อวิ๋นหว่านเฟยจำได้ว่า สินสอดที่กองไว้ในชานเรือนหลัก เดิมทีวางไว้ในเรือนตน รอจนถึงวันเข้าจวนโหวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ค่อยให้บ่าวส่งล่วงหน้าไปก่อน แต่ทำไมตอนนี้ถึงถูกคนแบกมาไว้ที่เรือนหลักเล่า
ฝนฤดูใบไม้ร่วงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง วันนี้ก็ยังตกไม่ยอมหยุด ของที่กองไว้หลายต่อหลายลังด้านในบรรจุผ้าแพร ผ้าไหมนุ่มนิ่มเนื้อเนียนละเอียด และผ้าซาตินเนื้อดีไว้ โดนน้ำไม่ได้เป็นอันขาด!
นางตาแดง ใจร้อนดั่งไฟ ผลักหวงน้าสี่ออก คิดเข้าไปตรวจดู พลางว่า
“เหลวไหล! ฉวยโอกาสตอนข้าไม่อยู่ ขโมยของในห้องข้า บ่าวคนไหนอวดดี ทำเรื่องแบบนี้โดยไม่ขออนุญาตข้า!”
เช่นนี้ หวงน้าสี่ก็ไม่เกรงใจอีก ส่งสายตาให้มอมอสองคนเตรียมเข้ามากุมตัวอวิ๋นหว่านเฟยกลับห้อง
“คุณหนูรอง ผู้อาวุโสมาแล้ว ท่านมีเหตุผลของท่าน คุณหนูอย่าเพิ่งร้อนใจไป”
จะไม่ให้ร้อนใจได้อย่างไร! แหงล่ะ! ไม่ใช่สินสอดของพวกเจ้านี่! อวิ๋นหว่านเฟยกระทืบเท้า แต่พอหันมอง ก็เห็นรอยย่นบนใบหน้าชราของถงฮูหยินอย่างแจ่มชัด แววตานางดุดันโกรธเกรี้ยว เห็นชัดว่าไม่พอใจคำด่าทอของนางเมื่อครู่
อวิ๋นหว่านเฟยขยับปาก กลืนคำพูดลงไป แล้วถอยหลังสองสามก้าว แต่ใจยังไม่ยอม จึงกัดริมฝีปากเรียก
“ท่านย่า”
“หึ คุณหนูรองยังรู้จักเรียกข้าว่าท่านย่า? มิกล้าๆ ทั้งๆ ที่คุณหนูรองเห็นข้ามา ก็ยังถามออกมาได้ว่า บ่าวคนไหนอวดดี กำลังด่าข้ารึ”
เมื่อวานช่วงอากาศเย็นลงกะทันหันและฝนตกไม่หยุด ถงฮูหยินยืนอยู่ในเรือนครึ่งค่อนวัน เช้าวันนี้พอตื่นนอน โรคข้อเข่าเสื่อมก็กำเริบ ปวดเข่าไปหมด เวลาเดินเหินต้องใช้ไม้เท้าช่วย ตอนนี้จึงใช้ไม้เท้ากระแทกพื้น เสียงดัง ‘กึก’ เปี่ยมพลังเป็นอย่างยิ่ง
ยามปกติ ถงฮูหยินจะเรียกหลานของตนว่าหลาน หรือไม่ก็ชื่อตามด้วยเอ๋อร์ วันนี้พอมาถึง กลับเรียกคุณหนูรอง ทิ้งระยะห่างอย่างเห็นได้ชัด
อวิ๋นหว่านเฟยหน้าเปลี่ยนสี เสียงเริ่มสั่น “ท่านย่า ท่านเอาอะไรมาพูด เป็นท่านย่าหรือที่บอกให้บ่าวขนสินสอดของหลานออกมา”
“สินสอด?” ถงฮูหยินแค่นเสียงหัวเราะ “ยังมีหน้ามาพูดอีก ไปเป็นอนุบ้านคนอื่น มีแต่ทำให้ที่บ้านเสื่อมเสียชื่อเสียง นอกจากไม่มีอะไรให้ที่บ้านแล้ว ยังแบมือขอของจากที่บ้านอีก! และข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า อนุคนไหนในใต้หล้ามีสินสอดด้วย!”
