บทที่ 23 ไม่หิวน้ำ

ขณะนี้สวีรุ่ยรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมากจนปากของเธอสั่นไปหมด ถ้าหากว่าตอนนี้ประตูรถไม่ได้ล็อคอยู่เธอคงจะกรีดร้องขอให้คนแถวนี้ช่วยไปแล้ว

อย่างไรก็ตามเมื่อเธอเห็นสีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานที่ยังคงสงบอยู่ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองสงบตามไปด้วยอย่างน่าประหลาด เธอรู้สึกว่าตราบใดที่เธออยู่ใกล้ ๆ ผู้ชายคนนี้เธอจะปลอดภัยอย่างแน่นอน

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เมื่อได้ยินเรื่องราวคร่าว ๆ แล้วเขาไม่ถามอะไรต่อ เขาเปิดประตูลงจากรถในทันที และตะโกนบอกกับคนที่น่าจะเป็นหัวหน้าพวกนักเลงว่า “ถ้าแกไม่อยากให้ฉันโทรเรียกตำรวจ แกก็จงกลับไปซะ แล้วอย่ามาตามรังควานเธออีก”

อันที่จริงกลุ่มคนแบบนี้อวี้ฮ่าวหรานฆ่าไปเยอะจนนับไม่ถ้วนเมื่อตอนอยู่ที่ดินแดนแห่งเทพ แต่ตั้งแต่ที่เขาได้เจอถวนถวนความโหดเหี้ยมของเขามันก็ลดลงโดยที่เขาเองก็เหมือนจะไม่รู้ตัว

“โอ้? นี่แกคิดจะใช้ตำรวจมาขู่พวกฉันงั้นเหรอไอ้เศรษฐี? แกคิดว่าพวกฉันจะกลัวหรือไง? ฉันอยู่ในธุรกิจนี้มาเป็นสิบปี แกคิดว่าพวกตำรวจจะจับฉันได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ! ฉันแนะนำให้แกรีบ ๆ ไสหัวไปจะดีกว่า ไม่งั้นฉันบอกเอาไว้เลยว่าฉันจะทุบทั้งรถทั้งหน้าแกให้ยับจนแม่แกจำแกไม่ได้เลย!”

หัวหน้ากลุ่มนักเลงมองสำรวจอวี้ฮ่าวหรานตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งเมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานแต่งตัวธรรมดาแต่ขับรถหรู เขาก็คิดไปว่าอวี้ฮ่าวหรานน่าจะเป็นแค่คนรวยธรรมดา ๆ ไม่ได้มีเส้นสายอะไรให้เขาต้องกลัว

แน่นอนว่าหลังจากที่ลูกพี่ของตัวเองพูดแบบนี้ บรรดาลิ่วล้อก็เริ่มตะโกนข่มขู่ให้อวี้ฮ่าวหรานไสหัวไปไกล ๆ

เมื่อเห็นท่าทีของพวกนักเลงที่ดูน่าจะเอาเรื่องกับอวี้ฮ่าวหรานจริง ๆ สวีรุ่ยก็เปิดประตูรถ และรีบวิ่งมายืนข้าง ๆ อวี้ฮ่าวหราน และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คุณอวี้ คะ..คุณรีบไปเถอะ คนพวกนี้ไม่น่าจะกล้าทำอะไรฉันหรอก ไม่ว่ายังไงบ้านเมืองก็มีกฎหมาย…”

ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่าอวี้ฮ่าวหรานแข็งแกร่งมาก แต่เมื่อเธอเห็นว่านักเลงพวกนี้มีอาวุธพร้อมอยู่ในมือกันทุกคน เธอก็เริ่มรู้สึกกังวลว่าอวี้ฮ่าวหรานจะมีอันตราย

แต่แล้วเมื่อเธอคิดถึงคำพูดของเธอที่บอกว่าบ้านเมืองมีกฎหมายเธอก็เริ่มห่อเหี่ยว

กฎหมายทำอะไรเดนมนุษย์พวกนี้ได้จริง ๆ เหรอ?

มันมีข่าวในทีวีอยู่เป็นประจำที่พวกเดนมนุษย์พวกนี้ทำร้ายคนบริสุทธิ์ และสุดท้ายก็รอดไปด้วยเหตุผลต่าง ๆ หรือยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นพวกคนในเครื่องแบบซะเองที่เป็นคนให้ท้ายพวกเดนมนุษย์เหล่านี้

ในระหว่างที่สวีรุ่ยไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อเหมือนกัน จู่ ๆ อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยคำพูดประจำตัวของเขาขึ้น

“มดแมลงอย่างพวกแกกล้าดียังไงถึงได้มาส่งเสียงดังต่อหน้าเทพผู้นี้?”

