ตอนที่ 31 รู้สึกดีด้วยอย่างมาก

แม่ครัวยอดเซียน

ตอนที่ 31 รู้สึกดีด้วยอย่างมาก Ink Stone_Romance

หลิวหลีกลับมาถึงหอปรุงยา คารวะอาจารย์และอาจารย์ลุงเสวียนหลิง และรายงานประสบการณ์ในแดนลี้ลับให้ฟังคร่าวๆ ทั้งยังมอบของขวัญเป็นหยดน้ำพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ขวดใหญ่ให้ แต่กลับไม่พูดถึงเรื่องเหลวไหลที่เกิดขึ้นในสำนัก อย่างไรท่านอาจารย์ก็รู้อยู่ดี แล้วก็ต้องโกรธตนอย่างแน่นอน จากนั้นนางจึงบอกว่าตนเองดูดซับพลังมาไม่น้อย ต้องเข้าฌานเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง สุดท้ายบอกอยากกินหม้อไฟแล้ว อาจารย์อยากกินด้วยกันหรือไม่

เมื่อได้รับอนุญาตจากเสวียนหั่วและเสวียนหลิง หลิวหลีจึงไปเตรียมวัตถุดิบอย่างเป็นสุข ถูกหลิงจูกับหวงเต้าเทียนทำให้อารมณ์เสีย และจิตใจก็ค่อยๆสงบลงในระหว่างจัดเตรียมวัตถุดิบ

หนานกงเวิ่นเทียนหันมองเสียวหน้าด้านข้างของหลิวหลีที่กำลังจัดการวัตถุดิบมากมายด้วยท่วงท่าสง่า เมื่อนึกถึงวิธีจัดการปัญหาของหลิวหลีแล้ว นางช่างเป็นหญิงสาวที่แข็งแกร่งยิ่งนัก แต่เขาก็กลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูเก่งอย่างบอกไม่ถูก เมื่อมองใบหน้าที่ยังไม่โตเต็มวัยของหลิวหลี สีหน้าของหนานกงเวิ่นเทียนก็จริงจังขึ้นเล็กน้อย ทางที่ดีหวงเต้าเทียนนั่นควรบรรลุช่วงพลังไปอย่างสุขใจ มิเช่นนั้นจะคู่ควรกับพลังเซียนเหมันต์ที่เขาทิ้งเอาไว้ในร่างอีกฝ่ายได้อย่างไรกันล่ะ

ก่อนที่ทั้งสองจะจากมา หนานกงเวิ่นเทียนแอบเอาพลังเซียนเหมันต์ใส่เข้าไปในร่างของหวงเต้าเทียนแต่ก็ไม่มีผลกระทบใดๆ แต่ขอแค่ช่วงพลังของเขาสูงขึ้นก็จะทำให้เจ็บปวดเจียนตาย หึ เด็กน้อยของเขาก็เป็นคนประเภทที่สามารถทำเช่นนี้

หลิงจูในชุดแต่งงานสีชมพูนั่งเหม่ออยู่หน้ากระจก พลางมองดูหญิงสาวเลอโฉมในกระจก ตนเองช่างงดงามมากเสียจริง นางไม่ได้ยินคำเหน็บแนมหรือคำอวยพรจอมปลอมรอบๆแม้แต่น้อย ในหัวมีเพียงประโยคสุดท้ายที่พี่ชายเอ่ยกับนางก่อนที่ทุกคนจะออกไป “จูเอ๋อร์ การบำเพ็ญเพียรนั้นขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง อิจฉาคนอื่นไปก็ไม่ได้ทำให้เจ้าบำเพ็ญเพียรได้สำเร็จ ถึงแม้หลิวหลีจะให้เจ้าหมั้นหมายกับหวงเต้าเทียน แต่นางบอกข้าว่าหวงเต้าเทียนมีพลังเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดในจุดด่างพร้อยในตัวเจ้า สถานภาพก็ดีที่สุด เพราะมอบสถานภาพนี้ให้เจ้า หวงเต้าเทียนจะหาคู่ครองไม่ได้อีก แกนวิญญาณของเขากับเจ้าเข้ากันได้ถึงแปดส่วน ต่อไปหากเจ้าตั้งใจบำเพ็ญเพียรก็ยังมีโอกาสได้เป็นผู้บำเพ็ญระดับสูงได้ แต่สิ่งที่หลิงเฟิงไม่ได้เอ่ยออกไปก็คือ แต่เพราะหลินจู เดิมที่ทั้งสองคนเคยสนิทชิดเชื้อ ตอนนี้กลับหมางเมินเหินห่าง หลิวหลีไม่ใช่แม่พระ ไม่ว่าใครก็ตามหากถูกทำร้ายเช่นนี้แล้วยังใจเย็นอยู่ได้ หากมิใช่บำเพ็ญเพียรมากเกินไปก็คงเป็นคนโง่เขลา

