บทที่ 41
แขกที่ไม่คาดคิด
ทุกวันนี้ลั่วอู๋ยกงานธุรกิจของศาลาไป่หยู่ทุกอย่างให้กับเจ้าของร้านคนก่อนทำ
ส่วนเขาก็เก็บตัวฝึกฝนวิชาอย่างปลอดภัยในมิติข้างในไหปีศาจ
เพราะเขารู้ว่าศาลาไป่หยู่ตอนนี้เจริญรุ่งเรืองขนาดไหน ถ้าไม่มีหลักประกันที่ดีก็จะเป็นเพียงกระจกที่พร้อมจะแตกทุกเมื่อหากมีอะไรมากระทบ
อย่างเช่นคฤหาสน์ชวนเทียน
พวกเขามีธุรกิจอยู่ทั่วแผ่นดินใหญ่ และถ้าพวกลั่วอู๋มีความสามารถในการทำธุรกิจไม่พอพวกเขาก็คงจะถูกกลืนกินไปพร้อมกิจการของผู้อื่น
จึงจำเป็นที่พวกเขาจะต้องรู้ไต๋ของคฤหาสน์ชวนเทียน พวกเขาเหล่านั้นเปรียบได้กับมังกรที่เร้นกายอยู่หรือเสือโคร่งที่หมอบรอเหยื่อ
นอกจากนี้พวกเขามีมิตรภาพอันลึกซึ้งกับอำนาจสูงสุด เกือบทั้งหมดของราชวงศ์มังกรเร้นกาย หากต้องปะทะกันจะเป็นสถานการณ์ที่แย่มาก
พลังวิญญาณแห่งเซียนนั้นหนาแน่นอยู่ในไหปีศาจ
ร่างกายของลั่วอู๋เปล่งประกายแสงสีฟ้าอ่อน ทำให้ ต้าหวงที่นอนหมอบอยู่ถึงกับสะดุ้งตื่น เนื่องจากมันและลั่วอู๋แบ่งปันพลังวิญญาณรวมกัน
ทันใดนั้นออร่าพลังวิญญาณก็ตึงตัวขึ้นและพัดโหมเข้ามา
หมุนวนอยู่เป็นเวลานานแล้วกระจายออก
ลั่วอู๋ลืมตาขึ้นแล้วสูดลมหายใจเข้าไปด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “ในที่สุดก็ผ่านระดับทองแดงไปได้ซะที”
เขาต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือน ถึงจะเสร็จสิ้นการพัฒนาทักษะในมิติไห สามารถจินตนาการได้ว่ามันยากแค่ไหนกว่าลั่วอู๋จะผ่านการฝึกฝนนี้ไปได้
ต้าหวงพ่นลมหายใจออกมา
มิติของต้าหวงได้พัฒนาไปถึงระดับทองแดง 5
ต้าหวงจ้องมองไปที่ลั่วอู๋ ดวงตาของมันเปี่ยมไปด้วยร่องรอยของความหวัง
ผ่านการเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณ, ลั่วอู๋สัมผัสความคิดของต้าหวง
“เจ้าเองก็ต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นเหมือนกับเจ้าสุนัขตัวใหญ่ตัวนั่นสินะ … ” ลั่วอู๋ส่ายหน้าแล้วหัวเราะ “ไม่ดีเลยนะ”
แววตาของต้าหวงทอแววผิดหวัง
ทำไมสุนัขตัวอื่น ๆ ถึงทำได้ แต่พอเป็นมันกลับทำไม่ได้
ลั่วอู๋ลูบศีรษะของต้าหวงเบา ๆ “เพราะเจ้าเป็นสัตว์วิญญาณแสนสำคัญของข้า คู่หูตลอดชีวิต ดังนั้นข้าจึงยอมไม่ได้ยังไงล่ะ”
วิธีการสังเคราะห์นั้นมีโอกาสเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่จะสำเร็จและได้กลายเป็นวิญญาณชั้นสูง
ลั่วอู๋จะไม่ยอมใช้วิธีนี้โดยเด็ดขาด
ถ้าพลาดละก็เขาจะสูญเสียต้าหวงตลอดไป
แน่นอนว่าก็ยังมีอีกวิธี ลั่วอู๋สามารถใช้ทักษะปรับปรุงของไหปิศาจเพื่อปรับปรุงมิติของต้าหวงได้อย่างรวดเร็ว
แต่มันก็มีข้อเสียอยู่
เนื่องจากการส่งเสริมจากภายนอก มันจะเร่งด่วนเกินไปและทำให้ความเข้าใจของสัตว์วิญญาณไม่สอดคล้องกับพลังวิญญาณ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อความก้าวหน้าของมันในอนาคต
ต้าหวงเดิมทีนั้นเป็นสัตว์ธรรมดา หากลั่วอู๋ต้องการที่จะให้มันเป็นสัตว์วิญญาณอันทรงพลังและอยู่คู่กับเขาไปยังจุดสูงสุดของโลก ผลกระทบเล็ก ๆ น้อยๆ นั้นอาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต
ถึงแม้เขาจะมีไหเล่นแร่แปรธาตุ ลั่วอู๋ยังคงต้องการให้มันพัฒนาไปทีละขั้นทีละตอนมากกว่า
