บทที่ 61 ในบ้านมีข้าวสารมากมาย + บทที่ 62 เจ้าคิดอย่างไร Ink Stone_Romance
บทที่ 61 ในบ้านมีข้าวสารมากมาย
“ที่มือของลุงๆ ป้าๆ มีน้ำหมึกติดอยู่เป็นเพราะว่าพวกเขาบริสุทธิ์ใจ จึงล้วงถุงผ้าลงไปถึงก้นถุง ในขณะที่ท่านนั้นไม่กล้าล้วงลงไปให้ลึกถึงก้นถุง เพราะรู้ว่ามีความผิดอยู่เต็มหัวใจ เช่นนั้นแล้วมือของท่านจะเปรอะเปื้อนน้ำหมึกได้เช่นไรเล่า?” หนิงเมิ่งเหยาหัวเราะระหว่างจ้องมองนางหลัว ราวกับว่ากำลังรอให้นางแก้ตัวอยู่
นางหลัวสีหน้าเปลี่ยน “นั่นมัน…. เจ้าจะบอกว่าเป็นข้าไม่ได้ ข้าไม่ได้ทำ” นางหลัวพูดตะกุกตะกัก ไม่ยอมรับว่านางเป็นผู้ที่ขโมยของไป
หนิงเมิ่งเหยาไม่ได้บีบบังคับ แต่ทำเพียงแค่มองไปที่นาง “ตอนที่ท่านล้วงมือเข้าไป ท่านคงมีความคิดเพียงแค่ว่าหากมีแต่ท่านผู้เดียวที่ไม่สัมผัสก้นถุง เช่นนั้นก็คงไม่มีอะไรติดมือท่านขึ้นมา แต่ท่านคงคาดไม่ถึงว่าข้าจะเอาน้ำหมึกใส่ไว้ที่ก้นถุง ใช่หรือไม่? ถ้าหากท่านไม่ได้รู้สึกว่าตนมีความผิด เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงไม่กล้าจับมันหรือ?”
นางหลัวอ้าปากพะงาบๆ แต่ไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้ คนที่อยู่ข้างตัวนางทนดูต่อไม่ได้ จึงกล่าวขึ้น “ใช่แล้ว ทุกคนต่างก็มือเปื้อนกันทั้งนั้น เหตุใดจึงมีเพียงมือของเจ้าที่สะอาดกันเล่า? เจ้าคงต้องรู้สึกผิดอย่างที่แม่หนูเมิ่งเหยากล่าวแน่ๆ”
“ข้า..ข้า..”
“เจ้า เจ้า เจ้าอะไร? ลูกสาวของเจ้าก็จับ ทำไมเจ้าถึงไม่จับล่ะ? นางหลัว ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นนี้ที่กล้าขโมยของจากหญิงสาว เจ้าจะไม่มีความผิดได้อย่างไร?” นางหยางจ้องเขม็งไปที่นางหลัว และกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
หยางซิ่วเอ๋อร์มองมารดาของตนอย่างไม่เชื่อสายตา คนที่ขโมยของไปเป็นแม่ของนางจริงๆ หรือ?
เช้าเมื่อวาน ท่านแม่ออกไปข้างนอกครู่หนึ่งก่อนจะนำข้าวขาว เส้นหมี่ขาวมากมายกลับมา มีแม้กระทั่งผลไม้ป่าติดมาด้วย นางตั้งคำถาม แต่นางหลัวก็ไม่ได้ตอบอะไร บอกกับนางเพียงว่าอย่าถามให้มากนัก แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ตอนนี้แล้ว นางหลัวนั้นคงได้กระทำการบางสิ่งซึ่งเลวร้ายลงไปจริง ๆ
“ไปที่บ้านนางหลัว” หยางจู้ข่มฟัน
ชาวบ้านไปที่บ้านของนางหลัวโดยพร้อมเพรียงกัน และพบว่าตรงตู้เก็บของในครัวนั้นมีข้าวขาว เส้นหมี่ขาวอยู่ ทุกชนิดล้วนมีอยู่อย่างละครึ่งถุง บนถุงแต่ละถุงมีเขียนเอาไว้ด้วยว่ามีข้าวชนิดใดอยู่ข้างใน
ที่ครัวมีผลไม้ป่าแช่อิ่มถูกแขวนไว้อีกนิดหน่อย
เมื่อเห็นของพวกนั้น ชาวบ้านต่างก็เงียบเสียงลง ก่อนหน้านี้พวกเขาเพียงแค่คาดเดากันเอาไว้ แต่บัดนี้ กลับมีหลักฐานชี้ชัดบอกว่ามันเป็นความจริงปรากฏอยู่
ปกติชาวบ้านนั้นจะขายข้าวขาว และเส้นหมี่ขาวของพวกตนโดยไม่เหลือไว้กินเอง จะมีก็แต่คนรวยที่เก็บไว้ สิ่งที่พวกเขากินกันนั้นจะมีเพียงแค่เส้นหมี่หยาบๆ และข้าวซ้อมมือ นานๆ ครั้งจึงจะบริโภคข้าวขาว และเส้นหมี่ขาวบ้างตามโอกาส จะมีก็แต่หนิงเมิ่งเหยาผู้เดียวที่สามารถกินข้าวขาว และหมี่ขาวได้ทุกวัน
หลักฐานปรากฏสู่สายตาของฝูงชน และชาวบ้านต่างก็มองไปยังนางหลัวด้วยความรังเกียจ นางหลัวไม่รู้ว่าตอนนี้นางควรทำเช่นไร รู้เพียงแต่เสียใจในสิ่งที่ทำลงไป นางไม่ควรวางของพวกนี้เอาไว้ในห้องครัวเลย นางน่าจะซ่อนมันไว้ให้ดีกว่านี้ เหตุใดนางจึงโง่เง่าเช่นนี้หนอ?
