ภาค 1 บทที่ 25 ข้าจะควบคุมตัวเองไม่ได้

จอมศาสตราพลิกดารา

บทที่ 25 ข้าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ProjectZyphon

จอมมารจันทราโลหิต?

หลี่มู่สูดลมหายใจเฮือก “@¥%……”

หลังจากสังหารเจิ้งหลงซิง หลี่มู่รู้ว่าไม่ช้าก็เร็วเขาต้องมีปัญหาขัดแย้งกับพรรคจันทราโลหิต แต่สิ่งที่เขาคาดไว้ไม่ใช่แบบนี้เลย

ว่ากันด้วยเหตุผล พรรคจันทราโลหิตควรจะส่งคนที่เรียกว่าเป็นยอดฝีมือรุ่นใหม่ไฟแรงมาคิดบัญชีกับเขา หลังจากนั้นก็จะโดนเขาจัดการจนขี้หดตดหาย เป็นการเพิ่มค่าประสบการณ์ ต่อมาคนระดับสูงของพรรคจันทราโลหิตก็จะโกรธเกรี้ยว แล้วส่งผู้คุมกฎอาวุโสมาลงสนาม ผลก็คือจะโดนตีจนพ่ายแพ้กลับไป เขาได้ประสบการณ์ขึ้นไปอีกขั้น สุดท้ายค่อยส่งจอมมารจันทราโลหิตซึ่งเป็น BOSS ออกมามอบค่าประสบการณ์เหนือชั้นกับความสนุกสนานให้ไม่ใช่หรือ?

มีอย่างที่ไหนยังไม่ทันได้ล่ามอนสเตอร์อัปสกิลเลย ก็ต้องเผชิญหน้ากับ BOSS สูงสุดแล้ว

ช่างไม่สมเหตุสมผลเลย

เมื่อเห็นหลี่มู่เหม่อลอย เด็กรับใช้บัณฑิตหมิงเยวี่ยหัวเราะราวกับดอกไม้ขาวที่กำลังเบ่งบาน แล้วยื่นมือมาสะกิดหลี่มู่ “คุณชาย คุณชายเจ้าคะ? ท่านคงไม่ได้ดีใจจนบื้อไปแล้วหรอกกระมัง?”

หลี่มู่แทบบ้า “@¥%……”

เด็กรับใช้บัณฑิตที่โง่เง่าเช่นนี้ หลี่มู่ตัวจริงไปเก็บมาจากไหนกันนะ?

สิ่งที่สำคัญที่สุดของเจ้าในตอนนี้ มิใช่ควรเป็นห่วงว่าคุณชายของเจ้าจะรอดจากการท้าประลองได้หรือไม่ไม่ใช่หรือ?

เขาโกรธจนควันออกจมูก อีกนิดเดียวจะโยนเทียบประลองสีแดงทิ้งไปแล้ว

“คุณชาย อย่ามัวแต่ดีใจสิเจ้าคะ รีบเปิดออกดูเร็วว่าข้างในเทียบประลองเขียนว่าอะไร?” แม่เด็กโง่โดยธรรมชาติทำสีหน้าคาดหวัง

หลี่มู่โกรธจนเจ็บฟัน แต่เมื่อคิดๆ ดูก็จริง ต้องลองอ่านดูก่อนว่า ‘จอมมารจันทราโลหิต’ เขียนมาว่าอะไร อาจจะเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ฉันท์มิตรและสุภาพ อย่างไรตัวเขาก็เป็นขุนนางของจักรวรรดิ เมื่อหลี่มู่เปิดเทียบประลองออก ก็เห็นภาพจันทร์โลหิตเต็มดวงและอักษรตัวโตสี่แถวรวมสิบหกตัวอยู่ด้านหลังกระดาษ…

“สิบห้าเดือนแปด อาทิตย์คู่ส่องสว่าง ตัดสินเป็นตาย ณ ยอดเขาจีเฟิง!”