“แล้วท่านย่าจะเอาไง” อวิ๋นหว่านเฟยพยายามข่มอารมณ์
นางเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองอยู่แล้ว กับย่าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไหนเลยจะมีความผูกพันด้วย ตอนนี้พอรู้ว่าถงฮูหยินเป็นคนบอกให้บ่าวขนสินสมรสทั้งหมดออกจากห้องตน ก็อยากด่าใส่นางสักชุด
ถงฮูหยินสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาเรียวยาวขยับ จากการพยุงของสะใภ้ใหญ่ นางเลือกนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ข้างหน้าต่างตัวหนึ่ง
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังจะออกเรือนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่แม่เจ้ากลับมีสภาพเช่นนี้ จะดูแลหลังบ้านได้อย่างไร ข้ากับพี่สาวเจ้าจึงต้องช่วยกันดูแลชั่วคราว เช้าวันนี้ ชิ่นเอ๋อร์ได้นำรายการสินสอดของเจ้ามาให้ข้าดู หลังจากข้าคิดคำนวณสินสมรสนี้แล้ว ก็สะดุ้งตกใจ นี่ถ้าไม่ดู ก็ไม่รู้เลยว่า มันมากจนเกินไป ไม่เหมาะสม จึงให้บ่าวยกออกมาก่อน รอจนข้าตรวจเสร็จ ค่อยจัดให้เจ้าใหม่ว่า สิ่งไหนควรเอาไป สิ่งไหนไม่ควรเอาไป!”
“ท่านย่า ทำไมถึงทำเช่นนี้ ท่านแม่เตรียมให้ข้าเรียบร้อยแล้ว…” เนื้อที่เข้าปากอวิ๋นหว่านเฟยแล้ว เหตุผลอะไรที่นางต้องคายออกมาอีก หญิงชราผู้นี้ยุ่มย่ามจนเกินไปจริงๆ!
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเป็นปฏิปักษ์กับถงฮูหยิน จึงได้แต่อดทนกับความเจ็บปวดขณะลุกจากเตียงแล้วพยายามยืนหยัดไว้ พลางว่า
“ท่านแม่ ท่านพี่เคยบอกว่า ไม่อนุญาตให้เฟยเอ๋อร์เอาของไปมากมาย ของส่วนใหญ่จึงเป็นของสะสมส่วนตัวของข้าในหลายปีมานี้ พวกผ้าผ่อนและเครื่องประดับ ไม่มีของของท่านพี่หรอก…”
“ตลก” ถงฮูหยินตัดบท ดวงตาคมกริบดุจใบมีดจ้องมองจนไป๋เสวี่ยฮุ่ยเจ็บปวดไปทั้งตัว หลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น “เจ้าเป็นแค่เมีย มีสมบัติส่วนตัวด้วยหรือ มิใช่ลูกชายข้าให้เจ้าในทุกๆ วันหรอกหรือ! ยังมีน้ำหน้ามาพูดอีก!”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกำมือแน่น นี่หญิงชรากำลังจะยึดของของตนไปดื้อๆ แบบนี้หรือ นี่เป็นของที่ตนสะสมจากน้ำพักน้ำแรงมาร่วมสิบปี เผื่อตนและลูกสาวจะได้ใช้เสวยสุขในวันข้างหน้า หรือตอนนี้ต้องมาเสียไปเปล่าๆ เสียเปรียบให้กับถงฮูหยิน? แค้นก็ได้แต่แค้น ตอนนี้ไม่มีแรงโต้ตอบใดๆ จัดการเรื่องอะไรก็ไม่ได้ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยรู้สึกถึงความสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน โดยไม่คาดคิดว่า ยังมีเรื่องอัปยศที่ใหญ่กว่ารอนางอยู่