ครั้งนี้หลิวหลีต้มซุปกระดูกแพะอสนีตุ๋นกับหัวไชเท้า นางต้องการการบำรุงและขจัดสิ่งปนเปื้อน พักน้ำซุปที่เข้มข้นแล้วผสมน้ำจิ้มหลากหลายชนิดอย่างคล่องแคล่ว เพื่อจะทำให้อารมณ์ดี หลิวหลีจัดเรียงชิ้นเนื้อเป็นรูปดอกไม้ ถึงขนาดนำผลไม้ศักดิ์สิทธิ์วางเป็นเกสรดอกไม้ นางจัดเอาไว้ห้าจาน ผักศักดิ์สิทธิ์หลากชนิดถูกจัดวางเป็นรูปร่างต่างกันออกไป หลิวหลีใช้โลหิตของหมาป่าสลาตันมาทำเต้าหู้เลือด และเอาเนื้อหมาป่าสลาตันมาทำเป็นเกี๊ยวอีกหลายร้อยชิ้น

น้ำซุปถูกหลิวหลีแบ่งออกเป็นสองส่วน คล้ายคลึงกับหม้อไฟยวนยาง ฝั่งหนึ่งเป็นน้ำซุปสีแดง ส่วนอีกฝั่งเป็นน้ำซุปใส เสวียนหั่วและเสวียนหลิงที่ไม่ได้ทานอาหารตั้งแต่เช้าก็รู้สึกหิวขึ้นมา พวกเขาไม่สนใจลำดับขั้นอายุ เสวียนหลิงหยิบตะเกียบขึ้นมาก่อน จากนั้นหลายคนก็เริ่มแย่งชิงอาหารกัน เอ๋าเลี่ยกับเฟิ่งอิงเสวี่ยก็ร่วมด้วย แท้จริงแล้วเฟิ่งอิงเสวี่ยตั้งใจจะชิมเท่านั้น แต่ใครจะไปรู้ว่าชิมแล้วจะหยุดไม่ได้ แถมในอาหารก็มีพลังเซียนหลายส่วน หากเป็นแม่ครัวอาหารศักดิ์สิทธิ์คงประสบความสำเร็จอย่างมาก

สุดท้ายหลิวหลีบอกว่านางต้องเข้าฌานห้าปีเพื่อให้พลังมั่นคงยิ่งขึ้น หนานกงเวิ่นเทียนเองก็บอกว่าเขาต้องเข้าฌานนานกว่านั้น เพราะยังไม่ได้ดูดซับพลังเซียนเหมันต์อีกกว่าครึ่ง คาดว่าต้องบรรลุช่วงอมตะถึงจะสามารถออกจากฌานได้

สุดท้ายหลิวหลีก็หยิบพืชศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีกไม่น้อยและเข้าฌานอย่างสบายใจ เสวียนหั่วมองดูกองพืชศักดิ์สิทธิ์และหยดน้ำพฤกษาศักดิ์สิทธิ์อันล้ำค่าหนึ่งขวดใหญ่เต็มๆ