ไม่มีชื่อผู้ส่ง

แต่ภาพจันทราโลหิตเต็มดวงบนเทียบประลองก็อธิบายทุกอย่างชัดแล้ว

จันทราโลหิตเต็มดวง ในยุทธภพแถบตะวันตกเฉียงเหนือเป็นสิ่งแทนตัวของคนผู้เดียว นั่นก็คือประมุขพรรคจันทราโลหิต ‘จอมมารจันทราโลหิต’

หลังจากอ่านจบ หลี่มู่เกือบจะโยนเทียบประลองทิ้ง

ตัดสินเป็นตาย?

ต้องเล่นแรงถึงขนาดนี้เลยเหรอ

เอะอะก็ฆ่ากันมันไม่ดีนะ มีเรื่องอะไรพวกเราก็นั่งลงแล้วค่อยพูดค่อยจากันก็ได้

หลี่มู่ปิดเทียบประลอง กำลังครุ่นคิดว่าควรจะตอบกลับอย่างไรในเรื่องนี้

ถึงอย่างไรหลังจากผ่านประสบการณ์ทำอะไรมุทะลุมา เด็กไม่เอาถ่านในสมองหลี่มู่ตอนนี้ก็เอาชนะเด็กใจร้อนได้แล้ว คำว่าหวาดกลัวเข้ามาครอบงำอีกครั้ง แม้ว่าเขาอยากจะขัดเกลาตนเอง อยากเห็นท่วงท่าองอาจของเหล่าจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งบนโลกนี้ และอยากจะแลกเปลี่ยนฝีมือกับพวกเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องเล่นกันถึงชีวิต

ชีวิตของเขามีค่านัก เกี่ยวข้องกับชีวิตสาวงามนับพันล้านบนโลกมนุษย์เชียวนะ

“คนที่มาส่งเทียบประลองล่ะ?” หลี่มู่ถาม

“เขาไปแล้วเจ้าค่ะ” หมิงเยวี่ยพูดชัดถ้อยชัดคำ

“หืม? ไปแล้ว? ทำไมไม่อยู่ก่อน?” หลี่มู่คำรามอยู่ในใจ หากคนยังอยู่จะปฏิเสธการประลองก็ยังได้

หมิงเยวี่ยงวยงง กล่าวคำพูดที่เกินคาดคิดออกมาว่า “คุณชาย สงครามระหว่างสองแว่นแคว้นเขาไม่ฆ่าคนส่งสาร ท่านคงไม่ได้คิดจะทำร้ายคนที่มาส่งเทียบเชิญหรอกนะเจ้าคะ มันโหดร้ายเกินไป”

“ข้า…” หลี่มู่อับจนคำพูด โกรธจนคันไปถึงรากฟัน เอ่ยในใจว่าตอนนี้ข้าตีเจ้าเสียเลยดีไหม

“คุณชายโปรดวางใจเจ้าค่ะ หมิงเยวี่ยตอบรับเทียบแทนท่านกับคนส่งสารไปแล้ว ท่านจะไปตามนัดเมื่อถึงเวลานัดหมาย จะได้รู้กันไปเลยว่าใครเป็นใคร ให้ประมุขพรรคจันทราโลหิตอะไรนั่นเตรียมตัวโดนซัดไว้ได้เลย…” หมิงเยวี่ยพูดเหมือนเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว

“ข้า…โดนหักหลังแล้ว” หลี่มู่ใกล้จะระเบิดอารมณ์ กล่าวอย่างหน้าดำคล้ำเครียดว่า “เจ้าเด็กบ้า สองวันนี้อย่ามาให้ข้าเห็นหน้า ไม่อย่างนั้นข้าเกรงว่าข้าจะควบคุมตัวเองไม่ได้”

หลังพูดจบหลี่มู่ก็หันหลังจากไป

เขากลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้วเตะก้นแม่เด็กโง่คนนี้เข้า