“ดูเหมือนว่ามื้อเย็นที่พวกเจ้ากินกันไปจะเป็นของซึ่งขโมยมาจากบ้านของหนิงเมิ่งเหยา” ชาวบ้านคนที่ไปเรียกครอบครัวของนางหลัวก่อนหน้านี้มองพวกเขาด้วยสายตาถากถาง
หยางซิ่วเอ๋อร์จ้องมารดาของตน ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกเช่นใด นางจะสามารถตำหนิมารดาของตนได้หรือ?
นางทำไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่นางทำได้จึงมีแค่การอยู่เงียบ ๆ
แม้ว่าหยางซิ่วเอ๋อร์จะไม่ได้กล่าวอะไร แต่สามีของนางหลัวนั้นโมโหมาก เขาสาวเท้าเข้าไปหานางหลัวก่อนตบหน้านาง
“เจ้าบอกว่าเจ้าซื้อของพวกนี้มา นี่คือสิ่งที่เจ้าเรียกว่าซื้อมาหรือ?” หยางฮว๋าขึงตามองนางหลัวอย่างฉุนเฉียว เมื่อคำพูดของเขาดังขึ้น ก็เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันว่านางนั้นขโมยของของหนิงเมิ่งเหยามาจริงๆ
ชาวบ้านต่างก็ชี้ไปที่พวกเขาพลางคุยกันเอง หยางซิ่วเอ๋อร์รู้ได้ว่าจากนี้เป็นต้นไป ชื่อเสียงของนางต้องด่างพร้อยไปในฐานะลูกสาวของหัวขโมยอย่างแน่นอน
เหอะๆ ก็นี่เป็นแม่ของนางนี่นา
“แม่หนู ข้าต้องขอโทษจริง ๆ”
เมื่อหันไปมองหยางฮว๋า ริมฝีปากของหนิงเมิ่งเหยาก็มีรอยถากถางปรากฏอยู่ มาบอกขอโทษเอาตอนนี้? ทำไมไม่ขอโทษให้เร็วกว่านี้? หยางฮว๋าจะไม่รู้ฐานะของครอบครัวตนเองได้อย่างไร? นางหลัวบอกว่าซื้อมาแล้วเขาก็เชื่อ? งี่เง่าชะมัด
การถูกใครสักคนจ้องมองด้วยสายตาเช่นนี้นั้นทำให้ใบหน้าของหยางฮว๋าดำคล้ำ หยางจู้ซึ่งเดินอยู่ข้าง ๆ เขากล่าวขึ้นมาอย่างเคร่งเครียดว่า “พวกเรามาปรึกษากันเถิดว่าจะจัดการเรื่องนี้เช่นไร”
“ข้าจะคืนข้าวของ และจ่ายค่าเสียหายในส่วนที่หายไปให้” หยางฮว๋าบอกในทันที
หนิงเมิ่งเหยายิ้มออกมาแทน “แล้วนางล่ะ?”
ทุกคนหันมองยังจุดที่หนิงเมิ่งเหยาชี้ไป และนั่นเป็นจุดที่นางหลัวสะดุดจนลงไปกองกับพื้น
“เรื่องนี้… แม่หนู เจ้าจะช่วยปล่อยป้าของเจ้าไปสักครั้งได้หรือไม่? ข้าจะอบรมนางให้ดีเอง” หยางฮว๋าจับเส้นผมตัวเองอย่างประหม่า และกล่าวด้วยความอับอาย
แต่หนิงเมิ่งเหยากลับหัวเราะอย่างเสียดสี “ปล่อยนางไป? ท่านใหญ่โตขนาดไหนจึงจะทำให้ข้าต้องปล่อยนางไปกันหรือ?”
