ถูกป้ายสีแล้วทำเช่นไรดี?

 

 

สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มั่วชิงเฉินไล่ตามไปตามทิศทางที่หญิงสาวไม่กี่คนนั้นหนีไปอย่างไม่ลังเล

 

 

หญิงสาวชุดม่วงนั่นโยนถุงใส่วัตถุใส่พวกนาง ดูท่าทางกำลังอยู่ในสถานการณ์เจ้าไล่ตามข้าหลบหนีกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ในชั่วเวลาหนึ่งพวกนางสามคนอย่าคิดจะอธิบายได้ชัดเจนเลย พูดไม่ได้แล้วยังต้องกลายเป็นไม้กันหมา ถ่วงเวลาให้พวกนางหนีไป

 

 

ต่อให้เป็นเช่นนี้ อย่างมากก็ถูกดึงเข้าการสู้รบครั้งนี้ด้วยกัน อย่างไรก็ดีกว่าถูกคนอื่นใช้เป็นตัวตายตัวแทน

 

 

เมื่อมั่วชิงเฉินวิ่ง มั่วหลีลั่วและต้วนชิงเกอจึงรีบตามไปทันที

 

 

เช่นเมืองผู้บำเพ็ญเพียรที่มีขอบเขตเล็กๆ เช่นนี้ ล้วนไม่สามารถเหาะเหินบนฟ้าได้ นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่ตกทอดกันมาแต่โบราณ แม้ไม่เห็นมีคนคอยคุม ทุกคนยังคงรักษาธรรมเนียมพวกนี้อย่างรู้ตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมืองส่วนใหญ่ล้วนตั้งค่ายกลควบคุมไว้ นั่นก็คืออยากไม่รู้ตัวก็ทำไม่ได้แล้ว

 

 

คนสัญจรไปมาบนถนนในเมืองเล็กนับว่าไม่มาก เห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานกลุ่มหนึ่งวิ่งทะยานอยู่บนถนน ต่างไม่อยากถูกร่างแหไปด้วย จึงต่างหลบออกมา

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานส่วนมาก หากไม่ใช้อาวุธเวทเหินหาวอยู่กลางอากาศละก็ อยู่บนพื้นยังคงใช้คาถาเหยียบลม ทว่าก็มีผู้บำเพ็ญเพียรที่วิชายุทธ์ค่อนข้างดีบางส่วน มีวิชาตัวเบาพิเศษติดตัว หรือมีอาวุธเวทเพิ่มความเร็วบางอย่าง ซึ่งก็มีอยู่มากมาย

 

 

ในร่างมั่วชิงเฉินมีไม้ไฟสองรากวิญญาณเป็นหลัก ดังคำกล่าวที่ว่าไฟไม้แปรลม แม้นางไม่ใช่รากวิญญาณลมแปรผัน ทว่ากลับเข้าใจและชำนาญคาถาธาตุลมพิเศษวิชาหนึ่งในเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่ยิ่งนักวิชาเคลื่อนเงาเลือนราง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรฝึกฝนวิชายุทธ์วิชาหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเข้าใจคาถาที่อยู่ในวิชายุทธ์นั้นได้อย่างแน่นอน วิชายุทธ์ระดับยิ่งสูงก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

 

 

เคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่เดิมก็คือวิชายุทธ์ระดับสูง คาถาที่ติดมาย่อมไม่ใช่ของสามัญ มั่วชิงเฉินฝึกฝนมากว่าเจ็ดปี ยังคงมีหลายคาถาในระดับขั้นขณะนี้ที่ยังฝึกไม่เป็น

 

 

และบัดนี้ คาถาเคลื่อนเงาเลือนรางนี้ก็ได้ใช้ประโยชน์แล้ว

 

 

พลังวิญญาณในร่างมั่วชิงเฉินไหลเวียน ลมเกิดใต้ฝ่าเท้า ปลายเท้าแตะพื้นเบาๆ ก็ดั่งควันบางเบาสายหนึ่งลอยออกไปแสนไกล มองด้วยตาเห็นว่าจะไล่ทันไม่กี่คนตรงหน้าแล้ว

 

 

ที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือ ไม่นึกเลยว่าความเร็วของมั่วหลีลั่วก็ไม่ช้า มีเพียงต้วนชิงเกอที่แยกระยะห่างจากทุกคนไปเล็กน้อย