“เอ๋? คุณชาย? ท่านอย่าเพิ่งไปสิ ท่านคิดว่าที่ข้าตอบกลับไปเป็นเช่นไร ไม่นับว่าพูดเกินไปใช่ไหม? เอ๋? แล้วทำไมถึงจะควบคุมตัวเองไม่ได้…อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว ท่านต้องอยากเตรียมตัวประลอง จะฝึกฝนวิชาอันน่าหวั่นเกรงสักอย่างใช่หรือไม่ ฮ่าๆ ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่ให้ใครมารบกวนท่านแน่นอน” เด็กน้อยรับใช้บัณฑิตผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยว่าก้นตัวเองจะพินาศยังไล่ตามไปต้อยๆ

ปึง!

หลี่มู่ปิดประตูห้องฝึกยุทธ์

“โอ๊ย…” หมิงเยวี่ยเด็กรับใช้บัณฑิตผู้โง่เง่าวิ่งเร็วเกินไป จึงชนเข้ากับบานประตู

นางลูบๆ รอยสีแดงบนหน้าผาก ทันใดนั้นก็เห็นทางภูเขาจำลองด้านข้างมีผีเสื้อสองสามตัวโบยบินอยู่ ดวงตานางพลันลุกวาว ลืมเรื่องทุกอย่างโดยฉับพลัน และวิ่งตรงไปจับผีเสื้ออย่างร่าเริง

……

ครึ่งชั่วยามให้หลัง

หลี่มู่ออกจากห้องฝึกยุทธ์

หลี่มู่ฝึกวิชา ‘พลังก่อนกำเนิด’ เป็นเวลาครึ่งชั่วยามถึงทำให้เขาสงบลงได้บ้าง

“เด็กๆ เรียกเฝิงหยวนซิงมาที่โถงด้านหน้า…” หลี่มู่มายังที่ว่าการด้านหน้า พูดออกมาเสียงดัง

ไม่นาน นายทะเบียนเฝิงหยวนซิงก็ปรากฏตัวต่อหน้าหลี่มู่

“เรื่องที่ฝากเจ้าไว้ จัดการไปถึงไหนแล้ว” หลี่มู่เอ่ยถาม

เฝิงหยวนซิงรีบตอบกลับว่า “เรียนใต้เท้า วันนี้ได้วินิจฉัยไปห้าสิบหกคดี ทั้งหมดล้วนตัดสินตามกฎของจักรวรรดิ มิกล้าบิดเบือนกฎหมายเพื่อพวกพ้อง…นอกจากนี้ นี่เป็นรายการของบรรณาการจากบรรดาพ่อค้าคหบดี พรรค และสำนักในเมือง เชิญใต้เท้าตรวจดูขอรับ” ขณะกล่าวก็ส่งสมุดสีแดงเล่มเล็กมาให้

หลี่มู่รับมากวาดตามองแวบหนึ่ง ดวงตาสว่างวาบ เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจพลางบอก “ดี ครั้งนี้เจ้าทำได้ไม่เลวเลย ของบรรณาการทั้งหมดให้เก็บเข้าคลังส่วนตัวของข้า…ตำราวิชายุทธ์ของโรงฝึกดารายุทธ์และสำนักคุ้มกันวายุโหมอยู่ที่ใด?” พูดยังไม่ทันจบประโยคดี หลี่มู่ก็ไอสองสามที ถ่มก้อนเลือดสีดำออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

‘พลังก่อนกำเนิด’ จะทำความสะอาดอวัยวะภายใน อวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บบนโลกมนุษย์ได้รับการรักษา สิ่งสกปรกถูกขับออกมาพร้อมเลือดผ่านการสำรอกออกจากร่างกาย ดูแล้วจะเหมือนการกระอักเลือด

เฝิงหยวนซิงตกใจกลัวอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าที่แท้หลี่มู่บาดเจ็บหนักแค่ไหนถึงยังกระอักเลือดออกมาอีก แต่ก็ไม่กล้าถามมากความ เขาหันกายไปหยิบกล่องผ้าดิ้นต่างสีสองใบมาจากกองของบรรณาการ “ใต้เท้า นี่คือบรรณาการที่โรงฝึกดารายุทธ์มอบให้ท่าน กลศึกเก้าดารา ‘หมัดห้าธาตุ’ รวมทั้งกลเก้าดาราจากสำนักคุ้มกันวายุโหม ‘เพลงดาบลมกระโชก’ ”

