ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 20 แผ่นป้ายแปลกประหลาด

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

สัมภาระทั้งหมดของเยี่ยจิ่งสลายไปพร้อมกันกับร่างกายของเขา

แม้แต่อาวุธวิเศษระดับล่างที่เขาพกติดตัวก็ล้วนแต่ถูกหุบเหวกลืนกินไปจนหมดสิ้น ที่ยังคงหลงเหลือรอดมาได้มีเพียงแหวนสีแดงคล้ำมหัศจรรย์วงนั้น และแผ่นป้ายโลหะที่ตกมาอยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอใช้นิ้วลูบคลำแผ่นป้ายโลหะ พลางกล่าวในใจว่า ‘ของชิ้นนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่’

ส่วนเชื้อไฟสัจจะอัคคีที่ได้มาในที่สุดนั้น ทำให้การเดินทางมาหุบเหวปราการมังกรครั้งนี้ นับได้ว่าไม่เสียเที่ยวเลยทีเดียว

หลังจากคุ้มกันลูกศิษย์ร่วมสำนักทุกคนผ่านมรสุมในปราการมังกรออกมาได้ เยี่ยนจ้าวเกอรีบรวมกลุ่มกับองครักษ์ชุดดำของตนเอง ก่อนจะเสาะหาหน้าผาแห่งหนึ่ง แล้วกางข่ายอาคมแน่นหนาเพื่อหลบภัย

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ลมพายุจึงค่อยๆ สงบลง

ทุกคนออกมาจากที่หลบภัยแล้วก็ต้องอึ้งงันไป เพราะปราณพิษทำให้ช่องว่างบิดเบือนไป แม้ว่าพวกเขาจะยังอยู่ภายในปราการมังกร แต่สภาพแวดล้อมรอบด้านไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลย

“เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติเช่นนี้ ไม่เหมาะที่จะให้พวกเจ้าจะอยู่ในปราการมังกรอีกต่อไป ภารกิจการฝึกฝนในส่วนของพวกเจ้าครั้งนี้จบลงแล้ว ตามข้าออกไปด้านนอก”

ศิษย์ของเขากว่างเฉิงล้วนแต่รีบพยักหน้าตอบรับ

เรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกเขาตั้งสติไม่ทัน จนถึงตอนนี้หัวสมองของหลายๆ คนยังคงว่างเปล่า

แม้ว่าสำนักเขากว่างเฉิงจะมียอดฝีมือในระดับปรมาจารย์อยู่ไม่น้อย แต่ลูกศิษย์เยาว์วัยทั้งหมดต่างก็ยังไม่เคยเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างมหาปรมาจารย์อย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อน

ขณะเดียวกับที่ทุกคนได้เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้นนั้น ในใจก็ยังมีความหวาดผวาหลงเหลืออยู่

สิ่งที่เยี่ยจิ่งประสบ ก็ส่งผลให้ทุกคนรู้สึกโศกเศร้าเช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอมองพวกเขาครั้งหนึ่ง “การประสบเคราะห์ร้ายครั้งนี้ของศิษย์น้องเยี่ย เป็นหรือตายยังไม่แน่ชัด แต่จากชะตาชีวิตของเขาไม่ใช่คนอายุสั้น อาจเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นความโชคดีก็ได้”

คนอื่นๆ ต่างพากันตกตะลึงไปเล็กน้อย พวกเขาเห็นเพียงเยี่ยจิ่งตกลงไปในหุบเหวปราการมังกรเพราะการจู่โจมของหัวหน้าค่ายชื่อหลิง และหลังจากมีหมอกดำบดบังเอาไว้ ทำให้พวกเขามองไม่เห็นเรื่องราวหลังจากนั้น ได้ยินเสียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “หากจะพูดถึงเรื่องความเป็นตายของศิษย์น้องเยี่ยในตอนนี้ ยังถือว่าเร็วเกินไป”

ทุกคนถอนหายใจครั้งหนึ่ง ด้วยปกติแล้วพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับเยี่ยจิ่งในระดับธรรมดา และมีคนมากมายที่มีความสัมพันธ์ย่ำแย่กับเขาด้วย

แต่ความรู้สึกทำอะไรไม่ได้และได้แต่ยืนอยู่เฉยๆ ในยามที่เผชิญหน้ากับการจู่โจมของปรมาจารย์ ทำให้พวกเขาศิษย์รุ่นเยาว์เกิดความรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา

พวกเขาในตอนนี้เชื่อถือและศรัทธาในตัวเยี่ยนจ้าวเกอมาก เมื่อได้ศิษย์พี่เยี่ยนบอกว่าเยี่ยจิ่งอาจจะยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็รู้สึกวางใจลงได้ในทันที

เยี่ยนจ้าวเกอพูดต่อว่า “แต่ข้าคิดไม่ถึงเลย ว่ามหาปรมาจารย์ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมาก่อนหน้านี้จะเรียกศิษย์น้องเยี่ยฉันท์พี่น้อง เหนือความคาดหมายของข้ามากทีเดียว”