 

 

“ศิษย์พี่ใหญ่ แย่แล้ว พวกนางจะตามทันแล้ว!” หญิงสาวชุดเหลืองคนหนึ่งกล่าว

 

 

หญิงสาวชุดม่วงไม่ส่งเสียงสักแอะ ยกมือขึ้นโยนยันต์ไปข้างหลังตั้งหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินที่เตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้วปลายเท้าแตะพื้นหลบไปข้างๆ แต่กลับไม่ได้เข้าจู่โจม

 

 

นางจิตตระหนักไม่อ่อน สัมผัสได้นานแล้วว่าศัตรูที่แท้จริงไม่ใช่คนตรงหน้าไม่กี่คนนี้ หากแต่เป็นคนข้างหลัง บัดนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมคือการไล่คนพวกนี้ให้ทัน

 

 

บัดนี้ทุกคนได้วิ่งเข้ามาในตรอกตรอกหนึ่ง เห็นไม่มีทางออกแล้ว ทันใดนั้นหญิงสาวชุดม่วงโยนของสิ่งหนึ่งซัดใส่กำแพง

 

 

เดิมทีกำแพงที่ปกติไม่มีสิ่งใดประหลาดเปล่งแสงวิญญาณสายหนึ่งออกทันที ต่อจากนั้นปรากฏรอยแยกขึ้นรอยหนึ่ง

 

 

หญิงสาวชุดม่วงนำไม่กี่คนรีบกระโดดเข้าไป แล้วเก็บสิ่งที่ซัดออกไปก่อนหน้ากลับทันที รอยแยกบนกำแพงเริ่มปิดเข้าหากันด้วยความเร็วที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า

 

 

เดิมมั่วชิงเฉินก็ไล่ตามขึ้นมาแล้ว ย่อมต้องกระโดดตามเข้าไป มั่วหลีลั่วที่อยู่ข้างหลังกระโดดตามเข้าไปติดๆ

 

 

ต้วนชิงเกอที่อยู่ด้านหลังเห็นแล้วร้อนรนยิ่งนัก แอบแค้นที่ตนความเร็วช้า ในขณะที่รอยแยกบนกำแพงกำลังหายไป กลับมีแสงทองสายหนึ่งฟาดมา มีเงาดำหลายสายผ่านต้วนชิงเกอไปกระโดดเข้ารอยแยก ต้วนชิงเกอก็ฉวยโอกาสนี้ตามเข้าไปด้วย

 

 

“ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์อาทั้งหลาย…” ในลานบ้านมีหญิงสาวสองสามคน ล้วนมีตบะระดับหลอมลมปราณ เห็นไม่กี่คนโดยมีหญิงสาวชุดม่วงเป็นผู้นำเข้ามาโดยตรงจากกำแพง ย่อมรู้ว่าเป็นผู้อาวุโสสำนักเดียวกันมาแล้ว จึงรีบคำนับ

 

 

“อย่าพูดมาก รีบปลุกค่ายกลเคลื่อนย้ายเร็ว!” หญิงสาวชุดม่วงทะยานไปสวนดอกไม้ด้านหลังโดยไม่หยุดแม้แต่น้อย

 

 

ลานบ้านเล็กๆ และสวนดอกไม้ด้านหลังเชื่อมด้วยประตูจันทราบานหนึ่ง ในสวนดอกไม้ด้านหลังดอกไม้เป็นช่อๆ ส่งกลิ่นหอมยวนใจ ในที่ที่บดบังด้วยดอกไม้ต้นไม้แห่งหนึ่ง ได้ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดไม่ใหญ่ไว้ค่ายหนึ่ง

 

 

พวกหญิงสาวชุดม่วงเข้าสู่ค่ายกล ค่ายกลเคลื่อนย้ายแสงสีขาวสว่างจ้าขึ้น เห็นมั่วชิงเฉินและมั่วหลีลั่วที่ตามมาข้างหลัง จึงอดยิ้มเยาะไม่ได้ จุดหมายปลายทางของค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้คืออาณาเขตของนิกายเหอฮวน พวกเจ้าตามมาจะได้รนหาที่ตายพอดี

 

 

มั่วชิงเฉินเดาได้นานแล้วว่าปลายทางของค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้เกรงว่าจะเป็นอาณาเขตของคนพวกนี้ ยามนี้เข้ามาในค่ายกลย่อมไม่ใช่คิดจะเคลื่อนย้ายไปพร้อมกัน

 

 

ในมือนางแสงทองระยิบระยับ ก้อนอิฐขยายใหญ่ก้อนหนึ่งบินไป ฟาดไปที่มุมหนึ่งของค่ายกลตรงๆ

 

 

จุดประสงค์ของนาง คือการทำลายค่ายกล!

