บทที่ 14 โลกแคบจริง

The king of War

บทที่14 โลกแคบจริงๆ

ฉินยีใบหน้าแดงก่ำ มองหน้าหม่าชาวอย่างเย็นชา

ขณะเดียวกัน ก็สนใจอยากรู้ว่าหลายปีมานี้หยางเฉินไปที่ไหนไปทำอะไรมากันแน่

หยางเฉินสามารถถีบจางกว่างกระเด็นไกลขนาดนั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนปกติทั่วไปจะสามารถทำได้ แล้วตอนนี้อยู่ๆก็มีชายร่างใหญ่ชื่อหม่าชาวโผล่มาอีก

“ห้าปีที่เขาหายไปคงไม่ได้ไปเป็นหัวหน้าของพวกอิทธิพลมืดสักแห่งหรอกใช่มั้ย?”ในสมองฉินยีมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา

ถ้าให้หยางเฉินรับรู้ถึงความคิดในหัวของฉินยีตอนนี้ เขาคงจะต้องตกใจกับจินตนาการของเธอแน่นอน

ในตอนที่หยางเฉินอุ้มเสี้ยวเสี้ยวเดินผ่านหม่าชาว ก็พูดขึ้นเบาๆว่า “ที่นี่ไม่ใช่ชายแดนเหนือ อย่าให้มีคนตายละ!”

“พี่เฉินสบายใจได้ครับ ผมรู้ขอบเขตครับ!”หม่าชาวตอบรับ

ฉินยีได้ยินบทสนทนาของพวกเขาพอดี ดังนั้นเธอจึงมั่นใจความคิดที่เธอคาดเดามากขึ้น หรือว่าพวกเขาเคยฆ่าคนจริงๆ?

เธอเกือบจะร้องไห้แล้ว ชายแดนเหนือคือที่ไหน? แล้วพวกเขาคือใครกันแน่?

ตลอดทางฉินยีไม่กล้าใส่อารมณ์ ทำแค่ขับรถไปนิ่งๆ กลัวว่าถ้าทำหยางเฉินโมโหแล้วเขาจะฆ่าปิดปากตัวเอง

ในรถ เสี้ยวเสี้ยวก็ยังกอดคอหยางเฉินไว้แน่น เหมือนกลัวว่าคุณพ่อจะหายไปอีก

หลังจากนั้น 20 นาที ในที่สุดก็ถึงลานหน้าบ้านตระกูลฉิน

เพิ่งเข้าบ้านก็เจอเข้ากับโจวยู่ชุ่ย เธอเห็นหยางเฉินอุ้มเสี้ยวเสี้ยวไว้สีหน้าก็เปลี่ยนทันที หยิบไม้กวาดข้างตัวขึ้นมาแล้วก็ไล่ตีหยางเฉิน

“ไอ้สวะ แกยังกล้ามาบ้านฉันอีก”โจวยู่ชุ่ยโมโหมาก

หลังจากที่ฉินยีรู้ “ความลับ” ของเขาแล้วจะกล้าปล่อยให้แม่ใส่อารมณ์ที่ไหนละ? รีบเข้าไปคว้ามือแม่ไว้ “แม่คะ อย่าใจร้อน เขาก็แค่ส่งเสี้ยวเสี้ยวกลับบ้านเฉยๆ เดี๋ยวก็จะไปแล้ว!”

เสี้ยวเสี้ยวร้องไห้ “หนูไม่อยากเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีพ่อ….”

ฉินซีและคุณพ่อฉินที่ได้ยินเสียงก็รีบมา “เกิดอะไรขึ้น?”

ฉินยีเล่าเรื่องทุกอย่างคร่าวๆ ฉินซีเหมือนถูกมีดปักอก “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายก็มาอยู่ในบ้านแล้วกัน!”

ทุกคนตกใจ คุณแม่ฉินจะยอมให้หยางเฉินอยู่ได้ยังไง “แกบ้าไปแล้วหรอ? ให้มันอยู่ แล้วแกกับหวังเจี้ยนจะทำยังไง?”

