ภาคที่ 1 บทที่ 27 กลยุทธ์เสริมความสามารถส่วนบุคคลของคณะวิจัยสมุนไพรจีน (ตอนต้น)

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 27 กลยุทธ์เสริมความสามารถส่วนบุคคลของคณะวิจัยสมุนไพรจีน (ตอนต้น)

แต้มศีลธรรม +1 งั้นเหรอ?

ความไม่เข้าใจปรากฏขึ้นในดวงตาของซูเย่

เพียงแค่การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขา สามารถทำให้เพื่อนร่วมคณะสักคนหนึ่งเกิดปณิธานแรงกล้าในการเรียนได้ขนาดนี้เชียวหรือนี่?

ไม่ทันได้คิดอะไร ปากก็พูดออกไปเสียแล้ว

“.. ในช่วงบ่ายนั้น ความเย็นในอากาศจะมากขึ้น พลังงานฉีเย็นหรือหยินก็จะมากขึ้น ทำให้ไม่สามารถตรวจวินิจฉัยปอดได้อย่างชัดเจน เนื่องจากพลังงานฉีเย็นได้มาบรรจบกันที่ปอดพอดี”

ดวงตาของอาจารย์หลี่เคอหมิงหรี่ลงเล็กน้อยอย่างสนใจ

“การระบุความแตกต่างระหว่างเลือดลมและฉีเย็นสามารถระบุได้จากพื้นผิวไปยังภายใน จากผิวหนังไปยังกล้ามเนื้อ แต่จากกล้ามเนื้อไปยังกระดูก จากทรวงอกไปยังกะบังลม จากกระเพาะอาหารไปยังลำไส้ จะต้องทำเช่นไรหากจากจุดหนึ่งค่อย ๆ ลงลึกขึ้นจนไม่สามารถไปถึงอีกจุดหนึ่งได้… “

“เนื่องจากเลือดลมนั้นเป็นสายพลังเย็น ดังนั้นจึงต้องรอให้ไข้แปรเป็นความร้อนเสียก่อน จากนั้นถึงแก้ปัญหาเรื่องไข้ได้”

ซูเย่ตอบ

“ได้มีคำกล่าวที่ว่าหากไม่มีสภาพที่แท้จริง ไม่มีความบกพร่อง ต่อให้สูญเสียนับได้ว่าเป็นความขาดแคลนแต่ก็มีผลดี สามารถตรวจสอบได้จากชีพจรตำแหน่งชุ่นโข่วหรือไม่? โรคใด ๆ นับว่ามีความบกพร่องในตัวหรือไม่? ข้อดีและข้อเสียเป็นอย่างไร? “

อาจารย์หลี่เคอหมิงถามอีกครั้งในทันที

“โรคภัยคือโรคภัย ไม่มีสิ่งใดแน่นอนจีรัง โรคใด ๆ ล้วนเกิดมาจากการขาดแคลนและบกพร่องในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง….”

ซูเย่ตอบกลับไปอีกครั้ง

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เลว ไม่เลวเลย”

อาจารย์หลี่เคอหมิงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม เขารู้สึกพึงพอใจมากจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลยทีเดียว

คำถามทั้งสามข้อนี้มาจากแบบทดสอบแปดสิบข้อแรก ที่อยู่ในระดับที่ยากมากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น “ต้นกำเนิดลมปราณ” “พลังหยินหยางในร่างกาย” และ “การรักษาไข้แบบโบราณฉบับดั้งเดิม” ซูเย่สามารถตอบได้อย่างลื่นไหลไม่ติดขัด หนึ่งไปสอง สองไปสาม สามไปสี่… มีความเป็นไปได้สูงเลยทีเดียวว่าเขามีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้พอควร

นอกจากหนังสือทั้งสิบเอ็ดเล่มแล้ว ดูเหมือนว่าฐานความรู้ของซูเย่จะแข็งแกร่งกว่าที่ชายวัยกลางคนคิดเอาไว้มาก!

นักเรียนทุกคนในห้องต่างทำหน้างงงวยกันอย่างไม่เข้าใจ กับคำถามทั้งสามที่ถูกถามและถูกตอบกลับมาอย่างว่องไว พวกเขาทั้งไม่เข้าใจ และตามไม่ทันด้วยซ้ำว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น

หรือจริงๆ แล้วอาจารย์หลี่ก็แค่อยากลองเชิงซูเย่ดูเฉยๆ?

“เหยดดด!”

ซูชือหันไปส่งสายตากับจินฟานที่อยู่ข้าง ๆ ก่อนจะกระซิบกระซาบกันอย่างไม่เชื่อสายตา “เสี่ยวเย่ที่พวกเรารู้จักเก่งขนาดนั้นเลยเหรอวะ? ลั่วกังก็ฉุดไม่ไหว อาจารย์หลี่ก็รั้งไม่อยู่?”