“เข้ามา…” พอหวงน้าสี่เห็นสายตาที่หญิงชราส่งให้ ก็หันไปเรียกคนที่อยู่นอกม่าน
มอมอวัยกลางคนร่างบึกบึนสองคนยกแคร่หามเข้ามา วางไว้ข้างเตียง ต้องการจะหามไป๋เสวี่ยฮุ่ย
“นี่จะทำอะไรน่ะ…” ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยกมือทั้งสองข้างขึ้น พลางถอยหลัง ดวงตาเบิกกว้าง
“เมื่อวานเพราะเกิดเรื่องฉุกละหุก คิดรักษาเด็กในท้องของเจ้าไว้ จึงพยุงเจ้ามาที่เรือนหลัก เจ้ายังนึกว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่จะอยู่ในเรือนหลักอีกหรือ” ถงฮูหยินไม่พูดจาอ้อมค้อมอีก
“เมื่อเลือดเจ้าหยุดไหลแล้ว ก็ย้ายไปอยู่ในห้องเล็กข้างห้องบูชาบรรพชนก่อนก็แล้วกัน เนื่องจากเจ้ารอง พอเห็นเจ้าอยู่ในเรือนหลัก ก็เข้ามาพักผ่อนไม่ได้ ซึ่งจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ได้ที่ไหนกัน เขาต้องไปทำงานแต่เช้าทุกวัน ถ้าพักผ่อนไม่ดี สมองก็ไม่แจ่มใส อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ถ้าไม่ระวังเพียงนิดเดียว ทำให้ทรงพิโรธขึ้นมา ก็ต้องเสียตำแหน่งหน้าที่การงานไปและไม่ได้เป็นคนโปรดอีก!”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยสั่นศีรษะพลางพึมพำ “ไม่ ข้าเป็นนายหญิงของบ้าน เป็นฮูหยินรองเจ้ากรมฝ่ายซ้าย…ข้าเพิ่งแท้งลูก พวกเจ้าจะทำกับข้าอย่างไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ไม่ได้…ท่านพี่ ท่านพี่รู้เรื่องนี้หรือไม่ ข้าไม่เชื่อว่าท่านพี่จะปฏิบัติกับข้าเช่นนี้…”
พูดยังไม่ทันขาดคำ มอมอคนหนึ่งก็ช้อนเข้าที่รักแร้นาง อีกคนก็จับเท้านาง แล้วยกขึ้นวางบนแคร่หาม
แต่เพราะนางดิ้นไม่หยุด มอมอทั้งสองก็ใช่ว่ามีแรงมาก จะบอกว่าวางนางลง มิสู้บอกว่าปล่อย แคร่หามก็ทำขึ้นอย่างง่ายๆ เอาปล้องไม้ไผ่มามัดรวมกันเป็นแพ กระทั่งที่นอนยัดนุ่นก็ยังมิได้ปูไว้ให้
เสียง ‘กึก’ ผู้หญิงแท้งลูกที่แผลยังไม่ปิดสนิทดี ไหนเลยจะทนแรงกระแทกเช่นนี้ไหว โลหิตไหลออกมาอีกกระโปรงแดงฉานไปหมด นางพลันเจ็บปวดจนสลบไสลไป
“ผู้อาวุโส นี่…” มือของมอมอคนหนึ่งเลอะไปด้วยโลหิต เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้น จึงหันไปมองถงฮูหยิน
ถงฮูหยินขมวดคิ้ว “นิดเดียวเอง เมื่อวานเลือดมากขนาดนั้นก็ยังไม่เห็นตายนี่ ดวงแข็งอยู่! หามออกไปเถอะ!”