ตอนนี้ศิษย์ร่วมสำนักมีสภาพจิตใจสงบลงแล้ว ครั้นคิดทบทวนอีกครั้ง พวกเขาพลันรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน

แววตาของซือคงจิงวูบไหวเล็กน้อย เยี่ยนจ้าวเกอจึงทอดสายตามองไปที่นาง “ศิษย์น้องซือคงเหมือนจะรู้เรื่องอะไรบางอย่างสินะ”

“คนแซ่หานผู้นั้น มีความแค้นในอดีตกับท่านผู้อาวุโสเหยียน ผู้อาวุโสคุมการณ์แห่งอาณาจักรถังตะวันออกของสำนักเรา เขาเป็นมหาปรมาจารย์ที่มีนิสัยฉุนเฉียว อารมณ์ร้อน และฝึกยุทธ์มืดและกร้าวแข็ง หากข้าจำไม่ผิดเขาก็คือเฒ่ามารหัวขวาน หานเซิ่ง”

เยี่ยนจ้าวเกอจึงพูดว่า “ตาเฒ่าผู้นี้หายสาบสูญไปหลายปีแล้ว ผู้อาวุโสเหยียนเป็นศัตรูคู่แค้นของเขา ครั้งนี้จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวใกล้กับถังตะวันออก จำเป็นต้องจับตามองให้ดีเสียแล้ว”

ซือคงจิงเงียบงันไปครู่หนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างชัดเจนว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยท่องเที่ยวมายังอาณาจักรถังตะวันออก และเคยเดินทางไปยังเทือกเขามฤคลับตาที่อยู่ติดกับปราการมังกร และได้พบกับอันตรายเข้าจนหมดสติไป”

“ต่อมาได้ศิษย์น้องเยี่ยที่ตอนนั้นยังไม่ได้เข้าร่วมสำนักช่วยเหลือเอาไว้ ทว่าเรื่องที่เกี่ยวกับเฒ่ามารหัวขวานนั่น ข้าไม่รู้เลยจริงๆ”

“แต่สถานการณ์คับขันในตอนนั้น ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์ก็ยังยากที่จะเอาตัวรอดได้ ศิษย์น้องเยี่ยช่วยข้าเอาไว้อย่างไร ข้าเองก็สงสัยมาโดยตลอด แต่ไม่กล้าถามไถ่ลงลึก เพียงแต่คิดเอาเองว่าคนดีฟ้าจึงคุ้มครอง”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า ไม่ได้ไล่บี้ซักถามต่อ “ข้าเชื่อคำพูดของศิษย์น้องซือคงจิง ในเมื่อแม้แต่เจ้าก็ยังไม่รู้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงหาตัวศิษย์น้องเยี่ยพบแล้วค่อยว่ากัน เพียงแต่หลังจากนี้ต้องรายงานเรื่องพวกนี้ให้สำนักรับทราบตามความจริง ตอนนี้ไม่อาจเป็นเพียงเรื่องส่วนตัวของเจ้าอีกต่อไปแล้ว”

“ข้าเข้าใจ” ซือคงจิงกล่าวตอบ

คนทั้งหมดเดินทางออกจากปราการมังกรด้วยความยากลำบาก ความรู้สึกที่ได้เจอฟ้าเห็นตะวันอีกครั้งทำให้พวกศิษย์รุ่นเยาว์ปลื้มปีติไม่น้อย

เยี่ยนจ้าวเกอดีดนิ้วครั้งหนึ่ง ชายชุดดำวัยกลางคนที่ติดตามมาด้วยเข้าใจความหมายของเขาในทันที ก่อนจะรีบส่งสัญญาณติดต่อออกไป ส่วนทุกคนต่างก็ยืนรออยู่ที่เดิม

ไม่นานนัก อาหู่มาถึงก่อนเป็นคนแรก หลังจากนั้นจอมยุทธ์คนอื่นๆ ถึงตามมา ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ของเขากว่างเฉิงที่ประจำการอยู่ในอาณาจักรถังตะวันออก และจอมยุทธ์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของอาณาจักรถังตะวันออก

หากไม่ติดว่ามีคนอยู่เยอะ อาหู่ได้เห็นหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ เขาคงได้พุ่งเข้าไปกอดขาคุณชายของตนร้องห่มร้องไห้ ทันทีที่เห็นหน้าคุณชายของตนแล้ว “คุณชายขอรับ ดีเหลือเกินที่ท่านไม่เป็นอะไร!”

