผ้าเช็ดหน้ามา ติดตัวไว้ตลอดแทบไม่เคยห่าง แต่…ทำไมตอนนี้ถึงไปอยู่กับฉู่หลิวเยว่ได้ล่ะ

คืนนั้นเขาไม่ได้เข้าวังย่อมไม่รู้เรื่องภายในเป็นธรรมดา

องค์ชายต้องเป็นผู้มอบสิ่งนี้ให้ฉู่หลิวเยว่แน่นอน…

“คุณหนูใหญ่ฉู่ คือว่า…”

อวี๋มั่วลังเลว่าจะรับไว้ดีหรือไม่ แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งร่าง

เขาสะดุ้งโหยงแล้วรีบปฏิเสธทันควัน

“คุณหนูใหญ่ฉู่ขอรับ นี่เป็นของขององค์ชาย ท่านเอาไปให้เองเถิดขอรับ”

ฉู่หลิวเยว่ “…”

ก็แค่ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวไม่ใช่หรือ

ทำไมถึงต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย

นางก็อยากจะคืนให้เต็มแก่อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ถ่อมาถึงที่หรอก

แต่หรงซิวเพิ่งพูดอยู่หยกๆ ว่าไม่อยากเจอใครทั้งนั้น แล้วจะให้นางทำอย่างไร

นางเดินเข้าไปดูตรงนั้นแวบหนึ่ง

ด้านฝั่งตรงข้ามประตูที่เปิดอยู่นั้น นางเห็นร่างสูงโปร่งเอนกายนอนอยู่

แสงนวลตาส่องกระทบรูปร่างที่ไม่มีผู้ใครเทียบเคียงของเขาราวกับรูปสลักที่งดงามไร้ที่ติ

เปลือกตาหรุบลงและเม้มริมปากบางเล็กน้อย

นี่หรงซิว…กำลังโกรธเหรอ

เขาโกรธอะไร

เมื่อครุ่นคิดสักพัก ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่เข้าใจว่าเขาคิดสิ่งใดกันแน่ แต่นางก็ไม่อยากคิดให้ยุ่งเหยิง นางจึงมองแล้วถามหรงซิวตามตรง

“ท่านหลีอ๋อง หม่อมฉันนำของมาคืนแล้ว หม่อมฉันคงไม่ติดค้างหนี้บุญคุณแล้วใช่หรือไม่ ขอบพระทัยพระองค์ที่ยื่นมือช่วยเหลืออยู่หลายครั้ง แต่ว่าหม่อมฉันไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณผู้ใด อีกทั้งหนทางของหม่อมฉันและพระองค์แตกต่างกัน ตั้งแต่นี้ไปเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา หม่อมฉันว่าพยายามเจอกันให้น้อยที่สุดจะดีกว่าเพคะ”

เมื่อนางพูดเสร็จสรรพก็ไม่หันไปมองปฏิกิริยาของหรงซิวอีก แล้วกะจะเอาผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ยื่นให้อวี๋มั่ว

หรงซิวหัวเราะเบาๆ โดยไร้เสียง

ไม่มีทางใดที่จะสยบชายหนุ่มคนนี้ได้จริงๆ

ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้น สายตาที่มองฉู่หลิวเยว่ล้อมรอบตัวนางเอาไว้อย่างล่องหน

“ไม่ วันนี้เจ้ายังติดหนี้บุญคุณข้าอีกสองครั้ง”

ฉู่หลิวเยว่ใจสั่นไหว

“ครั้งแรกคือเสวียเสวี่ยช่วยเจ้าเอาไว้”

น้ำเสียงของเขาอบอุ่นและสดใสอยู่เสมอ แต่เย็นยะเยือกยิ่งกว่าแสงจันทร์

“ครั้งที่สอง คนที่ตามฆ่าเจ้าวันนี้ ไม่ใช่คนของรัชทายาท”

แววตาของฉู่หลิวเยว่พลันเย็นเฉียบ

ในวันนี้ เมืองหลวงของแคว้นเย่าเฉินดูสงบ แต่กลับมีความเคลื่อนไหวบางอย่างในความมืดมิด