สี่พรรคใหญ่แห่งอำเภอขาวพิสุทธิ์ หนึ่งในนั้นพรรคเสินหนงที่เป็นดั่งพิษร้ายถูกหลี่มู่ถล่มราบคาบ กลายเป็นอดีตไปแล้ว ในสามพรรคที่เหลือ โรงฝึกดารายุทธ์และสำนักคุ้มกันวายุโหมไม่อยากลองดีกับขุนนางเมืองหนุ่มผู้แข็งแกร่งและเลือดร้อน ต้องการรักษาความสัมพันธ์อันดีไว้ ในวันนี้ได้รู้จากปากของเฝิงหยวนซิงว่าหลี่มู่สนใจด้านวรยุทธ์ พวกเขาก็ไม่ตระหนี่ ส่งวิชายุทธ์ที่นับว่าไม่เลวมาบรรณาการ หนึ่งในสี่พรรคและสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่เหลือคือวัดสดับพิรุณ เป็นถึงสำนักทางพุทธ ถูกขนานนามว่าเป็นสำนักที่ละทางโลก จึงไม่ได้มายังที่ว่าการอำเภอหรือแสดงท่าทีอะไร

หลี่มู่รู้สึกคันในปอด ไออยู่หลายครั้งอย่างอดไม่ไหว และถ่มก้อนเลือดสีดำออกมาอีกหลายก้อน จากนั้นเขาก็พลันรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า สบายอวัยวะสำคัญภายในเป็นอย่างมาก เขารู้ว่านี่หมายถึงอวัยวะของเขาได้รับการพัฒนาให้แข็งแรงขึ้น

เขารับกล่องผ้าดิ้นทั้งสองมา หลังจากเปิดออกแล้วก็หยิบตำราข้างในมามองอย่างถี่ถ้วน ครู่เดียวสีหน้าก็สดใส “ดี ดีมาก นายทะเบียนเฝิง ครั้งนี้เจ้าทำดีนัก ข้าพอใจเป็นอย่างมาก นับจากนี้ไปเรื่องราชการของอำเภอขาวพิสุทธิ์ให้เจ้ารับผิดชอบ ให้ยึดเอากฎหมายเป็นหลัก อย่าได้ละเลย”

เฝิงหยวนซิงยินดีเป็นอย่างยิ่ง นี่หมายความว่าเขามีอำนาจอยู่ในมือและกลายเป็นขุนนางเมืองกลายๆ มิใช่หรือ?

ดูท่าท่านขุนนางเมืองหนุ่มจะบาดเจ็บไม่น้อย ซ้ำยังหลงใหลในวรยุทธ์ ไม่ฝักใฝ่ในการเมือง สำหรับเขานี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากในรอบพันปีทีเดียว

“น้อมรับบัญชา” เขาคุกเข่าที่พื้น เอ่ยด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ “ได้รับความไว้วางใจจากท่าน ข้าน้อยจะทำอย่างสุดความสามารถจวบจนวันตาย”

หลี่มู่ไม่ใส่ใจว่าเขาซาบซึ้งจริงๆ หรือแสร้งทำ หยิบตำราลับวิชายุทธ์กลับไปยังห้องฝึกทันที

หลังจากก้าวไปได้สองก้าว เขานึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันหลังมาเอ่ย “นายทะเบียนเฝิง ยังมีอีกสองเรื่องที่เจ้าควรรีบทำแทนข้า เรื่องแรกเจ้าจงค้นหา รวบรวม และซื้อตำราลับวิชายุทธ์มา ยิ่งมากยิ่งดี เรื่องที่สองจงไปสืบความเคลื่อนไหวของพรรคจันทราโลหิตและความสัมพันธ์ระหว่างโจวอู่กับสำนักขาวพิสุทธิ์ ได้ความมาชัดแล้วก็รวบรวมเป็นเอกสารราชการส่งให้ชิงเฟิง เข้าใจหรือไม่?”