 

 

หญิงสาวชุดม่วงสีหน้าเปลี่ยนในทันใด อัญเชิญของสิ่งหนึ่งในมือชนไปที่ก้อนอิฐที่ส่องแสงทองระยิบระยับก้อนนั้น

 

 

เฉพาะเจาะจงยามนี้ คนชุดดำสองสามคนที่ตามมาด้านหลัง อัญเชิญอาวุธเวทจู่โจมมาที่ค่ายกลนี้เช่นกัน

 

 

แสงวิญญาณสามสายปะทะกัน แสงสว่างจ้าขึ้นในทันใด ส่วนแสงสีขาวเดิมของค่ายกลมืดลง ค่ายกลสั่นไหวเบาๆ ขึ้นมาทั้งค่าย

 

 

ในชั่วอึดใจ คนข้างหลังตามมาหมดแล้ว ไม่พูดพร่ำทำเพลงอัญเชิญอาวุธเวทออกมา เข้าโรมรันกับพวกหญิงสาวชุดม่วง พวกมั่วชิงเฉินย่อมถูกเห็นเป็นพวกเดียวกัน กลายเป็นสมาชิกในการต่อสู้

 

 

ใครจะรู้ว่าในยามนี้เอง แสงสีขาวที่มืดมนอยู่เดิมของค่ายกลเคลื่อนย้ายสว่างขึ้นกะทันหัน ส่องจนผู้คนลืมตาไม่ขึ้น ตามติดด้วยทุกคนรู้สึกหัวหมุนวิงเวียน ตรงหน้าดับวูบลง

 

 

หญิงสาวชุดม่วงสีหน้าปีติ ดีเหลือเกิน ไม่คิดว่าจะปลุกค่ายกลสำเร็จแล้ว!

 

 

ทว่าความปีติบนใบหน้านางยังไม่ทันได้หายไป รอลืมตาขึ้นอีกครั้ง กลับต้องชะงักงัน

 

 

เห็นเพียงรอบด้านโล้นเลี่ยนเตียน มองออกไป คือผืนทรายเหลืองสุดลูกหูลูกตา นอกจากนี้แล้วมิมีสิ่งใดอีก มีเพียงพระอาทิตย์แขวนอยู่บนฟ้าอย่างสว่างจ้า ส่องแสงอันร้อนแรงโหดร้าย

 

 

“นี่…นี่ที่ไหน!” หญิงสาวชุดเหลืองกรีดร้อง

 

 

หญิงสาวที่เหลือก็พิจารณารอบด้านอย่างตื่นตระหนก สุดท้ายสายตามองไปที่หญิงสาวชุดม่วง

 

 

มั่วชิงเฉินในใจสะดุดกึก หรือว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายเกิดผิดพลาด?

 

 

“เอะอะโวยวายอะไร ผู้หญิงพวกนี้นี่พวกเจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้! ตกลงนี่คือที่ใด?” หนึ่งในคนชุดดำถามเสียงเย็นชา

 

 

มั่วชิงเฉินนี่ถึงมีเวลามองไป พบว่าคนที่ไล่ตามมามีทั้งหมดสี่คน คนที่ออกเสียงมีตบะของระดับสร้างรากฐานระยะปลาย นอกนั้นสามคนคนหนึ่งอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง สองคนอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะต้น ล้วนแต่งชุดดำทั้งหมด

 

 

คนชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลายดูเหมือนรู้ว่าหญิงสาวกลุ่มนี้มีหญิงสาวชุดม่วงเป็นหัวหน้า ก้าวออกก้าวหนึ่ง ยื่นมือจับคางของนางว่า “ทางที่ดีเจ้าจงสารภาพแต่โดยดี มิเช่นนั้นอย่าโทษว่าข้าโหดร้ายแล้งน้ำใจ!”