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยยิ้มๆ “หากข้าเป็นอะไร เจ้าก็คงกินอิ่มนอนหลับ ถึงตอนนั้นกินจนตัวอ้วนกลายเป็นหมั่นโถวก็คงไม่มีใครว่าเจ้า”

อาหู่เกาศีรษะ ยิ้มแห้งพลางกล่าว “มิกล้าขอรับ มิกล้า”

“พวกผู้อาวุโสเหยียน หานเซิ่ง และหัวหน้าค่ายชื่อหลิงเล่า” เยี่ยนจ้าวเกอถาม

“ผู้อาวุโสเหยียนกับเฒ่ามารหัวขวานเดี๋ยวสู้เดี๋ยวหยุด พร้อมกับมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ส่วนหัวหน้าค่ายชื่อหลิงหนีไปได้ขอรับ มีคนสะกดรอยตามไปแล้ว แต่ยังไม่มีข่าวล่าสุดรายงานมา” อาหู่กล่าวสีหน้าจริงจัง

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ เมื่อทุกคนเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย และตรวจสอบจนแน่ใจทิศทางแล้ว ก็รีบเดินทางออกห่างจากปราการมังกรทันที

สถานที่แรกที่มุ่งหน้าไปก็คือเมืองใกล้ปราการ เมื่อไปถึงเมืองแล้วก็ให้ทุกคนพักผ่อน จากนั้นค่อยวางแผนต่อไปในภายหลัง

เมืองใกล้ปราการมีความหมายเฉกเช่นชื่อ มันตั้งอยู่ติดกับหุบเหวปราการมังกร อาณาจักรถังตะวันออกเป็นเขตสิ้นสุดของเกาะนภาตะวันออก ส่วนปราการมังกรตั้งอยู่ด้านตะวันออกสุดของอาณาจักรถังตะวันออก

สถานที่แห่งนี้คือพื้นที่แรกของอาณาจักรถังตะวันออก ที่ต้องเผชิญหน้ากับหุบเหวปราการมังกร จึงมีสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างจะเลวร้าย

แต่ด้วยจอมยุทธ์ที่เข้าไปผจญภัยข้างในหุบเหวปราการมังกร นำสมบัติล้ำค่าที่เกิดขึ้นจากข้างในออกมา จึงมีกลุ่มเครือข่ายที่ค่อนข้างใหญ่มาทำการค้าขายแลกเปลี่ยนกันที่เมืองใกล้ปราการแห่งนี้ ทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองค้าขายที่มีขนาดใหญ่ไม่น้อย

แน่นอนว่าผู้ที่กล้าเข้าไปในปราการมังกรต้องเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา หรือเป็นผู้ที่มีจิตใจโหดเหี้ยมใช้ชีวิตข้ามผ่านความโหดร้ายของหยดเลือดและคมดาบมา ดังนั้นภายในตัวเมืองใกล้ปราการจึงค่อนข้างพลุกพล่านวุ่นวาย

ไม่ได้มีเพียงอาณาจักรถังตะวันออกที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของสถานที่แห่งนี้ เขากว่างเฉิงเองก็ยังส่งผู้คุมการณ์มาประจำอยู่ที่นี่เช่นกัน ทางหนึ่งเพื่อจับตาดูผู้ที่เข้ามารุกรานในหุบเหวปราการมังกร อีกทางหนึ่งก็เพื่อรักษาความปลอดภัยและผลกำไรของเมืองค้าขาย

ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอกำลังตรวจสอบแผ่นป้ายโลหะชิ้นนั้น

รอยสลักบนป้ายโลหะ มองดูแล้วคล้ายคลึงกับตัวอักษรชนิดหนึ่ง

“สำหรับผู้คนในยุคสมัยนี้แล้ว มันทั้งเก่าแก่และยากจะทำความเข้าใจ แต่กลับเป็นสิ่งที่พัฒนาขึ้นหลังจากเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่” คิ้วของเยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้วมุ่น “น่าจะเป็นตัวอักษรที่เกิดขึ้นหลังยุควิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ไม่นาน จากพื้นฐานความรู้ที่ตัวข้ามีอยู่ มันน่าจะเกิดขึ้นช่วงที่อยู่กลางๆ พอดี”

เยี่ยนจ้าวเกอกลอกตาขาวด้วยความเครียดเคร่ง จากนั้นจึงค่อยสงบจิตใจลง แล้วตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้ง

“แต่ว่าดูเหมือนจะยังพอมีวิธีสืบสาวอยู่…”

ป้ายโลหะนั้นมีขนาดเพียงครึ่งฝ่ามือ เยี่ยนจ้าวเกอลูบลายเส้นที่อยู่บนนั้น พลางไตร่ตรองในใจ ‘มีส่วนที่คล้ายคลึงกับอักษรโบราณในยุคก่อนวิกฤติการณ์ เมื่อพิจารณาร่วมกันแล้วพอจะมีวิธีอ่านอยู่’

เขาเคาะนิ้วเบาๆ ลงบนแผ่นป้ายโลหะ ก่อนจะอ่านออกเสียงอย่างตะกุกตะกักว่า “เกล็ด…ย้อน…มังกร…เหมันต์…บรรพกาล”

………….