บทที่ 23 ค่ำคืนบอกลาจางอี๋

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

บทที่ 23 ค่ำคืนบอกลาจางอี๋ Ink Stone_Romance

ซ่งชูอีแสยะปากยิ้ม “เทียบกับจางจื่อแล้วยังด้อยกว่านัก”

จื่อ คือการเรียกด้วยความเคารพอย่างหนึ่ง จางจื่อที่ซ่งชูอีกล่าวถึงก็คือจางอี๋

“พอเถอะ หยุดยกยอข้าสักที” จางอี๋ยิ้มเอ่ย หลังจากคลุกคลีมาหลายวัน เขาพอจะเข้าใจนิสัยใจคอของซ่งชูอีบ้าง “ไม่ทราบว่าหวยจินเป็นคนที่ใด อายุยังน้อยเหตุใดจึงรอบรู้เช่นนี้?”

ชื่อเสียงเรียงนามของเถาติ้งมิได้เลื่องลือในต่างถิ่น แต่ซ่งชูอีจะต้องรู้สถานการณ์ในแต่ละรัฐราวฝ่ามือ จึงจะสามารถเอ่ยชื่อของเขาออกมาอย่างง่ายดาย

ซ่งชูอีหยุดบังเหียนม้ากะทันหัน จางอี๋เห็นเช่นนี้ก็หยุดลง หันมองนาง

ตะเกียงแรกจุดขึ้น ค่ำคืนเย็นสบายผสมผสานกับแสงตะเกียงสีส้ม มันรวมกันตัวจนก่อให้เกิดแสงประหลาด รอยยิ้มอ่อนๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของซ่งชูอี ประสานมือคารวะ “พี่ชายตวนหรง หวยจินมีสถานะเป็นศิษย์สำนักเต๋า ปีนี้อายุสิบหก เป็นชาวซ่ง สำหรับเรื่องสำนัก…วีรบุรุษไม่ถามถึงที่มา ข้ากับพี่ชายตวนหรงรู้จักกันท่ามกลางความยากลำบาก วันหน้าหากต่างประสบความสำเร็จแล้ว จักต้องดื่มฉลองสักสามร้อยจอก! หากพี่ชายตวนหรงไม่เต็มใจที่จะร่วมด้วยในครานี้ วันนี้พวกเราก็แยกกันตรงนี้เถิด”

ในเมื่อซ่งชูอีเกิดใหม่แล้ว เกรงว่าทางสำนักก็จำนางไม่ได้อีก ขืนกล่าวออกไป ภาคภายหน้าอาจถูกผู้คนกล่าวหาว่าแอบอ้างชื่อของสำนักเต๋าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ได้” จางอี๋ตอบรับอย่างสบายๆ “หวยจินมีสิ่งที่ไม่สามารถบรรยายได้ ก็ไม่ต้องเอ่ย! มิตรภาพระหว่างเจ้ากับข้ายังคงอยู่ บัดนี้ข้าจะไปรัฐฉิน หากหวยจินจะออกจากรัฐเว่ย์ในภายภาคหน้า ต้องมาหาข้าเพื่อพูดคุยสังสรรค์กัน! เจ้าว่าเยี่ยงไร?”

จางอี๋ดึงบังเหียนม้า ฟาดแส้ลง ออกเดินทางสู่ถนนใหญ่

ทั้งสองมีนิสัยคล้ายคลึงกัน เดิมทีในใจของทั้งคู่ปรารถนาจะร่วมสาบานเป็นพี่น้อง แต่ครั้นคิดดูอีกที หากเจอกันอีกคราภายใต้ช่วงเวลาแห่งความเกลียดชัง การร่วมสาบานจะมีประโยชน์อันใด มันจะเป็นเพียงโซ่พันธะต่อกัน ไหนเลยจะสู้ความสัมพันธ์อันมีอิสระได้ แม้พวกเขาจะต่างเป็นเจ้าคนนายคนและห้ำหั่นกันเอง ก็จำต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ!

ใจของจางอี๋รู้ดีว่าแม้ซ่งชูอีพูดจาไร้สาระ แต่มีข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่มิอาจโต้เถียงได้ ตามความเป็นจริงแล้วศิษย์พี่ของเขาสองคนเป็นปรปักษ์ต่อกันทั้งชีวิต เขากับซูฉินก็ไม่สามารถร่วมงานกันได้ในอนาคต

จนกระทั่งเงาของจางอี๋ลับสายตาไปแล้ว ซ่งชูอีจึงลงมาจากม้า เอื้อมมือตบๆ หัวม้า จูงสายบังเหียนแล้วเดินไปตามถนน ผู้อารักขาทั้งสองนายลงม้าอย่างเงียบๆ แล้วเดินตามนางไป

สายลมคำรามผ่านถนนไป ซ่งชูอีอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเล็กน้อย แต่ว่าตากลมหนาวอยู่ครู่หนึ่ง ผิวหนังก็ปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาเล็กน้อย

ผู้อารักขาสองนายตามอยู่ครู่หนึ่ง เห็นซ่งชูอีเดินทอดน่องอย่างไร้จุดหมาย หนึ่งในนั้นอดไม่ได้ที่จะถาม “ท่านหวยจินจะไปแวะคารวะเถาติ้งมิใช่หรือ?”