“ศิษย์น้อง ศิษย์เจ้าคนนี้วาสนาล้ำลึกยิ่งนัก โชคดีเหลือเกิน ของล้ำค่าระดับนี้คนอย่างเราๆมีกันไม่เท่าไหร่ แต่เจ้ากับข้ามีกันคนละขวด แถมในขวดน่าจะมีอย่างน้อยหลายสิบหยด พืชศักดิ์สิทธิ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ศิษย์น้องเอ๋ย เจ้าจะมีพืชศักดิ์สิทธิ์มากมายขนาดนี้ได้ที่ไหนกัน” เสวียนหลิงกล่าวอย่างเก้อเขิน

“ใช่น่ะสิศิษย์พี่ ข้ากำลังคิดว่า หรือท่านกับข้าจะตัดใจ เอาหยดน้ำพฤกษาศักดิ์สิทธิ์หยดสองหยดใส่ขวดหยก มอบให้ท่านเจ้าหอแต่ละท่าน ศิษย์น้องเจ้าสำนักข้าก็มอบให้สามหยด ส่วนจื่อซูกับจื่ออีให้ไปเพียงหยดเดียวก็พอ แม้จะทำเช่นนี้ พวกเราก็ยังเหลืออยู่อีกไม่น้อย” เสวียนหั่วเอ่ย ลูกศิษย์ช่างใจกว้างเสียจริง

เทียนเย่าได้รับสารจากอาจารย์ลุงของตนพร้อมกับขวดหยกสองขวด เมื่อได้อ่านเนื้อหาก็เงียบไป ศิษย์น้องผู้นี้วาสนาดีเทียมฟ้าจริงๆ

“จื่ออี อาจารย์อาของเจ้าผู้นี้โชคดีอย่างยิ่ง น้อยคนนักที่จะมีจิตใจไร้เดียงสาราวทารกเช่นนี้ เจ้าสนิทสนมกับนาง ต้องรักษามิตรภาพนี้ไว้ให้ดีล่ะ” เทียนเย่ากล่าวอย่างจริงจัง

“ขอรับอาจารย์” ช่างเป็นเด็กที่จิตใจดีงามจริงๆ

เทียนเซียนจื่อได้รับของขวัญชิ้นนี้ก็รู้สึกหดหู่ เหตุใดถึงไม่เป็นนางที่ผู้เป็นเจ้าหอเซียน เมื่อมีของสิ่งนี้แล้ว พลังบำเพ็ญเพียรของนางก็จะพัฒนาขึ้นไปได้

“จื่อซู อาจารย์อาเจ้าช่างใจกว้างเหลือเกินนะ” เจ้าสำนักถือขวดหยกเล็กขึ้นมาแล้วเอ่ยกับศิษย์ของนาง

“ใช่ขอรับ” จื่อซูทอดถอนใจ นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีของเขาด้วย บุญคุณเล็กน้อยอาจารย์อาท่านนี้ก็ตอบแทนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เฮ้อ ช่างเป็นคนมีเมตตาอารีนัก เขาก็มองการจัดการในครานั้นอย่างชัดเจน แม้จะดูเหมือนเป็นการลงโทษ แต่แท้จริงกลับเป็นการช่วยเหลือ

“จื่อซู เจ้าต้องรีบโตแล้วล่ะ เพราะหยดน้ำพฤกษาศักดิ์สิทธิ์นี้ ข้าอาจจะต้องลงจากตำแหน่งก่อนกำหนดเสียแล้ว” เสวียนอวี่พูดอย่างปลงๆ เดิมทีคิดว่าจะให้ครบสามร้อยปีแล้วบรรลุช่วงรวมกายา ตอนนี้ใช้เวลาแค่ร้อยปีเท่านั้น แถมไร้ซึ่งผลข้างเคียงใดๆด้วย

เทียนหลิงจื่อรับขวดหยกมาแล้วปิดปากเงียบ เขามิได้ชมชอบกับวิธีของศิษย์นัก เพื่อญาติผู้น้องสติไม่ดีที่ถูกบรรดาเครือญาติถีบหัวส่งกันมาหลายรุ่น ถึงกับตัดความสัมพันธ์กับสหาย ทำไมตอนแรกถึงไม่รู้นะว่าสมองศิษย์ผู้นี้มีปัญหา