ณ ห้องทรงอักษร ตำหนักรัชทายาท

ในห้องนั้น มีเพียงหรงจิ้นและชายชราอีกคนในชุดคลุมสีเทา

“ท่านแน่ใจจริงหรือว่ามีสัตว์อสูรระดับเจ็ดปรากฏตัวขึ้นที่เมืองหลวง แต่ดูเหมือนจะไม่มีข่าวลือเลยนี่นา…”

หรงจิ้นถามด้วยความสงสัยใคร่รู้

“สัตว์อสูรระดับเจ็ดตัวนั้นมาปรากฏตัวเพียงแวบเดียว คนธรรมดาไม่มีทางทันสังเกต แต่อาจารย์ได้ไปสืบดูแล้ว ตรอกแปดเหลี่ยมทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวงมีร่องรอยต่อสู้ของสัตว์อสูรระดับเจ็ดจริงพ่ะย่ะค่ะ”

ชายชราลูบเคราของเขาอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม

“อีกอย่าง กระหม่อมขอยืนยันในฐานะราชครู ตัวนั้นไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง มันต้องเพิ่งมาปรากฏตัวใหม่แน่นอน ที่สำคัญมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่ามันมีเจ้าของแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หรงจิ้นขมวดคิ้วเป็นปม

“แต่ในเมืองหลวงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถครอบครองสัตว์อสูรระดับเจ็ดได้…แล้วมันคือผู้ใด”

ราชครูส่ายหน้า

“พระองค์อย่าได้ดูถูกผู้ใดในเมืองหลวงเป็นอันขาด อีกฝ่ายมีสัตว์อสูรระดับเจ็ดในครอบครอง จะเห็นได้ว่ามิอาจต่อกรได้โดยง่าย หากอีกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่พระองค์ พระองค์เองก็ต้องยิ่งระวังตัวนะพ่ะย่ะค่ะ”

ชายชราส่ายหน้าอีกครั้ง

“ตอนนี้พระองค์คือรัชทายาทผู้สูงส่ง หลายคนต่างหมายปองตำแหน่งนี้ สัญญาหมั้นหมายระหว่างพระองค์กับฉู่หลิวเยว่จบไม่สวยเท่าไหร่ ฝ่าบาทก็ทรงไม่พอพระทัยอยู่เหมือนกัน ดังนันเวลาเยี่ยงนี้ พระองค์อย่าได้ก่อเรื่องเดือดร้อนอีกนะพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ทีไรหรงจิ้นก็นึกโมโหขึ้นมา

“เป็นเพราะฉู่หลิวเยว่คนเดียว…”

“นางก็เป็นแค่คนพิการ ไม่มีสิ่งใดต้องเกรงกลัว ช่วงนี้พระองค์ทรงอยู่เฉยๆ รอคลื่นลมสงบก็จะดีขึ้นเอง ที่สำคัญคือ พระองค์ต้องยกระดับความแข็งแกร่ง ทำให้ฝ่าบาทได้เห็นถึงความสามารถของพระองค์”

หรงจิ้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยักหน้าตอบ

“ท่านราชครูพูดถูก ศิษย์จะจดจำทุกคำสอนให้ขึ้นใจ”

“ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่พระองค์ศึกษาในสำนักเทียนลู่ พระองค์ต้องคว้าโอกาสนั้นให้ได้ เข้าใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“อืม!”