จี๋อวี่ส่งผู้อารักขาสองนายให้กับซ่งชูอี นายหนึ่งเป็นผู้บังคับกองพันนามว่าจี้ฮ่วน แม้หน้าตาไม่หล่อเหลา แต่ว่ารูปร่างงดงามและแข็งแกร่ง เป็นประเภทที่หญิงสาวโปรดปราน อีกนายหนึ่งเป็นนายทหารนามว่าอวิ่นรั่ว

ซ่งชูอีไม่หันไปก็รู้ว่าคนที่ถามคือผู้บังคับกองพันจี้ฮ่วน “ท่านรู้จักจวนของเขารึ?”

จี้ฮ่วนเอ่ย “ข้าน้อยมาที่ซุยหยางเป็นครั้งแรก ไม่รู้จักขอรับ”

“ข้าก็มาที่ซุยหรานครั้งแรก” ซ่งชูอีกล่าวราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว

จี้ฮ่วนที่อยู่ข้างหลังขมวดคิ้ว อวิ่นรั่วก็มองนางอย่างไม่สบายใจเล็กน้อย เดิมทีพวกเขานึกว่าซ่งชูอีหันรีหันขวางอยู่ที่ถนนเพราะมีเจตนาบางอย่าง นักยุทธศาสตร์มักมีแผนการที่เหนือความคาดหมายไม่ใช่หรือ แต่ที่แท้เป็นเพราะนางหาไม่เจอ!

“ถึงแล้ว” ซ่งชูอีขัดจังหวะความคิดของพวกเขา

ทั้งสองคนดีใจ หันไปมอง กลับเห็นร้านผ้าร้านหนึ่ง!

เถ้าแก่กำลังเก็บของเตรียมจะปิดร้าน เห็นพวกซ่งชูอียืนอยู่หน้าร้าน แม้สามคนสวมเสื้อผ้าขาดรุ่ย แต่ว่าในมือจูงม้าชั้นดีสามสี่ตัว จึงเอ่ยถามด้วยความกะตือรือร้น “ท่านทั้งสามอ้อยอิ่งอยู่ที่หน้าร้านข้าน้อย ต้องการซื้อผ้าอย่างนั้นหรือ?”

“ถูกต้อง” ซ่งชูอีตอบ “ข้าอยากใช้ม้าแลกกับเสื้อผ้าสามตัว และอาหารจำนวนหนึ่ง ไม่ทราบว่าได้หรือไม่?” ในสมัยนี้การแลกเปลี่ยนสิ่งของคือธุรกรรมปกติ แม้แต่ซุยหยางในฐานะนครหลวงที่โดยมากจะใช้เงินและผ้าไหมก็ไม่ปฏิเสธการแลกเปลี่ยนประเภทนี้

เถ้าแก่ร้านผู้นั้นเดินออกมานอกร้าน มองๆ ม้าสามสี่ตัว เอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าต้องการจะแลกด้วยม้าตัวไหน?”

เถ้าแก่เป็นคนดูม้าเป็น เมื่อครู่ซ่งชูอีเห็นอย่างชัดเจนว่าสายตาของเขาหยุดอยู่ที่ม้าตัวสีดำด้านหลังนางครู่หนึ่ง ม้าตัวนี้เป็นม้าสงครามก็ออกรบกับจี๋อวี่ ม้าธรรมดาไม่อาจเทียบเสน่ห์ของมันได้

ซ่งชูอีเห็นมองดูม้าสามตัว ม้าอีกสองตัวก็นับว่าไม่เลว ยื่นมือชี้มั่วๆ ตัวหนึ่ง “ตัวนี้แล้วกัน”

เถ้าแก่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่การเอาม้าแข็งแรงตัวหนึ่งแลกกับสิ่งของที่ซ่งชูอีกล่าวเมื่อครู่ก็มากเกินพอแล้ว “ได้ ท่านทั้งสามเข้ามาเถิด”

ทั้งสามคนผูกม้าไว้กับเสาที่หน้าประตู เดินตามเถ้าแก่เข้าร้านไป

เมื่อไฟตะเกียงส่องสว่าง เจ้าของร้านเพียงชำเลืองมองรูปร่างของทั้งสามคนก็รู้แล้วว่าควรใส่เสื้อผ้าใหญ่เล็กแค่ไหน

เขาหยิบเสื้อผ้าหลายชิ้นออกมาจากตู้สินค้า มีเสื้อผ้าซาตินและผ้าป่าน และผ้าซาตินนั้นก็เป็นอาภรณ์ของผู้หญิง

สีหน้าของจี้ฮ่วนและอวิ่นรั่วเปลี่ยนไปเล็กน้อย จี้ฮ่วนก่นด่า “ตาเฒ่า เจ้ากล้าดูถูกพวกข้ารึ พวกเราสามคนเป็นผู้ชาย เหตุใดจึงหยิบเสื้อผ้าผู้หญิงออกมา!”

