ตอนที่ 11 เสียงกระซิบข้างหมอน

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 11 เสียงกระซิบข้างหมอน

อันหลิงเกอมองตามปี้จูที่เดินออกไป จากนั้นดวงตาก็พลันปรากฏแววตาที่แน่วแน่

เมื่อคิดตริตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ตระหนักได้ว่าอี้ซื่อจื่อนั้นเป็นเพียงคนโง่เขลาที่ผู้คนต่างก็รู้กันทั่ว อีกทั้งอี้และหลี่ซื่อนั้นยังเป็นสหายสนิทกันอีกด้วย หลี่ซื่ออยากให้นางแต่งเข้าจวนอ๋องอี้ แค่ดูก็รู้ว่าคิดอันใดอยู่ ข้ามิมีทางนิ่งเฉยอยู่เป็นแน่

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ดวงตาที่เปล่งประกายของอันหลิงเกอฉายแววเคร่งขรึมขึ้นอีกครา หลี่ซื่อดูแลเรื่องต่าง ๆ ในจวนโหวมานานหลายปี เปรียบดั่งต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึกมิอาจสั่นคลอนได้โดยง่าย เช่นนี้มิสู้นางวางแผนเพื่อออกไปจากจวน หลีกเลี่ยงภัยในครั้งนี้เป็นการชั่วคราวจะดีกว่า

 เมื่อนางลูบไล้ไปที่ผื่นแดงบนใบหน้า พลันทำให้เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาทันที

ในเมื่องานแต่งระหว่างจวนโหวและจวนอ๋องมู่ถูกกำหนดออกมาเรียบร้อยแล้ว อันอิงเฉิงดูจะพอใจเป็นอย่างมาก ขณะที่เขากำลังนั่งดื่มชาอยู่ในห้องหนังสืออย่างอารมณ์ดีนั้น หลี่ซื่อก็เดินเข้ามาพร้อมดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตา

“นายท่านเจ้าคะ” หลี่ซื่อร้องเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง และมิรอให้อันอิงเฉิงตอบกลับ นางก็พุ่งตัวเข้าหาอ้อมอกของเขาในทันที

เมื่อเห็นท่าทางเยี่ยงนั้นของนาง อันอิงเฉิงมิได้แสดงความรำคาญออกมา แต่ยังประคองนางไว้ในอ้อมอก แล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นเช่นนั้นหรือ ? ”

เมื่อหลี่ซื่อได้ฟังเช่นนั้นก็แสร้งเอ่ยออกไปว่า “จะเรื่องอันใดเล่าเจ้าคะ ถ้ามิใช่เรื่องของอีเอ๋อ”

นางเงยหน้าขึ้นมองอันอิงเฉิงด้วยแววตาที่ออดอ้อน “ท่านก็รู้ มู่ซื่อจื่อนั้นโดดเด่นทั้งรูปร่างหน้าตาและฐานะ อีเอ๋อได้พบชายหนุ่มที่สง่างามเช่นนี้ ย่อมต้องรู้สึกชมชอบเป็นธรรมดา แต่วันนี้จวนอ๋องมู่ได้คุยเรื่องแต่งงานกับเกอเอ๋อแล้ว ส่วนอีเอ๋อของข้าจะทำเยี่ยงไรเล่าเจ้าคะ”

อันอิงเฉิงได้ฟังเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วด้วยความมิพอใจเล็กน้อย  “อีเอ๋อชมชอบท่านอ๋องน้อยหรือ ? เหตุใดข้าถึงมิรู้เรื่องนี้ ? ”

หลี่ซื่อที่ได้เตรียมข้ออ้างเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงตอบได้อย่างมิร้อนรนอันใด “ความในใจของหญิงสาว หากคนรู้กันทั่วก็น่าอายแย่เลยน่ะสิเจ้าคะ ? ”

เมื่อได้ฟังที่นางเอ่ยออกมาก็มีเหตุผล อันอิงเฉิงจึงพยักหน้าเห็นด้วย “ถึงเยี่ยงนั้นก็เถอะ เรื่องงานแต่งระหว่างเรากับจวนอ๋องมู่ได้กำหนดเรียบร้อยแล้ว มาพูดอันใดในตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว นี้มันมิใช่เรื่องง่ายที่จะได้รับพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้ อีกทั้งยังแต่งกับตระกูลที่มากอำนาจเช่นจวนอ๋องมู่ด้วยแล้ว ข้าจะมิยอมให้เรื่องนี้เกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย”