“แม่คะ แม่จะต้องบังคับหนูให้ได้หรอ? ถ้าหากจะให้เขาไป งั้นหนูกับเสี้ยวเสี้ยวก็จะไปกับเขา”ฉินซีพูดเสียงแข็ง

ถ้าไม่ใช่เพราะลูกสาว ต่อให้ตาย เธอก็จะไม่มีทางรั้งหยางเฉินไว้เด็ดขาด เธอแค่เพียงอยากให้ลูกสาวมีครอบครัวที่สมบูรณ์เท่านั้น

หยางเฉินประหลาดใจมาก ไม่คิดเลยว่า ฉินซีจะยอมให้เขาอยู่บ้านหลังนี้ แม้แต่ในความฝันเขายังฝันว่าอยากอยู่กับฉินซีและลูกสาวเลย

ตอนนี้ฉินยีเองก็พูดกล่อมเช่นกัน “แม่คะ คิดซะว่าเพื่อเสี้ยวเสี้ยว ให้เขาอยู่ก่อนก็แล้วกัน!”

มองดูท่าทางที่เจ็บปวดของลูกสาว ฉินต้าหย่งเองก็ถอนหายใจแล้วพูดกล่อม “ในเมื่อลูกสาวพูดอย่างนี้แล้ว งั้นก็ให้เขาอยู่แล้วกัน”

โจวยู่ชุ่ยจ้องสามีเขม็ง ในใจรู้ดีว่าจะไล่หยางเฉินออกไปก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว ดังนั้นจึงพูดว่า “อยู่ได้ แต่ต้องจ่ายค่าเช่า 5000 หยวน ตรงเวลาทุกเดือน ฉันจะมีสัญญาให้แกหนึ่งฉบับ! ถ้าหากว่าตกลง ก็เข้าอยู่ได้”

อย่าว่าแต่ 5000 แม้แต่ 50 ล้านเขายังเต็มใจเลย

หยางเฉินรีบตอบตกลง แล้วก็เดินตามฉินซีกับเสี้ยวเสี้ยวขึ้นชั้นบน

มองดูแผ่นหลังทั้งสามคนจากไป ในสายตาของฉินยีซับซ้อน ถอนหายใจเบาๆแล้วคิดว่า “ถ้าไม่มีเรื่องเมื่อห้าปีก่อน แล้วพวกเขาก็รักกันจริงๆ มันจะดีสักแค่ไหนนะ?”

ไม่นานก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเสี้ยวเสี้ยวดังออกมาจากห้องของฉินซี โจวยู่ชุ่ยใบหน้าไม่ชอบใจ “คนเนรคุณทั้งนั้น!”

“แม่คะ หนูไม่ได้เนรคุณนะ รอหนูแต่งเข้าบ้านตระกูลซู แล้วใครจะยังกล้าดูถูกพวกเราอีก?”

ฉินยีรู้ว่าในใจโจวยู่ชุ่ยไม่พอใจมาก กอดคอของเธอไว้อย่างสนิทสนม แล้วก็พูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อพูดถึงตระกูลซู ความไม่พอใจของโจวยู่ชุ่ยก็หายไปจนหมด พูดอย่างมีความสุขว่า “ตระกูลซูให้สินสอดมาเยอะขนาดนั้น แล้วยังได้บรรจุเข้าเยี่ยนเฉินกรุ๊ป ยียีนี่ทำให้ฉันโล่งใจจริงๆ หลังจากนี้แม่ก็หวังที่จะได้กินอยู่สบายกับแกแล้วนะ”

ตอนกลางคืน เสี้ยวเสี้ยวลงไปนอนพื้นกับหยางเฉินอย่าง “ไร้จิตสำนึก” เพราะว่านอนกับคุณพ่อครั้งแรก เด็กน้อยมีความสุขมาก กว่าจะยอมนอนก็ดึกมากแล้ว

มองดูลูกสาวในอ้อมกอด หยางเฉินนั้นรู้สึกปลื้มปริ่มมาก แต่ว่าความรู้สึกผิดในใจก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

ฉินซีนอนอยู่บนเตียง พลิกไปพลิกมา ทำยังไงก็นอนไม่หลับ ในใจสับสนวุ่นวาย

“เครียดเพราะเรื่องสัญญากับเยี่ยนเฉินกรุ๊ปหรอ?”อยู่ๆหยางเฉินก็ถาม

ฉินซีพูดอย่างเย็นชาว่า “หุบปาก! อย่ารบกวนเสี้ยวเสี้ยว!”