เทียนเลี่ยนจื่อย่อมรู้เรื่องวิวาทคราวนี้ เขาหมุนขวดหยกในมือ มีเจ้าสิ่งนี้ ตนเองก็มีหวังจะบรรลุช่วงรวมกายมากขึ้นอีกสามส่วน ส่วนผู้สืบทอดที่ตนเลือกมาด้วยดวงตาที่ไร้แววนี้ ช่างเถอะ เขามันตาไม่ดี ตำแหน่งเจ้าสำนักนี้ก็รอให้เขาบรรลุช่วงรวมกายาแล้วค่อยว่ากัน รู้เช่นนี้ตอนนั้นให้ศิษย์น้องเป็นคนเลือกน่าจะดีกว่า?

หลิวหลีไม่รีบร้อนบำเพ็ญเพียร ที่นางกินหม้อไฟเพราะต้องการสงบอารมณ์ลงชั่วคราว นางจะต้องเข้าฌานเพื่อครุ่นคิดให้ดีๆ อย่างไรเสียไร้ซึ่งเพลิงอัคคี นางก็ไม่สามารถบรรลุช่วงพลังต่อไปได้อยู่ดี

 “หลิวหลี เจ้ากำลังสับสน?” ในฐานะที่เขาเป็นคู่พันธสัญญากับหลิวหลีย่อมรู้สึกได้

“ใช่ ข้าไม่คิดเลยว่าโลกเซียนก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับโลกมนุษย์มีขั้วอำนาจ ทั้งผู้สืบทอดนี่นั่น ข้าคิดมาตลอดว่าโลกเซียนคือการบำเพ็ญเพียร นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องอิจฉาริษยากันด้วย” หลิวหลีว่าพลางถอนหายใจ เฮ้อ มีคุณสมบัติที่ดีขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่ตั้งใจฝึกบำเพ็ญเพียรกันนะ การแสวงหาหนทางแห่งเต๋าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดมิใช่หรือ

“เฮ้อ ที่เจ้าว่ามาข้าล้วนเข้าใจทั้งหมด แค่น้อยคนนักที่จะปฏิบัติเช่นนั้นได้” เอ๋าเลี่ยรู้สึกสะเทือนเข้าไปในจิตใจ

 “เฮ้อ เอาเป็นว่าข้าเข้าใจแล้ว อำนาจเป็นสิ่งสำคัญ ใครใช้ให้ข้าไร้ญาติที่แข็งแกร่งกันล่ะ อาเลี่ย ข้าตั้งใจว่าจะฝึก ‘เคล็ดวิชามังกรนพเก้า’ บทที่ 2 จนถึงขั้นสุดยอด จากนั้นจะออกตามหาเพลิงอัคคี ไม่อย่างนั้นข้าต้องอยู่ช่วงพื้นฐานไปชั่วชีวิตแน่” หลิวหลีพูดความคิดของนางออกมา

“เฮ้อ หลิวหลี เจ้าตัดสินใจได้ก็ดีแล้ว ในเมื่อชะตาลิขิตให้เจ้าฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ เจ้าต้องได้พบเพลิงอัคคีแน่” แต่สิ่งที่เอ๋าเลี่ยไม่ได้บอกคือ นังหนู เครือญาติของเจ้านั้นมีเยอะกว่าเจ้าเด็กแซ่หวงนั่นมากโข เพียงแต่เจ้าไม่รู้เท่านั้นเอง

“อืม เช่นนั้นข้าขอตัวไปฝึกฝนบทที่ 2 ขั้นที่ 1 ก่อน” หลิวหลีผงกศีรษะและหยิบของที่ต้องใช้ออกมา สูดลมหายใจเข้าลึกๆและเริ่มฝึกฝนร่างกายอย่างทุกข์ทรมานอีกครั้ง

……………………………………………………..