เมื่อต้าหวงรับรุู้ถึงสิ่งนี้มันก็ยิ้มขึ้นมาทันที พลางแกว่งหางไปมาอย่างมีความสุขและเลียมือของลั่วอู๋อย่างต่อเนื่อง มันตื่นเต้นมาก
ฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสุนัขเพียงตัวเดียวที่เจ้านายของมันรักจริงๆ
แม้ว่าสุนัขตัวใหญ่จะดูดี แต่มันก็เป็นสัตว์วิญญาณที่จะถูกนำไปขาย
และแล้วการฝึกฝนก็สิ้นสุดลง
ลั่วอู๋เดินออกจากบ้านในมิติไหแล้วมองออกไป
โลกในมิติไหยังคงเป็นสถานที่ที่สวยงามด้วยหมอกเหมือนภาพของดินแดนแห่งเซียน
นอกจากนี้ด้วยการปลดปล่อยสัตว์วิญญาณจำนวนหนึ่ง ก็ได้เพิ่มพลังให้แก่มิติไหด้วยเล็กน้อย
ไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลวงตารึเปล่า แต่ลั่วอู๋รู้สึกว่ามิติไหดูเหมือนจะใหญ่ขึ้น มันแปลกจริง ๆ หรือว่าถ้ามีชีวิตเพิ่มขึ้นมาในมิติแห่งนี้ มิติในไหก็จะใหญ่ขึ้นอย่างนั้นหรือ
“แกว๊ก!”
เสียงของนกร้องดังมาจากระยะไกล
มันเป็นเสียงของเจ้านกโง่
หลังจากระยะเวลาหนึ่ง ขนบนร่างกายของมันก็ฟื้นฟูจนกลับขึ้นมางอกใหม่อีกครั้ง สีของมันเป็นสีเดียวกับสีขาวหิมะ ดูศักดิ์สิทธิ์และสง่างาม
มันยังคงทำท่าภาคภูมิใจ
เหมือนทุก ๆ วันที่ผ่านมากับกลุ่มแร้งทรายที่บินอยู่บนท้องฟ้า
วางท่าราวกับเป็นผู้ปกครองมิติไหและกำลังลาดตระเวนดินแดนของมัน
มีเฉพาะแค่ตอนที่ลั่วอู๋ออกมาเป็นครั้งคราว มันถึงจะเว้นระยะระวังตัวอยู่ห่าง ๆ ดูเหมือนว่ามันยังกลัวว่าตัวเองจะถูกทำร้ายอยู่บ้าง
“เจ้านกหน้าโง่นี่เร็วขึ้นมาก ดูเหมือนว่ามันจะฝึกฝนจนเป็นระดับทองแดง มิติ 8 ซะแล้ว” ลั่วอู๋รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าการฝึกฝนด้วยตนเองของสัตว์วิญญาณนั้นเป็นไปได้ช้ามาก
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่พวกสัตว์วิญญาณ บางตัวเต็มใจที่จะทำสัญญากับมนุษย์
ด้วยพันธสัญญามนุษย์และสัตว์วิญญาณจะส่งเสริมซึ่งกันและกัน ปรับปรุงความเร็วในการฝึกฝนไปด้วยกัน
ลั่วอู๋พูดกับตัวเองว่า “บางทีถ้าข้าไม่รอมันฝึกฝนตัวเองเป็นเวลานาน แล้วลงมือฝึกฝนมันเอง ตัวมันคงจะสามารถขายได้ในระดับที่สูงขึ้นและราคาก็คงจะดีกว่าล่ะมั้ง”
หลังจากที่พักผ่อนจนเรียบร้อย ลั่วอู๋ก็ออกจากมิติไหและกลับสู่โลกความเป็นจริง
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้คาดหวังว่า เมื่อเขากลับมาสู่โลกความเป็นจริง เขาจะได้รับข่าวที่น่าแปลกใจ
หลี่หยินนั้นได้ฝึกฝนจนประสบความสำเร็จ ร่างกายของนางได้สร้างวงจรพลังวิญญาณ ราวกับดวงดาวทั้งเจ็ดของร่างวิญญาณได้ก่อตัวขึ้นในทะเลแห่งความรู้
กล่าวก็คือ หากนางทำพันธสัญญากับสัตว์วิญญาณเพื่อจุดชนวนวงจรพลังวิญญาณแห่งดวงดาวทั้งเจ็ดนั้น นางก็จะสามารถกลายเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณที่แท้จริงได้
หลี่หยินบอกเขาด้วยใบหน้าที่เขินอาย
ลั่วอู๋ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ใครจะไปคิดว่าสาวใช้ของตัวเองจะมีพรสวรรค์แบบนี้
“ข้าเรียนรู้ได้ช้าเกินไปรึเปล่าเจ้าค่ะ” หลี่หยินนั้นค่อนข้างสับสนและไม่สบายใจ
ลั่วอู๋พยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ไม่ไม่ไม่”
หลี่หยินสบายใจขึ้นในทันที
ช่างเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่มีความคิดเรียบง่ายเสียจริง