อันที่จริงคำพูดนี้เป็นคำพูดประจำตัวของอวี้ฮ่าวหรานเมื่อตอนอยู่ที่ดินแดนแห่งเทพ เมื่อไหร่ที่เขาพูดคำนี้ขึ้นพวกมดแมลงที่เขาเอ่ยถึงล้วนมีชะตากรรมเดียวกันก็คือตายทั้งหมด แต่น่าเสียดายที่ที่นี่มันคือโลกมนุษย์!

“ฮ่าฮ่า ลูกพี่ได้ยินที่ไอ้เวรนี่มันพูดหรือเปล่า? แมลง? เทพ?”

“จะบ้าตาย ไอ้เวรนี่มันกลัวจนสมองเพี้ยนไปแล้วหรือไงวะ?”

….

อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้ว เขาเคยคิดถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทุกครั้งที่เขาพูดประโยคนี้ทุกคนถึงต้องหัวเราะเยาะเขาตลอดเวลา?

“ประโยคนี้มันน่าตลกตรงไหน? หรือว่าประโยคนี้มันแปลกจริง ๆ?” อวี้ฮ่าวหรานบ่นกับตัวเองเสียงเบา

เมื่อตอนที่เขาปกครองสวรรค์ชั้นที่ 33 หากเมื่อไหร่ที่เขาเอ่ยประโยคนี้ขึ้น ทุกคนจะรู้ได้ทันทีว่ามหาเทพฮ่าวหรานจะเริ่มการสังหารหมู่แล้ว ซึ่งทุกคนล้วนแต่หนีกันจ้าละหวั่นไม่มีใครกล้ารั้งอยู่ต่อสักคน แต่ที่นี่กลับ…

“เอ่อ…มันก็เป็นไปได้…” สวีรุ่ยซึ่งได้ยินอวี้ฮ่าวหรานบ่น เธอตอบกลับด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

อันที่จริงหากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ตอนนี้มันกดดันเป็นอย่างมาก และถ้าไม่ใช่เพราะเธอรู้จักกับอวี้ฮ่าวหราน ป่านนี้เธอคงหัวเราะออกมาแล้ว

ผู้ชายคนนี้ช่างแปลกประหลาดจริง ๆ!

จากนั้นเมื่อเธอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ตอนเย็นก่อนที่อวี้ฮ่าวหรานจะจัดการกับคนของหลี่จิงเทียน ซึ่งเขาให้ถวนถวนพูดคำนี้เหมือนกัน เธอก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา

“อุ๊บ!”

แต่ก่อนที่เธอจะระเบิดเสียงหัวเราะ สวีรุ่ยก็เอามือปิดปากตัวเองได้ทัน แต่นี่มันมากพอที่จะทำให้อวี้ฮ่าวหรานรู้ตัว

อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่สวีรุ่ยด้วยสีหน้างุนงง ทำไมผู้หญิงคนนี้ก็หัวเราะด้วยเช่นกัน?

“นี่คนสติไม่ดีอย่างแกยังมีหน้ามาจีบผู้หญิงอีกเหรอวะ แถมยังทำตัวเป็นฮีโร่ช่วยสาวงามอีกต่างหาก น่าขำชิบหายเลยว่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”

“ลูกพี่ ให้ผมอัดมันสักเปรี้ยงทีเถอะ เผื่อมันจะหายบ้าขึ้นบ้าง!”

“ผลั่ก!!”

“ผัวะ!!”

“แคร็ก!!”

“อ้ากกก!!”

ต่อให้อวี้ฮ่าวหรานจะมีความอดทนที่เป็นเลิศขนาดไหน แต่การที่เขาโดนหัวเราะเยาะมาก ๆ แบบนี้เขาก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน

แค่ฉันใจดีไม่ทำอะไรพวกแก พวกแกกลับมองฉันเป็นลูกแมวงั้นเหรอ?