“ตาเฒ่าเยี่ยงข้าไม่เคยเอาเปรียบ ยิ่งไม่กล้าดูถูกใคร” เจ้าของร้านเหลือบมองซ่งชูอี เอ่ยด้วยความหมายที่ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งสองคนตกใจสุดขีด มองซ่งชูอีด้วยแววตาโกรธเคืองประมาณว่า “เจ้ามันพวกหลอกลวง” ทันที

“เถ้าแก่ ข้าขอชุดผ้าป่านที่เหล่าบัณฑิตทั่วไปใส่กัน” ซ่งชูอีเอ่ย

ดวงตาของจี้ฮ่วนแดงก่ำ ราวกับว่าจะมีเลือดหยดออกมา กัดฟันเอ่ย “เหตุใดเจ้าถึงหลอกพวกข้า!”

พวกเขาถูกกักตัวอยู่ในรัฐซ่งหลายวัน เสบียงร่อยหรอนานแล้ว ทันใดนั้นเองก็มีสองคนที่สามารถช่วยพวกเขาให้พ้นจากภยันตรายปรากฏตัวขึ้น เพื่อซ่งชูอีแล้ว พวกเขาสองพันกว่าคนต้องทนความหนาวและความหิวโหยช่วยตามหาสหายของนางในป่าตลอดทั้งคืน บัดนี้เมื่อรับรู้ว่าบัณฑิตผู้นี้เป็นสตรี ความโกรธแค้นระเบิดขึ้นภายในสมองของจี้ฮ่วน ลืมคำพูดเปี่ยมปัญญาของซ่งชูอีไปจนหมดสิ้น ในใจนึกว่านางกำลังเล่นตลกกับทหารของรัฐเว่ย์สองพันนาย

“ข้าไม่เคยเอ่ยว่าข้าเป็นบุรุษ” ซ่งชูอีชินกับการที่ผู้คนตั้งคำถามความสามารถของนางเนื่องด้วยเพศนานแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ “ตราบใดที่ข้าสามารถทำตามที่รับปากได้ เป็นชายหรือหญิงสำคัญด้วยหรือ?”

ซ่งชูอีเห็นว่าสีหน้าของทั้งสองคนอ่อนลง จึงพูดต่อ “พวกเจ้าสองคนพกดาบไม่ใช่รึ? ถ้าหากข้าทำไม่ได้ ก็เอาหัวของข้าไปได้”

เถ้าแก่เห็นว่าผู้อารักขาทั้งสองคนเปี่ยมด้วยแรงอาฆาต ไม่กล้าหายใจแรง สองมือยื่นเสื้อแขนกว้างสีดำให้ซ่งชูอี

ซ่งชูอีรับเสื้อมา เอ่ยขึ้น “มีที่ให้เปลี่ยนเสื้อหรือไม่?”

“ได้โปรดตามข้ามา” ท่าทีของเถ้าแก่นอบน้อมกว่าเมื่อครู่มาก โค้งคำนับน้อยๆ ปล่อยให้ซ่งชูอีไปเปลี่ยนเสื้อ

จากนั้นไม่นาน ซ่งชูอีที่สวมเสื้อคลุมแขนกว้างสีดำเดินออกมา ใบหน้าของนางอวบอิ่ม จมูกเป็นสันตรง มองไม่เห็นส่วนโค้งเว้าของร่างกาย ครั้นสวมเสื้อผู้ชายและเกล้าผมไว้ด้านบนแล้ว ดูเหมือนเด็กหนุ่มมาก

บัดนี้จี้ฮ่วนกับอวิ่นรั่วก็สงบลงมาแล้ว ซ่งชูอีพูดถูก นางมีชะตาชีวิตของพวกเขาสองพันคนอยู่ในมือ แต่หากนางไม่มีความสามารถในการช่วยคน พวกเขาก็สามารถฆ่านางได้ทันที

ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองคนจึงไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนก่อน การปฏิบัติตัวต่อซ่งชูอีก็เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด

จี้ฮ่วนกับอวิ่นรั่วผลัดกันเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นทั้งสามก็รับอาหารบางส่วนมาจากเถ้าแก่ ถามเส้นทาง แล้วเตรียมตัวไปคารวะเถาติ้ง

……………………………