“คุณจาง” เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวกับจางจิ่งหลินด้วยความสุภาพ “ช่วงที่ผมไม่อยู่ ขอให้ลิ่วหยวนกับพี่เสี่ยวอวี้พักที่โรงเรียนนะครับ”
จางจิ่งหลินมองเริ่นเสี่ยวซู่แล้วว่า “เธอต้องไปแน่ๆ ใช่ไหม”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งแล้วตอบ “ผมเกรงว่าไม่มีทางจะปฏิเสธได้แล้วครับ คุณก็เห็นสภาพของจางเป่าเกินแล้ว ไม่ว่าจะชีวิตของคุณหรือชีวิตของผมเอง ล้วนอยู่ในมือของในคนป้อมปราการกันทั้งนั้น ถ้าผมยอมออกไปเผชิญหน้ากับอันตรายตอนนี้ ผมอาจจะรอดชีวิตกลับมาได้ ตอนอยู่ข้างนอกใช้ชีวิตคนอื่นมาสังเวยแทนตัวเองยังได้ แต่ถ้ายังอยู่แต่ในนี้และปฏิเสธพวกเขาไป ผมกลัวว่าพวกเขาจะใช้อำนาจมืดจะจัดการพวกผมแทน”
“ไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้แล้วหรือ” จางจิ่งหลินถาม
“ไม่มีแล้วครับ” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “แต่ว่าคุณจางไม่ต้องเป็นห่วงไป ต่อให้พวกเขาตายกันหมด ผมก็ไม่เป็นอะไรหรอก”
เอาจริงๆ แล้ว เดิมเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่อยากเอาตัวไปยุ่งด้วยหรอก แต่การเอาตัวรอดด้วยประสบการณ์กับสภาพร่างกายของตนตอนนี้ เขาไม่กังวลใจเลยว่าจะกลับมาแบบมีชีวิตไม่ได้
แต่ว่าเถอะนะ รางวัลที่เขาจะได้นี่โหลยโท่ยสิ้นดี เหยียนลิ่วหยวนกับเสี่ยวอวี้เข้าไปในป้อมปราการได้ด้วยจะดีกว่ามาก ถ้าเป็นอย่างอื่นก็ไร้ค่าแล้วสำหรับเขา
เขาอยากเข้าไปในป้อมมากก็จริง แต่จะทิ้งเหยียนลิ่วหยวนกับเสี่ยวอวี้ไว้ข้างหลังไม่ได้หรอก
ที่เริ่นเสี่ยวซู่ยังไม่บอกเหยียนลิ่วหยวนคือ หลังจากที่เขาได้พลังพิเศษมา ทุกคืนตอนนอนก็จะรู้สึกกระสับกระส่ายด้วยความอยากออกไปเห็นโลกกว้างภายนอก
เมืองนี้เล็กนัก หากไปยืนอยู่อาคารสูงๆ แวบเดียวก็สามารถมองเห็นได้ทั้งเมืองแล้ว เล็กจนขนาดได้ยินเสียงหญิงม่ายอ้าปากด่าพวกวัยรุ่นสายสก๊อยดังมาจากตัวเมืองตะวันตก
เขาอยากออกไปเห็นโลกใบนี้
และที่เริ่นเสี่ยวซู่กำลังกังวลจริงๆ คือ ถ้าเขาออกไป ใครจะดูแลความปลอดภัยให้เสี่ยวอวี้กับเหยียนลิ่วหยวน
ถ้าจางจิ่งหลินไม่อนุญาตให้เสี่ยวอวี้กับเหยียนลิ่วหยวนพักที่นี่ละก็ เริ่นเสี่ยวซู่ไม่มีทางไปกับพวกนักดนตรีนั่นเด็ดขาด
“ดูเหมือนเธอจะรู้นะว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เย็นนี้บอกให้เสี่ยวอวี้กับเหยียนลิ่วหยวนมาที่นี่ ระหว่างนี้ฉันจะทำความสะอาดบ้านไว้ก่อน” จางจิ่งหลินพยักหน้า จางจิ่งหลินรู้สึกว่าในเมืองนี้ไม่มีใครเก่งกาจด้านเอาตัวรอดไปมากกว่าเริ่นเสี่ยวซู่อีก เพราะฉะนั้น เมื่อมองจากมุมมองของคนเป็นครู และเห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่มั่นอกมั่นใจมากขนาดนี้แล้ว เขาก็ไม่พูดอะไรให้มากความอีก
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าจางจิ่งหลินตกปากรับคำก็ถอนหายใจโล่งอก “อาจารย์ครับ ผมเพิ่งเก็บเงินได้ห้าพันหยวน โปรดรับไว้ถือเป็นค่ากินอยู่ของพี่เสี่ยวอวี้กับเหยียนลิ่วหยวนนะครับ”
“เธอเอากลับไปเถอะ” จางจิ่งหลินสายหัว แล้วพูด “ฉันเป็นอาจารย์นะ รับเฉพาะเงินค่าสอนเท่านั้น”
“อาจารย์อย่าปฏิเสธเลยครับ รับเงินนี้ไว้ซื้อบุหรี่มาสูบเถอะครับ” เริ่นเสี่ยวซู่พูดต่อ