เสียงปะทะของทั้งหมัดทั้งแข้งดังขึ้นสลับไปมาอยู่พักใหญ่ จนสุดท้ายบรรดานักเลงสิบกว่าคนก็ลงไปนอนกองร้องโอดครวญอยู่ที่พื้น

พวกนักเลงแต่ละคนล้วนแล้วแต่โดนหักกระดูกไปคนละท่อนสองท่อนอย่างทัดเทียมกัน เหลือแต่หัวหน้ากลุ่มนักเลงที่อวี้ฮ่าวหรานยังคงไม่ได้แตะต้องอะไร

หัวหน้ากลุ่มนักเลงมองไปที่ลูกน้องของตัวที่ร้องครวญครางอยู่ที่พื้นด้วยสีหน้าตกตะลึง และจากนั้นเมื่อเขาเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานกำลังเดินเข้ามาหาเขา เขาก็หวาดกลัวตัวสั่นจนมีดพร้าเล่มใหญ่ในมือหล่นลงไปที่พื้นอย่างควบคุมไม่ได้

คนคนนี้ไม่ใช่มนุษย์!

มันต้องเป็นปีศาจที่หลุดมาจากนรกแน่นอน มนุษย์ไม่มีทางทำอะไรแบบนี้ได้!

เมื่อกลัวจนถึงขีดสุด หัวหน้ากลุ่มนักเลงก็เข่าอ่อนทรุดตัวลงไปคุกเข่าต่อหน้าอวี้ฮ่าวหราน

นักเลงพวกนี้จริง ๆ แล้วไม่ใช่คนที่กล้าหาญอะไรเป็นทุนเดิม พวกเขาก็เป็นแค่คนธรรมดาที่เวลาอยู่รวมกลุ่มกันมาก ๆ ก็เลยฮึกเหิมทำเรื่องชั่ว ๆ กันมากมาย ฉะนั้นเมื่อเจอกับอำนาจที่เหนือกว่าจริง ๆ สัญชาตญาณเดียวที่นักเลงพวกนี้มีก็คือคุกเข่ายอมศิโรราบ

แต่ก่อนที่หัวหน้านักเลงจะได้ทันพูดร้องขอชีวิตของตัวเอง อวี้ฮ่าวหรานกลับเอ่ยขึ้นก่อนว่า

“เฮ้ย อย่ามาเล่นละครขอความเห็นใจตรงนี้ ลุกขึ้นแล้วพาพวกของแกทั้งหมดไสหัวไปได้แล้ว แต่ฉันขอเตือนเอาไว้อย่าง อย่าได้โผล่หน้ามาแถวนี้อีกเป็นอันขาด เพราะถ้าฉันเจอพวกแกอีกรอบพวกแกไม่โชคดีแบบนี้แน่!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทั้งหัวหน้านักเลงและพวกนักเลงที่นอนร้องโอดโอยต่างก็รีบลุกขึ้นทันทีถึงแม้ว่าจะเจ็บไปทั้งร่างกาย และวิ่งกะเผลก ๆ หายไปกับความมืดอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าพวกนักเลงที่จากไปต่างกลัวอวี้ฮ่าวหรานเป็นอย่างมาก พวกมันสาบานกับตัวเองไว้ในใจว่านับจากนี้พวกมันจะไม่มาเหยียบแถวนี้อีกแน่นอน!

เมื่อจบเรื่องแล้วอวี้ฮ่าวหรานก็เดินไปส่งสวีรุ่ยที่หน้าประตูบ้านเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ

“คะ..คุณอวี้ คุณอยากเข้ามาดื่มน้ำข้างในก่อน…ไหม?” เมื่อเปิดประตูบ้านเธอก็หันกลับมาถามอวี้ฮ่าวหรานอีกรอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

ในตอนนี้เธอรู้สึกทั้งคาดหวังและกลัวเล็กน้อย เธอรู้สึกกังวลว่าถ้าหากอวี้ฮ่าวหรานเข้ามาในบ้านจริง ๆ เธอกับเขาจะทำอะไรกันต่อ…

อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ความคิดของสวีรุ่ยกำลังเตลิดไปไกล อวี้ฮ่าวหรานกลับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เธอและพูดว่า “นี่เบอร์ของผม ถ้ามีปัญหาอะไรอีกก็โทรมา”

เมื่อพูดจบอวี้ฮ่าวหรานก็หันหลังและเดินไปขึ้นรถทันที ปล่อยให้สวีรุ่ยมองตามหลังด้วยสีหน้างุนงง…