 

 

หญิงสาวชุดสีม่วงอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง เป็นผู้ที่มีตบะสูงสุดในบรรดาหญิงสาวรวมทั้งพวกมั่วชิงเฉินสามคนด้วยจริงๆ ทว่าต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลาย กลับแทบไม่มีกำลังตอบโต้

 

 

ภายใต้สายตาที่ดุดันของคนชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลาย เนิ่นนาน นางเอ่ยเหมือนอยากร้องไห้ว่า “ข้า…ข้าไม่รู้”

 

 

คนชุดดำหรี่ตา “เจ้าไม่รู้? พวกเจ้านางปีศาจกลุ่มนี้ หากไม่พูดให้รู้เรื่อง วันนี้ที่นี่ก็คือที่ฝังศพของพวกเจ้า!”

 

 

พูดพลางเขากวาดสายตาใส่หญิงสาวทุกคนรอบหนึ่ง

 

 

รวมทั้งพวกมั่วชิงเฉินสามคน มีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั้งหมดแปดคน นอกจากหญิงสาวชุดม่วงแล้วคนอื่นล้วนอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะต้น ก็ช่วยไม่ได้ที่ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำจะมั่นใจถึงเพียงนี้แล้ว

 

 

“ข้ารู้สึกว่า แทนที่ท่านพี่เต๋าจะถามว่าที่นี่ที่ไหน กลับไม่สู้ถามนางว่าเดิมทีจะไปที่ไหนดีกว่า” ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินก็เปิดปาก

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลายมองมาตามเสียง เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่เปิดปากใส่ชุดขาวเรียบง่าย ผมถักเป็นหางเปียข้างหนึ่งอย่างตามใจห้อยอยู่ด้านหน้า ลักษณะเพียงสิบเจ็บสิบแปดปี จึงอดหรี่ตาไม่ได้

 

 

“ศิษย์น้อง เจ้าพูดอะไรออกมา พวกเราเป็นศิษย์พี่น้องร่วมสำนัก ในเหตุการณ์คับขันเช่นนี้เหตุใดเจ้าจึงช่วยคนนอกล่ะ?” ใบหน้าที่แต่งอย่างดีของหญิงสาวชุดม่วงแฝงด้วยความโกรธว่า

 

 

หญิงสาวไม่กี่คนที่เหลือชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเห็นพ้องต้องกันขึ้นมา

 

 

มั่วหลีลั่วตบพื้นโดยพลัน ทรายสีเหลืองลอยขึ้นมาเป็นระลอก “หุบปาก ใครอยู่สำนักเดียวกับพวกเจ้า พวกเราเดินอยู่ในเมืองอยู่ดีๆ ก็ถูกพวกเจ้าลากเข้ามาพัวพัน เรื่องมาถึงบัดนี้ ไม่คิดเลยว่ายังพูดโกหกออกมาได้หน้าตาเฉย!”

 

 

“ศิษย์น้อง เรานัดกันไว้ตั้งแต่แรกว่าให้พวกเจ้าคอยเป็นกำลังหนุนอยู่ที่นี่มิใช่หรือ มิเช่นนั้น พวกเจ้าล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ปกติจะมีเวลาว่างไปเมืองเล็กๆ นั่นได้เช่นไร?” หญิงสาวชุดม่วงเอ่ยด้วยความน้อยใจเต็มประดา สีหน้าไม่เหมือนโกหกแม้แต่น้อย

 

 

“เจ้า!” มั่วหลีลั่วนิสัยร้อนแรง ทนเรื่องเช่นนี้ไม่ได้เป็นที่สุด ได้ยินดังนั้นจึงหยิบอาวุธเวทค้อนสะท้านฟ้าออกมา

 

 

มั่วชิงเฉินดึงนางไว้ มองก็ไม่มองหญิงสาวชุดม่วง นางเอ่ยต่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายว่า “ท่านพี่เต๋า คำพูดนี้ข้าพูดเพียงครั้งเดียว ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ เราสามคนไม่เกี่ยวข้องกับพวกนางจริงๆ อีกอย่าง เรื่องที่สำคัญที่สุดในยามนี้ยังคงคือการถามให้รู้เรื่องว่าเหตุใดพวกเราจึงถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่ ท่านว่าใช่หรือไม่?”