ของที่ถูกขโมยมานั้นล้วนเป็นของนาง แล้วตอนนี้เขากลับอยากให้นางปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ งั้นหรือ เขาเห็นนางเป็นตัวตลกหรืออย่างไร?
บทที่ 62 เจ้าคิดอย่างไร
หยางฮว๋าไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้อาวุโสของหนิงเมิ่งเหยา พวกเขาคืนของให้แล้ว แต่นางก็ยังไม่พอใจ “เจ้าต้องการให้พวกเราจัดการกับเรื่องนี้เช่นไร?”
หนิงเมิ่งเหยาขำ นางหัวเราะไม่หยุดจากคำพูดของหยางฮว๋า
“ท่านถามข้าว่าข้าต้องการอะไรงั้นหรือ? ข้าไม่ได้ให้โอกาสกับนางไปหรอกรึ? การมาถามข้าว่าข้าต้องการอะไรเอาตอนนี้มันจะไม่สายไปหน่อยหรือ?” หนิงเมิ่งเหยายิ้มอย่างเย็นชาพลางมองหยางฮว๋า
หยางฮว๋าถูกหยุดด้วยคำพูดของหนิงเมิ่งเหยา เขาทำได้เพียงจ้องมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างเอาเป็นเอาตาย สายตานั้นช่างน่าเกลียดยิ่งนัก
หนิงเมิ่งเหยาไม่สนใจมัน แต่เอ่ยขึ้นเบาๆ “สิ่งที่เอาไปจะต้องถูกนำกลับมาคืน ส่งนางไปให้ทางการ”
คำพูดเบาๆ ว่า “ส่งให้กับทางการ” นั้นทำให้หยางฮว๋ากับหยางซิ่วเอ๋อร์ตกใจจนหน้าซีด
“ไม่ เจ้าจะส่งแม่ข้าให้ทางการไม่ได้” หยางซิ่วเอ๋อร์รีบวิ่งเข้ามาในทันที นางส่ายศีรษะไม่หยุด
ถ้าหากว่าเรื่องอยู่แค่ในหมู่บ้านเพียงแห่งเดียว เช่นนั้นก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่ถ้าหากทางการมีส่วนร่วมด้วยเมื่อใด เมื่อนั้นนางควรจะใช้ชีวิตอย่างไรกันเล่า? นั่นไม่ได้หมายถึงการป่าวประกาศให้ทุกคนรู้หรือว่ามารดาของนางเป็นขโมย?
“หยางซิ่วเอ๋อร์ เจ้ามีตำแหน่งอะไรจึงจะมาห้ามข้าไม่ให้ส่งนางให้กับทางการได้? ถ้าไม่อยากจะโดนส่งตัวไป ก็อย่ากระทำการเช่นนี้ เมื่อวานข้าบอกไปแล้วว่าถ้านำข้าวของของข้ากลับมาคืนในตอนเช้า ข้าก็จะยกโทษให้หัวขโมย วันนี้ข้าก็ให้เวลาทั้งวันเพื่อนำของของข้ามาคืน แต่แม่เจ้าทำเช่นไรเล่า?” หนิงเมิ่งเหยาจ้องมองหยางซิ่วเอ๋อร์อย่างเย็นชา น้ำเสียงของนางทั้งจิกกัด และเย็นเยียบ
คนรอบข้างต่างก็คิดว่าหนิงเมิ่งเหยานั้นค่อนข้างไร้เมตตา แต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ตอนนี้แล้ว มันก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง นางได้บอกกับพวกเราไปแล้วเมื่อวานว่าถ้าข้าวของของนางถูกนำกลับมาคืน เช่นนั้นนางก็จะยกโทษให้กับหัวขโมย นางยังใช้เวลาทั้งวันอยู่ที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านอีกด้วย นี่ไม่ใช่การให้โอกาสแก่นางหลัวหรอกหรือ?
นางไม่รู้จักรักษาโอกาสของตัวเองไว้ให้ดี แบบนี้ยังจะโทษใครได้อีกหรือ? มาพูดเอาป่านนี้ มันไม่สายไปแล้วหรือ?
เมื่อตอนนางหลัวได้ยินสิ่งที่หนิงเมิ่งเหยาพูด นางไม่ได้เอามาใส่ใจ มีผู้คนมากมายในหมู่บ้าน นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าใครกันที่ขโมยข้าวของของตนไป? ไม่ว่าอย่างไรเสีย พวกเขาก็ไม่สามารถมาค้นสิ่งที่นางหลัวคิดอยู่ในหัวตอนนี้ได้
แต่ก่อนที่นางจะได้ภูมิใจ นางก็ถูกจับได้เสียก่อน นี่ นี่มัน…. นางควรจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อเรื่องนี้ดี?