พร้อมกับ “หรือว่าไอ้วิธีเปิดหนังสือผ่านฟึบฟับที่เสี่ยวเย่มันทำบ่อย ๆ จะเป็นเคล็ดลับสุดยอดที่ใช้ได้ผลจริง ๆ?”

จินฟานยักไหล่ “ไม่รู้เหมือนกันว่ะ”

ซูชือลูบคางเบา ๆ “เสี่ยวเย่นี่เป็นใครกันแน่วะ? ฉันชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าไอ้หมอนี่มันเป็นเด็กซิ่วจริงๆ รึเปล่านะ? หมอนั่นเคยพูดอะไรกับนายเรื่องนี้บ้างไหม?”

“จำไม่เห็นได้เลยว่าเคยพูดเรื่องอะไรทำนองนั้นนะ”

จินฟานส่ายหน้าอย่างจนปัญญา

ลั่วกังมองไปยังซูเย่อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ตัวเขาเองก็ไม่สามารถที่จะตอบคำถามเหล่านั้นได้

นี่น่ะเหรอ ความต่างชั้นกันระหว่างพวกเขา?

ลั่วกังกำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว

ตอนนี้ฉันอายุน้อยกว่านายสี่ปี แต่พอฉันอายุยี่สิบสอง ฉันจะเก่งกว่านายให้ได้เลย คอยดูเถอะ!

“ดิ้ง~”

แต้มศีลธรรม +1

ซูเย่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับสายตาที่หรี่เล็กลง ทำไมถึงแต้มเด้งอีกแล้วล่ะเนี่ย

ใครเกิดฮึกเหิมอีกละทีนี้? นี่มันได้ผลดีเกินกว่าที่คาดไว้จนน่ากลัวเลยนะ…

ตอนนี้เขามีทั้งหมดเจ็ดแต้มแล้วด้วยกัน ซึ่งขาดอีกเพียงแค่สามแต้มก็จะสามารถเปิดจุดพลังลมปราณได้

ลั่วกังเดินเข้ามาสวมกอดซูเย่พอเป็นพิธี ก่อนจะมองไปรอบ ๆ และเดินจากไป ในเมื่อเขาพ่ายแพ้ไปแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องอยู่ที่นี่อีก เขาจะต้องไปเรียนให้หนักกว่านี้!

เหล่าเด็กใหม่ต่างลุกขึ้นและเดินตามหลังลั่วกังไปติด ๆ

“นักศึกษาซูเย่ มากับอาจารย์หน่อย”

อาจารย์หลี่เคอหมิงพูดกับซูเย่ก่อนจะเดินออกไปจากห้องเรียน

ซูเย่เดินตามเขาไปอย่างไม่รีรอ

นักเรียนคณะวิจัยสมุนไพรจีนคนอื่น ๆ ก็เริ่มออกจากห้องเรียนเพื่อไปรับประทานอาหารที่โรงอาหารเช่นกัน ใบหน้าของพวกเขาประดับไปด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ

ผู้เป็นอาจารย์และนักศึกษาเดินเข้าไปนั่งอยู่ในศาลารับลมบริเวณสวนหย่อมภายในมหาวิทยาลัย

“ซูเย่ เธออยากจะเรียนพิเศษกับอาจารย์จริง ๆ เหรอ?”

อาจารย์หลี่เคอหมิงถาม

“ครับ” ซูเย่พยักหน้าตอบเป็นการยืนยัน

“ถ้าอย่างนั้น ช่วยบอกอาจารย์หน่อยได้มั้ยว่าพวกหนังสือที่เธอเคยท่องให้ฟังในคลาสอาจารย์เมื่อคราวโน้นน่ะ เธอไปหาอ่านมาจากที่ไหน”

อาจารย์หลี่เคอหมิงจ้องมองไปยังซูเย่และเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้

“ผมขุดขึ้นมาได้จากบ้านบรรพบุรุษผมน่ะครับ”

ซูเย่กล่าว

“ขุดขึ้นมาเรอะ?”

อาจารย์หลี่เคอหมิงถึงกับนิ่งไป เขาไม่ได้คาดคิดเอาไว้ว่าจะได้พบกับคำตอบที่เรียบง่ายเช่นนี้ แต่เขาก็ถามกลับในทันทีด้วยความสนอกสนใจ “มีหนังสือโบราณเล่มอื่น ๆ ที่ขุดเจออีกไหม?”