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าสงบ สายตากระจ่างใส ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายรู้สึกว่านางไม่ได้โกหก ทว่าทุกสิ่งนี้ก็ช่างบังเอิญเกินไปสักหน่อย บอกว่าพวกนางไม่ใช่กำลังหนุนที่เป็นพวกเดียวกัน ออกจะไม่น่าเชื่อจริงๆ

 

 

ทว่ามีข้อหนึ่งนางกลับพูดได้ไม่ผิด บัดนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือถามให้รู้เรื่องว่าเหตุใดทุกคนถึงอยู่ที่นี่ได้ ส่วนเรื่องอื่น ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาถึงระดับสร้างรากฐานระยะปลายได้ล้วนไม่ใช่คนโง่ ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิง ต่อให้มีแค้นล้นฟ้าก็ต้องวางไว้ก่อน กระทั่งในยามจำเป็น ศัตรูดั้งเดิมก็สามารถร่วมมือกันได้

 

 

มั่วชิงเฉินคาดไว้ว่าต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน ถึงไม่ยอมเปลืองน้ำลายไปอธิบาย เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่ยิ่งพูดยิ่งแย่อยู่แล้ว ไหนๆ เรื่องที่พวกเขาอยากรู้ก็เป็นเรื่องที่พวกนางอยากรู้พอดี

 

 

“รีบบอกว่า เดิมทีพวกเจ้าจะไปไหน ที่นี่คือที่ไหนอีก?” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายบังคับถาม

 

 

เมื่อหญิงสาวชุดม่วงลังเล ก็รู้สึกได้ถึงรังสีการเข่นฆ่าอันเฉียบขาดถาโถมมา นางเหงื่อเย็นโทรมกาย เอ่ยอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “เดิมทีที่ที่พวกเราจะไปคือ…คือนิกายเหอฮวน ที่นี่ที่ไหน ข้าไม่รู้จริงๆ…”

 

 

เห็นคนชุดดำสีหน้าเย็นชาขึ้น นางรีบว่า “ข้าไม่รู้จริงๆ ค่ายเคลื่อนย้ายนั่นเดิมทีได้ถูกปลุกขึ้นแล้ว กลับถูกพวกเราใช้คาถาแทรกแซง เกรงว่า เกรงว่าพวกเราจะถูกสุ่มเคลื่อนย้ายมาที่นี่!”

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนต่างตกใจ แม้แต่หญิงสาวไม่กี่คนนั้นก็สีหน้าซีดเซียวขึ้นมา

 

 

สิ่งที่คนกลัวที่สุด ไม่ใช่อันตรายที่รู้แล้ว แต่เป็นความไม่รู้!

 

 

มั่วชิงเฉินฟังแล้วในใจตกตะลึงเช่นกัน แม้จะพูดว่าการฝึกตนขาดการผจญอันตรายไม่ได้ ทว่าก็ต้องอยู่ในขอบเขตความสามารถของตน แดนลี้ลับที่อันตรายในดินแดนเทียนหยวนมีนับไม่ถ้วน การที่พวกเขาถูกสุ่มเคลื่อนย้ายมา หากถึงสถานที่ที่มีเพียงระดับสูงกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณถึงสามารถเอาชีวิตรอดได้ เช่นนั้นมิใช่ไม่เป็นธรรมหรือ?

 

 

ทว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เรื่องถึงบัดนี้ ก็ได้แต่แก้ปัญหาไปตามสถานการณ์แล้ว มั่วชิงเฉินคิดอยู่ในใจ ภายนอกกลับสงบราบเรียบ

 

 

คนชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลายกวาดสายตาไปรอบๆ อย่างไม่กระโตกกระตาก พบว่าพวกมั่วชิงเฉินสามคนนั้นสงบกว่าคนอื่นมาก ในใจก็มีความคิดบางอย่างแล้ว ปากก็เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องก่อนหน้านี้ก็วางไว้ก่อน รอออกไปแล้วค่อยว่ากัน!”

 

 

“ทว่า เราจะไปทางไหนล่ะ?” หญิงสาวชุดม่วงมองทิวทัศน์ที่ไม่เปลี่ยนไปสักนิดรอบด้าน ถามอย่างงงงัน

 

 

มั่วหลีลั่วกวาดสายตาใส่นางอย่างดูแคลนปราดหนึ่ง แล้วล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาว่า “ข้ามีจานคงดารา ไปเถอะ”