หนิงเมิ่งเหยาย่อตัวนั่งลงบนพื้น มองนางหลัวผู้มีใบหน้าบวมแดง “ตอนนี้ท่านเสียดายหรือยัง? แย่ไปหน่อยที่การเสียดายมันก็คงช่วยอะไรไม่ได้”
หยางซิ่วเอ๋อร์ได้ยินคำพูดอันไม่ยินดียินร้ายของหนิงเมิ่งเหยาแล้วหน้าก็ถอดสี นางหันไปมองหนิงเมิ่งเหยาพร้อมคำร้องขอ “เมิ่งเหยา ข้าขอร้องเจ้าล่ะ ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด ตระกูลของข้าก็จะมอบให้เจ้า ขอเพียงอย่าส่งแม่ของข้าให้กับทางการเลย ถ้าแม่ของข้าโดนส่งไปให้ทางการ ข้าคงหมดอนาคตแล้ว”
“การที่เจ้าเสียหายมันเกี่ยวอะไรกับข้างั้นหรือ? แล้วตระกูลเจ้าจะไปให้อะไรข้าได้? พูดอีกอย่างก็คือ ตระกูลเจ้าครอบครองสิ่งใดที่ข้าต้องการด้วยหรือ?” หนิงเมิ่งเหยาไม่ได้อวดตัวแต่อย่างใด
ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร ตอนนี้นางก็เป็นเจ้าของที่ดินย่อมๆ ผู้หนึ่ง อีกทั้งยังมีเงินอยู่ในมือ สิ่งใดที่นางอยากได้ นางสามารถเอามาได้ทุกอย่าง
ตระกูลของหยางซิ่วเอ๋อร์นั้นเป็นชนชั้นกลาง และไม่ได้ดีเด่อะไรขนาดนั้น พวกเขาจะมีสิ่งใดที่หนิงเมิ่งเหยาอยากจะได้ด้วยหรือ?
“เจ้าต้องการอะไร?!” หยางซิ่วเอ๋อร์แทบจะรับไม่ได้ และตะโกนออกไป
หนิงเมิ่งเหยาหัวเราะขึ้นจมูก และมีรอยยิ้มที่ไม่เหมือนกับรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า “คำพูดพวกนั้นฟังดูราวกับกล่าวว่าข้าเป็นผู้ผิดเลยนะ ข้าไปทำให้แม่ของเจ้าสะเดาะกุญแจแล้วเข้ามาขโมยของหรือ? หรือว่าข้าไปลากแม่เจ้าให้ทำเช่นนั้นกัน?”
ในตอนนี้ผู้คนต่างก็ไม่คิดว่าหนิงเมิ่งเหยานั้นทำสิ่งที่ผิด แต่รู้สึกว่าหยางซิ่วเอ๋อร์ และพ่อของนางต่างไม่ได้เป็นคนดีอะไรขนาดนั้น ‘เจ้าต้องการอะไร’ คืออะไร? ได้ยินแล้วชวนให้แปลกใจนัก ตระกูลของเจ้าทำสิ่งที่ผิด แต่เจ้าก็ยังจะโทษผู้อื่นอีก
“ลุงหยาง พวกข้าขอยืมเกวียนด้วย” หลังจากพูดจบ นางหลัวก็โดนลากออกไปด้านนอก
พ่อลูกตระกูลหยางมองหน้ากันก่อนจะหน้าถอดสี พวกเขารีบเข้าไปยืนขวางทางของหนิงเมิ่งเหยา “เมิ่งเหยา ข้ารู้ว่าตระกูลของข้าเป็นผู้ผิด ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถให้อภัยแม่ของข้าได้สักครั้ง ข้าขอร้องเจ้าล่ะ” หยางซิ่วเอ่อร์คุกเข่าลงบนพื้น และขอร้องหนิงเมิ่งเหยา
หนิงเมิ่งเหยาก้มหน้าลงมองหยางซิ่วเอ๋อร์ และโยนนางหลัวลงบนพื้น นางหลัวซึ่งสลบไปค่อยๆ ได้สติขึ้นมาทีละน้อย เมื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยา นางก็สบถด้วยความโกรธ “เจ้า นางหญิงแพศยา กล้าดียังไงถึงมาโยนหญิงแก่เช่นข้า! หญิงแก่คนนี้ล่ะจะจัดการเจ้าเอง!”
ฝูงชนเห็นว่าจริงๆ แล้วหนิงเมิ่งเหยาตั้งใจจะปล่อยนางหลัวแล้ว แต่ตอนนี้นางกลับทำลายโอกาสนั้นลงเองกับมือ พวกเขาต่างก็ทำหน้าประหลาดๆ นางหลัวนั้นช่างไม่รู้เอาเสียเลยว่าการกระทำใดที่จะส่งผลดีต่อตัวนาง