เมื่อได้ยินคำพูดของอันอิงเฉิง นางซึ่งอยู่ข้างกายเขามาหลายปี ย่อมต้องเข้าใจความคิดของอันอิงเฉิงอยู่มิน้อย นางกลอกตาเพียงครั้งเดียว ก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา

“ฝ่าบาททรงพระราชทานงานสมรสระหว่างจวนอ๋องมู่และจวนโหว แต่มิได้ทรงตรัสว่าเป็นคุณหนูคนไหน ถึงแม้ตอนนี้จวนอ๋องมู่จะพอใจในตัวเกอเอ๋อ แต่เด็กคนนั้นทั้งขี้ขลาดและโง่เขลา มิสู้เราคิดหาวิธีให้อีเอ๋อแต่งเข้าจวนอ๋องมู่แทนนางจะมิดีกว่าหรือเจ้าคะ ด้วยหน้าตาและสติปัญญาของอีเอ๋อ จะต้องกุมหัวใจของท่านอ๋องน้อยได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

อันอิงเฉิงเมื่อฟังจบก็มีสีหน้าดูหวั่นไหว แต่ยังคงเม้มปากไว้แน่นและมิได้พูดสิ่งใดออกมา

หลี่ซื่อยังคงมิยอมแพ้และกล่าวต่อไปว่า “ยิ่งไปกว่านั้น นายท่านคงยังมิทราบ จวนอ๋องอี้ได้ส่งข่าวมาว่าต้องการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับจวนของเราอีกด้วยเจ้าค่ะ”

นี่ถือว่าเป็นข่าวใหญ่ เมื่ออันอิงเฉิงได้รับฟังก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง “นี่เป็นเรื่องจริงหรือ ? ”

“จริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ” ฉับพลันบนใบหน้าของหลี่ซื่อก็ปรากฏรอยยิ้มบางขึ้นมา แล้วกล่าวต่อว่า “อี้หวางเฟยให้คนส่งเทียบมา บอกเพียงว่าต้องการถามความคิดเห็นของท่านโหวก่อน หากท่านตกลงก็จะส่งคนมาเจรจาเรื่องสู่ขอเจ้าค่ะ”

อันอิงเฉิงขบคิดตามที่นางกล่าว คนทั้งเมืองทราบดีว่าจวนอ๋องอี้ นั่นนับเป็นจวนอ๋องที่ร่ำรวยเทียมฟ้า แต่ว่า…… คิ้วที่เพิ่งจะคลายออกของอันอิงเฉิงขมวดขึ้นอีกครั้ง

“อี้ซื่อจื่อนั้นเป็นเพียงคนโง่เขลา หลิงเกอจะยอมแต่งกับเขาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“นับแต่โบราณ เรื่องแต่งงานถือเป็นคำสั่งของบิดามารดาหรือคำแนะนำของแม่สื่อ หากนายท่านตอบตกลงเรื่องงานแต่งในครานี้ เกอเอ๋อยังจะปฏิเสธได้อีกหรือเจ้าคะ ? ”

เมื่อกล่าวจบหลี่ซื่อก็ยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ความชั่วร้ายฉายชัดอยู่ในแววตา

 “นอกจากนั้นการแต่งงานที่ดีเช่นนี้มิใช่ว่าจะหากันได้โดยง่าย หากเกอเอ๋อแต่งเข้าไปก็จะได้เป็นถึงพระชายา ต่อไปก็จะได้เป็นพระชายาที่มีฐานะสูงส่ง อยู่ดีกินดี มีคนตั้งมากมายที่อยากแต่งเข้าไป แต่จวนอ๋องอี้มิยอมรับใครเลยสักคนนะเจ้าคะ”

อันอิงเฉิงครุ่นคิดที่นางกล่าว  แล้วนึกย้อนกลับไปถึงหลายปีมานี้ฮ่องเต้ทรงหวาดระแวงพวกเขาที่มิใช่เชื้อพระวงค์เป็นอย่างมาก หากสามารถเป็นดองกับจวนอ๋องอี้ที่เปรียบดั่งต้นไม้ใหญ่ได้ ก็น่าจะเป็นหลักประกันที่ดีมิน้อย