“ข้าน้อยน้อมรับบัญชา” เฝิงหยวนซิงคุกเข่าพลางก้มศีรษะลง พร้อมกล่าวเสียงดังด้วยความเคารพ

หลังจากนั้นหลี่มู่ถึงหมุนกายเดินจากไป

ผ่านไประยะหนึ่ง เฝิงหยวนซิงจึงค่อยๆ เงยศีรษะขึ้น

สีหน้าเขาดูแปลกไปเล็กน้อย สายตาหนักอึ้ง

คำสั่งสุดท้ายของหลี่มู่ทำให้เขาตระหนักได้ว่า ความองอาจก่อนหน้านี้ของหลี่มู่ไม่ได้มาจากการวางแผนอย่างดีหรือการอาศัยของอย่างอื่น แต่เป็นความหุนหันพลันแล่นของคนหนุ่มและการไม่รู้จักความกลัว

ดังนั้น หมายความว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้ดีอย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้

พึงรู้ไว้ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับความตายของโจวอู่และเจิ้งหลงซิงในตอนแรก หากหลี่มู่ที่บาดเจ็บหนักไม่สามารถต่อกรกับพรรคจันทราโลหิตและสกุลโจวได้ ถึงเวลานั้นเขาก็ย่อมรับผลไปด้วย เขาต้องวางแผนเตรียมไว้บ้างแล้ว

“เฮ้อ วู่วามเกินไปหรือนี่”

เฝิงหยวนซิงแอบถอนใจอยู่ภายใน

เขารู้สึกว่าตัวเองมีความอดทนมากพอแล้ว ในอำเภอขาวพิสุทธิ์ เขาไขว่คว้าอำนาจทุกอย่าง เก็บงำมานานหลายปี ซ่อนความทะเยอทะยานของตนไว้เป็นอย่างดี และอดทนเฝ้ารอโอกาส วันนั้นที่ถ้ำหินในฐานที่มั่นพรรคเสินหนง เขารู้สึกว่าโอกาสมาถึงแล้วและตัดสินใจเลือกในทันที เขาหันไปพึ่งพาหลี่มู่ แต่เวลานี้เขารู้สึกว่าทางที่เลือกในวันนั้นเหมือนจะวู่วามเกินไปบ้าง

เขาจะเดินต่อไปจนสุดทางดีหรือไม่?

หรือต้องหาวิธีอะไรมาชดเชยบางอย่าง?

ปัญหาคือ ในเวลานั้นมีดวงตามากมายเห็นหลี่มู่ฆ่าโจวอู่ด้วยมือของตัวเอง ความโกรธแค้นนี้ไม่อาจคลี่คลายและไม่สามารถเก็บซ่อนเอาไว้ได้

เฝิงหยวนซิงเริ่มลังเลใจขึ้นมาอีกครั้ง

…….

ในห้องฝึกยุทธ์ หลี่มู่เริ่มอ่านเคล็ดของตำราลับสองเล่มนี้

ประเภทของวิชายุทธ์แต่ละอย่างบนโลกใบนี้ จะมีการแบ่งระดับอย่างชัดเจนเช่นกัน

ระดับเก้าถึงระดับหนึ่งมีวิธีแบ่งอย่างเคร่งครัด เริ่มด้วยขั้นเก้า สูงสุดคือขั้นหนึ่ง วิชายุทธ์ที่เหนือกว่าขั้นหนึ่งเป็นรูปแบบดั้งเดิม วิชายุทธ์ธรรมดาไม่สามารถเทียบกันได้ นับว่าเป็นระดับเทพ ในสำนักเทพทั้งเก้าเท่านั้นถึงจะมีวิชาดั้งเดิมแบบนี้

………………………..