“ นายน้อยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการหาสัตว์วิญญาณให้ข้านะเจ้าคะ” หลี่หยินกล่าว “ข้าสามารถทำพันธสัญญากับสัตว์วิญญาณแบบไหนก็ได้เจ้าค่ะ “
“เจ้าทำพันธสัญญากับเสี่ยวหลวนก็ได้” ลั่วอู๋พูดพร้อมกับรอยยิ้ม
หลี่หยินรู้สึกไม่เข้าใจ “นายน้อย ข้าสามารถทำสัญญากับลูกแมวธรรมดาได้ด้วยเหรอเจ้าคะ”
“มันไม่ใช่ลูกแมวธรรมดา” ลั่วอู๋มองดูแมวผีตัวน้อยแสนซุกซน โดดขึ้นลงไปมาจนหวั่นว่ามันจะไปสร้างความเสียหายแล้วพูดว่า “เจ้าแมวผีนั่นมันเป็นสัตว์วิญญาณระดับเงิน”
ดวงตาของหลี่หยินเบิกกว้างและใช้เวลานานในการทำความเข้าใจ
ปรากฏว่าเสี่ยวหลวนนั้นมีพลังมากกว่าที่เธอคิด
หลังจากสับสนเล็กน้อย หลี่หยินก็ได้ทำสัญญากับแมวผี ทั้งเธอและมันต่างก็มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นพวกเขาจึงแทบไม่ต้องการความช่วยเหลือใด ๆ
หลี่หยินได้กลายมาเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณอย่างแท้จริง
แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก นางยังคงทำอาหาร จัดเครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและดูแลการขนส่งของต่าง ๆ ให้เจ้านายเหมือนที่ทำทุกวัน ซึ่งแน่นอนว่านางไม่ลืมที่จะใช้เวลาฝึกฝนก่อนนอน
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเท่าไหร่
ขณะเดียวกัน
คนงานทั้งสามคนก็กำลังจะลองเล่นแร่แปรธาตุ
แต่มีเพียงแค่มู่เถาเท่านั้นที่มีความสามารถในการเล่นแร่แปรธาตุ ดังนั้นเขาจึงถูกขังไว้ให้อยู่ในห้องเล่นแร่แปรธาตุอย่างน่าสงสาร บังคับให้เรียนรู้การเล่นแร่แปรธาตุทุกวันจนหน้าบูดหน้าเบี้ยว
ส่วนเสี่ยวชาและอาฟู ผู้ซึ่งได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นคนงานขายอย่างเต็มตัว ก็ตั้งใจทำงานมาก พวกเขาได้เฟ้นหาคัดเลือกคนงานเข้ามาใหม่หลายคน เพื่อช่วยกิจการค้าของศาลาไป่หยู่
และแล้วก็มีข่าวดีมาจากเจ้าของร้านคนเก่า
บ้านบางหลังรอบ ๆ ศาลาไป่หยู่ ได้ถูกซื้อโดยเจ้าของร้านคนเก่าอย่างลับ ๆ หากพวกเขาต้องการจะขยายร้าน คนเหล่านั้นก็พร้อมจะจัดการให้ศาลาไป่หยู่ในทันที
แต่เจ้าของร้านคนเก่าก็ไม่ได้รีบสั่งขยายร้าน เขายังรอคอยโอกาสอยู่
ทุกอย่างจะเป็นไปตามทีละขั้นตอน
อย่างไรก็ตามเงินก็สูญไปราวกับน้ำไหลและศาลาไป่หยู่ก็คงอยู่ในภาวะขาดทุน ทำให้ไม่สามารถทำได้ในทันที อีกทั้งยังขาดเงินมากเกินไป
แม้ว่าการขายสัตว์วิญญาณนั้นได้สร้างรายได้ให้กับศาลาไป่หยู่เกือบล้านหินวิญญาณ แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ
ลั่วอู๋มีความชัดเจนในเรื่องนี้ เขาคิดว่าว่าการลงทุนในช่วงแรกมีความสำคัญมาก เมื่อศาลาไป่หยู่เพิ่มพื้นที่ขึ้นโดยสมบูรณ์ ความสามารถในการดึงดูดกำไรนั้นจะมากจนเกินความสามารถในการดูแลของเขา
ซึ่งในวันนี้ผู้คนจำนวนมากก็ได้มารวมตัวกันที่ด้านหน้าประตูของศาลาไป่หยู่
ทว่าพวกเขามีรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์บนใบหน้าและดูเหมือนจะเตรียมแผนการบางอย่างเอาไว้
คนเหล่านี้ไม่ใช่คนดี พวกเขาเป็นนักเลงที่มีชื่อเสียงไปทั่วพื้นที่ 23 เมืองของหวงชา พวกเขาทั้งขี้เกียจและชอบสร้างปัญหา