“ช่างเถอะ เอาตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน ให้อีเอ๋อแต่งเข้าจวนอ๋องมู่แทนเกอเอ๋อ ส่วนจวนอ๋องอี้……” เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดก็ได้ตัดสินใจ “ก็ให้เกอเอ๋อแต่งเข้าจวนอ๋องอี้ก็แล้วกัน ด้านท่านอ๋องมู่ ข้าจะคิดอีกทีว่าจะปฏิเสธเยี่ยงไร”

“นายท่านช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก ! ”

หลี่ซื่อสมความปรารถนา แต่กลับมิแสดงออกบนใบหน้า นางเพียงแค่ยกยิ้มขึ้นแล้วอิงศีรษะไปบนบ่าของอันอิงเฉิง แววตาทอประกายชั่วร้ายออกมา

ทั้งยังนึกถึงหน้าของอันหลิงเกอ แล้วกล่าวเยาะเย้ยอันหลิงเกออยู่ภายในใจ ‘เจ้าคิดว่าชนะข้าได้ครั้งนึงแล้วจะก่อปัญหาในจวนโหวได้อีกเยี่ยงนั้นหรือ? หึ ! ข้าจะให้นังตัวแสบนั่นแต่งกับคนโง่เขลา ให้ถูกคนทั่วทั้งแผ่นดินหัวเราะเยาะ ! ’

อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ปี้จูออกมาจากเรือน ฉีอู๋ก็ได้เข้าไปตะโกนขึ้นในห้องหนังสือ “นายท่านเจ้าคะ นายท่านเจ้าคะ ท่านรีบไปดูคุณหนูเร็วเข้าเถิดเจ้าค่ะ ! ”

อันอิงเฉิงที่กำลังนั่งพิงเก้าอี้อยู่ โดยด้านหลังมีหลี่ซื่อกำลังนวดไหล่ให้ เมื่อได้ยินเสียงตะโกนโวยวายของปี้จู เขาจึงลืมตาขึ้นด้วยความหงุดหงิด ใบหน้าอันน่าเกรงขามนั้นแสดงถึงความโกรธขึ้นมา

“ตะโกนโวกเวกโวยวาย มิมีมารยาท น่าขายหน้าเสียจริง” เขาต่อว่าอย่างโมโหก่อนจะเอ่ยถามอย่างอดมิได้ “หลิงเกอเป็นอันใดอีกล่ะ มีเรื่องมิเว้นแต่ละวัน วุ่นวายเสียจริง ! ”

ปี้จูเห็นท่าทีเย็นชาของอันอิงเฉิงก็รู้สึกเจ็บปวดใจแทนอันหลิงเกอ คุณหนูใหญ่เป็นลูกแท้ ๆ ของนายท่าน แต่กลับมีท่าทีมิแยแสคุณหนูถึงเพียงนี้ได้เยี่ยงไร !

แต่นางก็รีบตั้งสติแล้วใช้มือเช็ดขอบตาที่แดงก่ำ

“นายท่านรีบไปดูคุณหนูเถอะเจ้าค่ะ คุณหนู นาง นาง…..เกรงว่าจะแย่แล้ว”

อันอิงเฉิงเมื่อได้ฟังก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้น เหตุอันใดถึงเรียกว่าแย่แล้ว หรือว่าใกล้จะตายแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? “พูดให้รู้เรื่องซิ หลิงเกอเป็นอันใดกันแน่”

 ต่อให้อันอิงเฉิงจะมิชอบลูกสาวคนนี้เยี่ยงไร อันอิงเฉิงก็ต้องถามไถ่ให้รู้ความ เยี่ยงไรซะอันหลิงเกอก็จะต้องแต่งออกไปเพื่อเชื่อมไมตรี จะเป็นอันใดไปตอนนี้มิได้เป็นอันขาด

ปี้จูรีบบอกกล่าวไปตามที่ตัวเองได้เตรียมเอาไว้ แล้วรีบนำทางอันอิงเฉิงไปยังเรือนฉีอู๋ในทันที