ข่าวการปรากฏตัวของสัตว์อสูรระดับเจ็ดในเมืองหลวงแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปจนถึงพวกตระกูลขุนนางทั้งหลาย

แน่นอนว่าหรงเจินก็รู้เรื่องนี้ด้วย

เรื่องนี้ทำให้นางกระตือรือร้นอยากรู้อยากลอง

ก่อนหน้านี้ที่จับสัตว์อสูรมา ระดับของพวกมันไม่สูงเท่าไหร่นัก ตอนนี้ในที่สุดก็มีสัตว์อสูรระดับเจ็ดตัวหนึ่งมาปรากฏตัว นางต้องได้ไปเจอตัวมันอย่างแน่นอน

หากสามารถจับมันเอาไว้ได้ก็จะให้มันทำสัญญาเป็นสัตว์อสูรของตนเอง…ไม่รู้ว่านางจะชื่นชมสมใจแค่ไหน

ด้วยเหตุนี้นางจึงเริ่มส่งคนไปสืบหาร่องรอยของสัตว์อสูรระดับเจ็ดตัวนี้

เรื่องที่ฉู่หลิวเยว่ถูกคนตามฆ่า ดูเหมือนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้กระทั่งทางด้านสองคนนั้นที่หายสาบสูญไปก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น

ในสถานการณ์ที่ดูสงบนิ่ง ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็ได้รับสารจากสำนักเทียนลู่

…ทางสำนักเทียนลู่ตอบรับพระประสงค์ของฝ่าบาท ให้สิทธิพิเศษในการสอบเข้าให้ฉู่หลิวเยว่

เพียงแค่นางสอบผ่านก็จะสามารถเข้าเรียนที่สำนักเทียนลู่แล้วกลายเป็นลูกศิษย์อีกคนหนึ่งได้

ขึ้นสิบค่ำเดือนแปด คือวันครบรอบวันเกิดอายุสิบสี่ปีของฉู่หลิวเยว่ ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ฉู่หลิวเยว่ต้องไปสอบที่สำนักเทียนลู่

ฉู่หนิงตื่นมาทำบะหมี่อายุยืนให้กับนางด้วยตัวเอง

ในอดีตชาติของนาง วันครบรอบวันเกิดของนางทุกครั้งจะจัดอย่างยิ่งใหญ่อลังการมาก คนที่เข้ามาอวยพรเฉลิมฉลองมีมากมายนับไม่ถ้วน ของขวัญต่างๆ สามารถเขียนรายการออกมาได้ยาวเหยียด

ตอนนี้ แม่จะมีฉู่หนิงคนเดียวที่อยู่ด้วยกันกับนาง แต่บะหมี่อายุยืนชามนี้กลับทำให้นางรู้สึกเติมเต็มความอบอุ่นขึ้นมาได้มากมายเลยทีเดียว

ฉู่หลิวเยว่กินบะหมี่จนเกลี้ยงชาม เมื่อเก็บกวาดเรียบร้อย นางก็ออกจากบ้านแล้วมุ่งหน้าไปยังสำนักเทียนลู่ทันที

ฉู่หนิงอยากตามไปด้วย แต่กลับถูกนางปฏิเสธ

นางรู้ดีว่าช่วงนี้ฉู่หนิงกำลังยุ่งเรื่องบางอย่างอยู่ อีกอย่างสำหรับนางแล้ว เรื่องสอบเข้าเป็นเพียงเรื่องง่ายนิดเดียวเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้ใครไปเป็นกำลังใจให้

แต่พอมาถึงหน้าประตูสำนักเทียนลู่ ฉู่หลิวเยว่จึงพบว่าที่นี่มีคนมารออยู่เยอะมากแล้ว

เมื่อฉู่หลิวเยว่ปรากฏตัวก็ดึงดูดสายตาคนจำนวนไม่น้อย

ฉู่หลิวเยว่ตกใจ

เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้มารอดูเรื่องตลกขบขัน

ชายวัยกลางคนยืนอยู่หน้าประตูของสำนักเทียนลู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขามองไปที่ฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาอดรนทนไม่ไหว

“ฉู่หลิวเยว่เองหรือ ในเมื่อฝ่าบาทเอ่ยปากขอร้องแทนเจ้า เช่นนั้นพวกเราก็จะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง การสอบเข้ามีทั้งหมดสามสาขาได้แก่ ผู้ฝึกยุทธ์ ปรมาจารย์ และหมอเทวดา หากสอบผ่านสาขาใดก็ได้ ถือว่าเจ้าประสบความสำเร็จ แล้วเจ้า…เลือกสาขาใดหรือ”