จางจิ่งหลินลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกระแอม “ฉันรับแค่พันหยวน เป็นค่าเช่าพอ”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ต่อรองอะไรอีก นับเงินหนึ่งพันหยวนแล้วยื่นให้จางจิ่งหลินทันที ปกติแล้วเขามักเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวมาก แต่เรื่องใดสำคัญก็พร้อมจะจับจ่ายออก อย่างเรื่องของเหยียนลิ่วหยวน เริ่นเสี่ยวซู่จะไม่ขี้เหนียวเด็ดขาด
ส่วนเงินที่เหลืออีกสี่พันหยวนนั้น เขาว่าจะนำไปให้เสี่ยวอวี้
ต้องไม่ให้เหยียนลิ่วหยวนถือเงินไว้ เพราะถ้าเกิดกรณีที่เสี่ยวอวี้เกิดความโลภขึ้นมา อย่างมากเธอก็จะนำเงินไป แต่เหยียนลิ่วหยวนจะไม่ตกอยู่ในอันตรายอะไร
ถ้าให้เงินเหยียนลิ่วหยวน ความปลอดภัยเขาก็ถือว่าสุ่มเสี่ยงแล้ว
จนกระทั่งตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ยังคงสงสัยในตัวเสี่ยวอวี้อยู่บ้าง คิดแบบนี้อาจจะไม่ถูกนัก อีกทั้งถ้าเสี่ยวอวี้รู้เข้าเธอคงเสียใจมาก ทว่านี่อาจจะเป็นหนทางที่จะลดความเจ็บปวดที่เกิดจากความเสียใจในภายหลังได้ดีที่สุดแล้ว
ว่าตามตรงแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ยังรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ตนได้ใช้ชีวิตอยู่กับเสี่ยวอวี้ยังสั้นไป ไม่ใช่ว่าเขาสงสัยเสี่ยวอวี้ว่าเธอจะมีแรงจูงใจเบื้องหลังอะไรแบบนั้น แต่เป็นเพราะว่าเขาต่อสู้ดิ้นรนในแดนรกร้างนี้มานานมากแล้ว ใช้มือตัวเองเอาตัวรอด ทุกย่างก้าวทิ้งรอยเลือดไว้เป็นแนวยาว การมีชีวิตเช่นนี้มาตลอด จะปล่อยให้โชคชะตาตัวเองอยู่ในมือผู้ที่รู้จักเพียงไม่นานได้กระนั้นหรือ
เริ่นเสี่ยวซู่พาเหยียนลิ่วหยวนกลับคลินิกไปเก็บของ ไม่คิดเลยว่าต้องย้ายออก ‘บ้านใหม่’ ที่เพิ่งได้มาด้วยความรวดเร็วขนาดนี้ หวังฟู่กุ้ยกล่าว “ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะดูแลแถวบ้านเธอเอง ไม่ให้ใครเข้าแอบดอดเข้ามาอยู่ได้หรอก”
“ครับ ขอบคุณมากครับ” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า
“เอาตามตรงนะ เธอไม่ต้องให้พวกเขาย้ายเข้าไปในโรงเรียนก็ได้มั้ง มีฉันอยู่ด้วย เธอจะกลัวอะไรอีก” หวังฟู่กุ้ยหัวเราะ
“ไม่ใช่ว่าผมเองก็ต้องระมัดระวังลุงด้วยหรอกเรอะ” เริ่นเสี่ยวซู่ปฏิเสธคำแนะนำของหวังฟู่กุ้ยอย่างไร้เยื่อใย ในเมืองนี้ โรงเรียนคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว
หวังฟู่กุ้ยไม่ได้โมโห เขารู้ดีว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนอย่างไร คาดไว้อยู่แล้วว่าแม้แต่กับตนเอง เริ่นเสี่ยวซู่ก็ระมัดระวังตัวแจ
ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ เสี่ยวอวี้และเหยียนลิ่วหยวนไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงก้มหน้าก้มตาเก็บของอย่างเดียว หลังจากเก็บของอะไรเรียบร้อยแล้ว เหยียนลิ่วหยวนก็กระซิบถาม “พี่ต้องไปจริงๆ เหรอ”
“เดี๋ยวฉันก็กลับมา ตราบใดพวกเราใช้เส้นทางถูกก็ไม่มีอันตรายอะไรหรอก ถ้าเกิดว่าอันตรายจริงๆ ฉันจะปล่อยพวกเขาทิ้งไว้นั่นแล้วหนีกลับมาเองแหละ” เริ่นเสี่ยวซู่พูด แทนที่จะตอบคำถามเหยียนลิ่วหยวน เขาก็ยื่นเงินให้เสี่ยวอวี้ “แล้วก็นะ ฉันออกไปข้างนอก ยังไงก็คงไม่ได้ใช้เงินอยู่ดี เก็บเงินก้อนนี้ไว้ให้ดีล่ะ”