“เยอะเลยครับ”

ซูเย่พยักหน้าน้อย ๆ “แต่ว่าพวกมันโดนแอบซ่อนเอาไว้นะครับ”

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นอาจารย์หลี่เคอหมิงก็หัวเราะออกมาแห้งๆ เห็นได้ชัดเลยว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่อยากโดนถามไปมากกว่านี้แล้ว

แน่นอนว่าประโยคสุดท้ายที่ซูเย่พูดนั้น เขาจงใจพูดเพื่อให้อีกฝ่ายหยุดถามเรื่องรายละเอียดจริงๆ

หลังจากที่รู้ที่มาที่ไปแล้ว อาจารย์หลี่เคอหมิงก็ไม่คิดจะถามอะไรอีก ยังไงเด็กคนนี้ก็ไม่ได้หนีหายไปไหนอยู่แล้ว ดังนั้นจึงยังมีโอกาสอีกมากมายในการเฝ้าจับตาดูถึงสิ่งที่เขารู้ในอนาคต

“มะรืนนี้อาจารย์มีธุระปรึกษาหารือที่โรงพยาบาล ถ้าเธออยากจะเรียนรู้การวินิจฉัยชีพจร ก็ให้มาแล้วกันนะ”

“ขอบคุณครับ”

ซูเย่กล่าวขอบคุณเขาอย่างสุภาพนอบน้อม

“ไว้ถึงตอนนั้น ก็เอาตำราชีพจร 5 สีมาให้อาจารย์อ่านด้วยล่ะ “

“ถือเสียว่าแลกเปลี่ยนกัน”

อาจารย์หลี่เคอหมิงกล่าว ความพึงพอใจปรากฏผ่านรอยยิ้ม

หลังจากที่แลกเปลี่ยนข้อมูลเบอร์โทรสำหรับติดต่อกันแล้ว อาจารย์หลี่เคอหมิงก็มองดูซูเย่จากไป ก่อนจะคิดอะไรบางอย่างกับตนเอง ชายวัยกลางคนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ทำการแก้ไขชื่อเบอร์โทรด้วยการเปลี่ยนใหม่เป็นคำว่า “ความหวัง”

ท่านอาจารย์… แม้ว่าอนาคตของคณะวิจัยสมุนไพรจีนจะมืดหม่น…แต่นับว่ายังคงพอมีความหวังหลงเหลืออยู่บ้าง

ซูเย่กลับไปยังหอพักของตัวเองหลังจากที่รับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไป…

“ว้าว… ยินดีต้อนรับกลับครับ ลูกพี่”

ซูชือและจินฟานที่อยู่ในห้องอยู่แล้วต่างเด้งตัวลุกขึ้นในทันที แล้วมายืนขนาบข้างต้อนรับเขา พร้อมปรบมืออย่างกับแมวน้ำในอควาเรียม ดูแล้วช่างน่าขันยิ่งนัก

เมื่อเห็นท่าทีโอ่อ่าของทั้งคู่ที่ไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าเป็นความชื่นชม มุกตลก หรือการประชดประชันกันแน่ แต่ซูเย่ก็ยิ้มออกมาและเดินผ่านการต้อนรับนั้นไป

“สุดยอดไปเลยครับพี่เบิ้ม!”

ซูชือกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม “นายเนี่ยเป็นหน้าเป็นตาให้กับคณะแพทย์แผนจีนจริง ๆ เลยนะวันนี้! รุ่นพี่ในคณะเขาเรียนกันมาตั้งนาน แต่ก็เพิ่งจะมีวันนี้นี่แหละที่กล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าภูมิใจในคณะนี้สุด ๆ!”

“พวกเขาบอกว่าอยากจะชวนนายไปทานอาหารเย็นด้วยนะ แต่ถ้านายไปจริง ๆ ก็อย่าลืมเรียกพวกเราไปด้วยล่ะ “

จินฟานพูดแบบติดตลกพร้อมกับหัวเราะ

“แน่นอน หรือถ้าพวกนายจะอยากเลี้ยงฉันเอง ฉันก็ไม่ขัดหรอกนะ ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยมีเงินซะด้วยสิ”

ซูเย่บอกกับเพื่อนเขาทั้งสองพร้อมกับรอยยิ้ม

ซูชือ จินฟาน “…”

ไอ้หมอนี่มันถังแตกรึไงวะ…

“…แล้วก็…นอกจากนี้น่ะนะ…”

สีหน้าขี้เล่นของจินฟานก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ราบเรียบจนสัมผัสได้ถึงความจริงจังผ่านดวงตา เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เป็นงานเป็นการขึ้นว่า “จะเป็นอะไรมั้ย ถ้าในอนาคตนายจะช่วยติว หรือช่วยสอนพวกเราหน่อย…”