หลี่ซื่อรีบเดินตามอันอิงเฉิงไปด้วยความตื่นเต้น พร้อมใบหน้าที่ปรากฏรอยยิ้มจอมปลอมออกมา แล้วกล่าวออกมาว่า “หลิงเกอมิสบาย เหตุใดมิรีบให้คนไปแจ้งข้าหา ! รีบไปตามหมอมาเร็ว ! ”

ปี้จูมิได้สนใจละครที่นางแสดงออกมา กลับก้าวเท้าเร็วมากขึ้น เพียงครู่เดียวก็มาถึงเรือนฉีอู๋ “นายท่านเจ้าคะ คุณหนูอยู่ข้างในเจ้าค่ะ ท่านรีบเข้าไปดูเถิดเจ้าค่ะ”

ท่าทีกังวลของปี้จู ทำให้อันอิงเฉิงยิ่งสงสัยมากขึ้น เขาผลักประตูเข้าไป และเดินอ้อมฉากกั้นจึงได้เห็นอันหลิงเกอที่นอนอยู่บนเตียง

“ท่านพ่อ” เมื่อเห็นอันอิงเฉิงเดินเข้ามา อันหลิงเกอที่นอนอยู่บนเตียงจึงลุกขึ้นมาทันที แล้วเรียกเขาไว้

อันอิงเฉิงเหลือบมองใบหน้าที่ถูกคลุมเอาไว้ของนาง แล้วพูดขึ้นทันที “หน้าเจ้าเป็นอันใดไปเรียกข้ามาเพื่อมาดูเจ้าแต่งตัวเช่นนั้นหรือ ? ”

อันหลิงเกอก้มหน้าลงด้วยความเสียใจ จากนั้นจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า “ท่านพ่อ หลิงเกอให้ปี้จูไปตามท่านมา ก็เพียงอยากพบหน้าท่านอีกสักคราก่อนตายก็เพียงเท่านั้น” พูดจบนางก็เปิดผ้าที่คลุมหน้าออก เผยให้เห็นผื่นแดงที่น่ากลัว

“นี่มันอันใดกัน ? ” อันอิงเฉิงตกใจเป็นอย่างมาก ถอยหลังไปหลายก้าวอย่างมิรู้ตัว ราวกับพบกับหายนะครั้งใหญ่

ปี้จูรีบพุ่งตัวไปด้านหน้า กอดนายของตัวเองไว้แล้วเริ่มร้องไห้

“วันนี้ที่งานเลี้ยงจู่ ๆ คุณหนูรองก็เกิดผื่นแดงขึ้น คุณหนูใหญ่หลังกลับมาก็เกิดผื่นแดงขึ้นที่ใบหน้า นอกจากโรคฝีดาษที่ติดต่อได้อย่างรวดเร็วนั่นแล้ว จะเป็นอันใดไปได้ละเจ้าคะ ? ”

นางแสร้งร้องไห้อย่างเป็นธรรมชาติมากจนทำให้อันอิงเฉิงตกใจขึ้นมา อดมิได้ที่จะถอยหลังเงียบ ๆ ไปอีกหลายก้าว

หลี่ซื่อได้ฟังเช่นนั้นมือเท้าถึงกับเย็นไปหมด คิดถึงอันหลิงอีที่จู่ ๆ ก็เกิดผื่นแดงมากมายเช่นนั้นได้เยี่ยงไรกัน

จากตอนแรกแค่คิดว่าอีเอ๋ออาจจะแพ้อันใดบางอย่างเข้า แต่ ? !

หากว่าอันหลิงเกอก็มีผื่นขึ้นเหมือนกัน ?

ต้องติดโรคฝีดาษเป็นแน่ !

“เยี่ยงนั้นก็หมายความว่าอีเอ๋อก็ติดโรคฝีดาษด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

อันอิงเฉิงคิดได้เยี่ยงนั้น เป็นเหตุให้สีหน้าของเขาเข้มขึ้นในทันที จากนั้นจึงรีบสั่งคนรับใช้ที่หน้าประตูว่า “รีบไปตามหมอมาเร็ว ! ”

*ซื่อจื่อ คือผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ของขุนนางระดับสูงรวมถึงเชื้อพระวงค์ ส่วนใหญ่จะเป็นบุตรชายคนโตของตระกูล