หยางเฉินยิ้มขมขื่น ไม่พูดอะไรอีก นี่เป็นค่ำคืนที่นอนหลับได้ยากจริงๆ

เช้าวันถัดมา ตอนที่ฉินซีตื่นขึ้นมา หยางเฉินก็จากไปแล้ว

ประสบการณ์การเป็นทหารที่ผ่านมาห้าปี ทำให้ชีวิตประจำวันของหยางเฉินเป็นระเบียบมาก ทุกๆเช้าจะต้องออกกำลังฝึกฝนร่างกาย

เสี้ยวเสี้ยวลืมตาขึ้น เห็นว่าคุณพ่อไม่อยู่ ก็ร้องไห้งอแง

ฉินซีปลอบยังไงก็ไม่หยุด จนหยางเฉินกลับมาเสี้ยวเสี้ยวถึงจะหยุดร้อง เกาะอยู่บนตัวของคุณพ่อ พูดยังไงก็ไม่ยอมปล่อย

กว่าจะกล่อมเสี้ยวเสี้ยวเสร็จแล้วพาไปส่งที่โรงเรียนอนุบาล ก็สายไปถึงครึ่งชั่วโมงแล้ว

ซานเหอกรุ๊ป ชั้นบนสุด

ในห้องประชุมมีคนนั่งอยู่เต็มห้อง เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่ตระกูลจางแห่งเจียงโจวและตระกูลฉินเซ็นสัญญาร่วมธุรกิจกัน

ตระกูลจางคือเศรษฐีระดับรองของเจียงโจว ปีก่อนเกือบจะได้ขึ้นไปอยู่ในระดับหนึ่งแล้ว ทรัพย์สินของตระกูลก็มากกว่าตระกูลฉินมากมาย

“เสี่ยวเฟยเก่งจริงๆ ถึงได้เอาสัญญาร่วมธุรกิจกับตระกูลจางมาได้”

“เรื่องแค่นี้เอง เสี่ยวเฟยยังสร้างความสัมพันธ์กับเยี่ยนเฉินกรุ๊ปไว้แล้วด้วย รอฉินซีพ่ายแพ้กลับมา เสี่ยวเฟยก็ออกตัวไปคุยเรื่องสัญญา มันก็แค่เรื่องเล็กน้อยไม่นานก็จัดการได้แล้ว”

“พวกเธอรู้มั้ย? ว่าเมื่อวานยัยโง่ฉินซีนั่นไปรอที่หน้าประตูใหญ่เยี่ยนเฉินกรุ๊ปทั้งวัน สุดท้ายไม่ได้เข้าไปแม้แต่ประตูบริษัทด้วยซ้ำ ช่างน่าตลกสิ้นดี ฮ่าๆ!”

บรรยากาศในห้องประชุมวุ่นวาย ทุกคนต่างก็ล้อมรอบฉินเฟยและหัวเราะตาม

“ยังเหลือเวลาอีกสองวัน เพียงแค่ไม่ได้สัญญามา ฉินซีก็จะถูกไล่ออกจากตระกูลฉิน ถึงตอนนั้น ฉันจะพาทุกคนไปดูเรื่องสนุก”ฉินเฟยพูดอย่างภูมิใจ

“ฮ่าๆ เป็นครั้งแรกที่ฉันอยากให้เวลาผ่านไปไวๆ”มีคนพูดขึ้นเสียงดัง

ในตอนนี้เอง ทางเดินข้างนอกมีเสียงฝีเท้าเดินมา เสียงทั้งหมดก็เงียบลงทันที

นายท่านฉินพาชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เดินเข้าห้องประชุมอย่างรื่นเริง

“ฉันขอแนะนำให้ทุกคนรู้จัก นี่คือผู้สืบทอดคนต่อไปของตระกูลจาง ประธานจาง วันนี้เขาเป็นตัวแทนตระกูลจางมาเซ็นสัญญากับพวกเรา ทุกคนต้อนรับ!”นายท่านแนะนำ

หลังจากที่พูดชมกันและกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็เข้าสู่กระบวนการเซ็นสัญญา

แต่ในตอนนี้เอง ฉินซีและหยางเฉินเข้ามาในบริษัทอย่างรีบร้อน

“ขอโทษค่ะคุณปู่ หนูและหยางเฉินไปส่งเสี้ยวเสี้ยวที่โรงเรียนอนุบาลเลยเสียเวลานิดหน่อยค่ะ”เมื่อฉินซีเข้าห้องประชุมก็รีบขอโทษ

ประธานจางที่เตรียมจะเซ็นสัญญา ได้ยินคำว่าโรงเรียนอนุบาลก็เงยหน้าขึ้น เจอเข้ากับหยางเฉิน

“แก!”

ประธานจางโยนปากกาที่ใช้เซ็นสัญญาลงบนโต๊ะอย่างแรง

หยางเฉินถึงเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าคนๆนี้ก็คือจางกว่างคนที่ถูกเขาถีบที่โรงเรียนอนุบาลเมื่อวานนี้