“ได้” เสี่ยวอวี้รับคำ “เธอพกอาหารแห้งไปมากๆ หน่อย การจะหาอาหารข้างนอกนั่นได้ต้องใช้ดวงมหาศาลเลย”
“ไม่ต้องหรอก” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “ถ้าคิดถึงว่าผมมีน้ำทนขนาดไหนละก็ แม้จะออกห่างจากป้อมปราการหลายสิบกิโลเมตรก็ยังหาอาหารได้อยู่ดี”
แต่คำของสี่ยวอวี้ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่นึกอะไรขึ้นมาได้ ในเมื่อตอนนี้เขาสามารถเอาขวดยาดำเก็บที่พระราชวังในห้วงจิตตอนไหนก็ได้ ของอื่นๆ ก็เอาไปเก็บไว้ในนั้นได้เหมือนกันหรือเปล่านะ
ขวดยาเป็นวัตถุจริงที่มีมวลน้ำหนัก แสดงว่าพระราชวังในห้วงจิตต้องตั้งอยู่ในมิติพิศวงแห่งหนึ่ง
ถ้าเป็นแบบนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็สามารถลอบเอาบ่อน้ำของเมืองไปใช้ในการเดินทางได้ด้วย อย่างไรเสียแหล่งน้ำนอกเมืองก็ไม่ใคร่จะปลอดภัยต่อการบริโภคนัก
นี่แหละความหมายของพลัดที่นาคาที่อยู่
คิดแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็คว้าวอโถว[1] ที่อยู่ข้างกาย แล้วลอบส่งมันเข้าไปที่พระราชวังในห้วงจิต ทว่าแปลกนัก วอโถวยังคงสงบนิ่งอยู่เหมือนเดิม…
เสียงจากพระราชวังในห้วงจิตดังขึ้น [ยังไม่ได้รับสิทธิ์ในการใช้งานช่องเก็บของ]
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป หมายความว่าสามารถเก็บของในพระราชวังได้จริงๆ น่ะสิ เพียงแค่ว่าตอนนี้เขายังไม่ได้รับอนุญาตเฉยๆ!
เริ่นเสี่ยวซู่ถามในใจ ฉันจะได้รับสิทธิ์ในการเก็บของได้ยังไง
[ไม่ได้รับอนุญาตให้ตอบ] พระราชวังเงียบนิ่งไป ไม่ตอบคำถามของเริ่นเสี่ยวซู่
เริ่นเสี่ยวซู่พลันสัมผัสได้ว่าพระราชวังไม่ได้มีจิตสำนึกเป็นของตัวเอง เพียงแค่ให้ภารกิจตามเงื่อนไขบางอย่างก็เท่านั้น หน้าที่ของมัน…เหมือนจะให้คำชี้แนะว่าเริ่นเสี่ยวซูต้องปฏิบัติตัวอย่างไรก็เท่านั้น
……
หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่ไปส่งเสี่ยวอวี้กับเหยียนลิ่วหยวนที่โรงเรียนแล้ว ก็กลับหลังหันเดินจากไปอย่างไม่รีรอ เสี่ยวอวี้กับเหยียนลิ่วหยวนยืนอยู่ที่ประตูโรงเรียน มองร่างของเริ่นเสี่ยวซู่ค่อยๆ เลือนหายไปในความมืด เหยียนลิ่วหยวนถามขึ้นมาทันที “พี่เสี่ยวอวี้ พี่รู้ใช่ไหมว่าทำไมเขาถึงเอาเงินให้พี่หมดเลย”
“อืม” เสี่ยวอวี้ตอบเสียงค่อย
“พี่จะโกรธเขาไหม” เหยียนลิ่วหยวนหันหน้ามองเสี่ยวอวี้
“ไม่โกรธ” เสี่ยวอวี้ยิ้ม
เริ่นเสี่ยวซู่เดินไปไกลแล้ว ก่อนจะกลับหันมองไปทางโรงเรียน เหนือท้องฟ้าปรากฏดาราดาษเรียงรายราวทะเลหมู่ดาว
ส่วนใหญ่ยามผู้คนหันกลับมองอดีตของตน พวกเขาคงจำการตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ ทว่าการตัดสินใจนั้นกลับกลายเป็นจุดพลิกผันที่เปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปอย่างกลับตาลปัตรได้
จะไปซ้ายหรือขวา ล้วนใช้เวลาเพียงครู่หนึ่ง และเมื่อตัดสินใจได้แล้ว พวกเขาก็จะกระโจนเข้าไปในความไม่รู้นั้นโดยไม่ลังเลอะไร
แต่ตอนนั้น พวกเขาคิดเพียงแค่ว่าเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งในชีวิตก็เท่านั้น…
……………
[1] วอโถว (窩頭) อาหารชนิดหนึ่งที่ทำจากแป้งข้าวโพด แป้งข้าวฟ่าง หรือธัญพืชอื่นๆ มีลักษณะเป็นโคน