มอมอทั้งสองยกแคร่หามขึ้นอย่างรวดเร็ว คนหนึ่งอยู่หน้า คนหนึ่งอยู่หลัง หามฮูหยินที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น ออกจากเรือนหลักไป
พอไป๋เสวี่ยฮุ่ยไปแล้ว ถงฮูหยินก็ออกคำสั่ง “แยกประเภทลังที่อยู่ตรงชานเรือนออก ลังใหญ่ให้ยกไปไว้ในห้องเก็บของข้างเรือนหลัก ส่วนลังเล็กที่ใส่เครื่องประดับ อัญมณี และของเก่า ให้นำไปไว้ในห้องหนังสือกับห้องนอนของนายท่าน”
กลุ่มคนทำตามคำสั่ง เดินยกของเข้าออกไม่หยุด
ของที่เดิมทีเป็นสมบัติส่วนตัวของสองแม่ลูก กลายเป็นสมบัติสาธารณะไปในชั่วพริบตา
อวิ๋นหว่านเฟยยืนจ้องเป็นตอไม้อยู่แต่แรก ย่าท่านนี้ ร้ายกาจจริงๆ หรือเป็นเพราะอยู่บ้านนอกไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกมาสิบกว่าปี พอมาถึง ก็ประหัตประหารเสียใหญ่โต เสพติดการจัดการผู้คนไปแล้ว
ตอนนางถูกขังอยู่ในห้องนั้น รู้ดีว่ารสชาติของความทุกข์ทรมานเป็นเช่นไร ไม่รู้กลางวันกลางคืน เพราะท่านพ่อปิดตายประตูหน้าต่าง ด้วยเกรงว่าตนจะเอาของทุ่มทำลาย อีกทั้งยังล่ามโซ่ตนไว้ข้างเตียง…พูดง่ายๆ ก็คือ อเนจอนาถจนดูไม่ได้ อยู่ก็เหมือนตาย แต่อย่างไรนางยังสาว ร่างกายก็แข็งแรง แต่สภาพเช่นนี้ของท่านแม่…ไปอยู่ในห้องเก็บฟืนเล็กๆ ข้างห้องบูชาบรรพชนแบบนั้น จะทนได้สักกี่วันกัน
พออวิ๋นหว่านเฟยเห็นถงฮูหยินและกลุ่มคนจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็ตื่นจากความงงงันที่สูญเสียทรัพย์สมบัติไป รีบก้าวเข้าจับแขนเสื้อของหญิงชราไว้ “ท่านย่า…”
“เสียดายวันแรกที่พบหน้ากัน คุณหนูรองยังโอ้อวดกับทุกคนอยู่เลยว่าเป็นกุลสตรี แล้วตอนนี้เหตุใดถึงลงมือลงไม้กับผู้อาวุโสท่านย่าเล่า” หวงน้าสี่ใช้แรงที่ไม่หนักไม่เบา ตีมือของอวิ๋นหว่านเฟยลงไป
อวิ๋นหว่านเฟยอยากจับป้าสะใภ้นางนี้มัดแล้วโยนลงบ่อน้ำแทบไม่ทัน ทว่าก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน นางในตอนนี้ไม่มีมารดาคอยดูแลแล้ว ถ้าตบตีกันขึ้นมา ย่อมเสียเปรียบ และทำให้คนในเรือนฝูหยิงหัวเราะเยาะอีก จึงกดเสียงให้ต่ำลง พลางพูดเสียงสั่น
“ท่านย่า…ท่านคิดจะทำอย่างไรกับท่านแม่ข้า นางเองก็เลอะเลือนไปชั่วขณะ ท่านไม่ดูผลงาน ก็ควรดูที่ความทุ่มเทด้วย”
“โอ้ ข้ายังนึกว่าที่คุณหนูรองจับข้าไว้นั้น เพราะคิดขอสินสอดคืน นึกไม่ถึงว่ายังมีความกตัญญูอยู่บ้าง
อุตส่าห์มาขอร้องให้แม่ตัวเอง แต่เมื่อครู่ทำไมถึงไม่ขอล่ะ ตอนนี้คนก็ไปจนไม่เห็นเงาแล้ว เพิ่งมาร้องขอ นิสัยเหมือนแม่เจ้าไม่มีผิดจริงๆ ปากหวานก้นเปรี้ยว ปากไม่ตรงกับใจ!”
ถงฮูหยินไม่เหลือเยื่อใยแม้แต่น้อย น้ำเสียงเน้นหนักไปที่สองประโยคสุดท้ายโดยเฉพาะ ว่าแล้วก็ปัดแขนเสื้อ เดินจากไป ปล่อยให้อวิ๋นหว่านเฟยยืนตัวสั่นอยู่กับที่