บทที่ 37 บะหมี่แห้งเนื้อสับใส่ซีอิ๊วสามชาม

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

จริงเสียด้วย ผ่านไปไม่กี่วัน ตำหนักลั่วเซียนก็ออกมาประกาศเรื่องนี้เอง ทว่ากำหนดเวลาไว้ที่อีกสองปีให้หลัง รีบประกาศเรื่องนี้เร็วขนาดนี้ คิดจะให้บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนเตรียมตัวล่วงหน้า เตรียมการให้พร้อมสรรพ เรื่องนี้เผยแพร่ผ่านยันต์ถ่ายทอดเสียงนานาชนิดและถ่ายทอดผ่านคำพูดของผู้บำเพ็ญเซียนอย่างรวดเร็ว แพร่สะพัดไปทั่วโลกหนานซาน

เพื่อให้ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระที่อยู่ห่างไกลหรือปิดด่านกักตนมานานเหล่านั้นได้รับรู้ สำนักใหญ่แต่ละสำนักยังได้รับภารกิจให้ออกประกาศที่เมืองแห่งการบำเพ็ญเซียนทั้งหมด หากใกล้ๆ มีถ้ำของผู้บำเพ็ญเซียนอิสระก็ต้องส่งประกาศไปในท้องที่ของพวกเขา หากมีผู้บำเพ็ญเซียนอิสระที่ปิดด่านกักตนไม่ได้รับการแจ้งข่าว หลังจากถูกพบจะยกเลิกจำนวนคนในสำนักของพวกเขาหนึ่งคน

เช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณจำนวนนับไม่ถ้วนจึงนำเงินสะสมชั่วชีวิตออกมา เริ่มซื้อยายกระดับพลังการบำเพ็ญเพียร ราคาของยันต์และอาวุธเวทพุ่งสูงขึ้น ส่วนสนามต่อสู้ช่วงชิงยาสร้างฐานในเมืองลั่วเซียน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณทั้งหมดพุ่งไปที่นั่นอย่างเนืองแน่น ปริมาณสมาชิกของสำนักเฉวียนเซียนก็เพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด แทบทั้งหมดเต็มไปด้วยผู้คน

คนที่เข้าสู่สำนักเฉวียนเซียนยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกที ไม่ขาดผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลายอย่างสมบูรณ์ ถึงแม้พวกเขาจะมิอาจต่อสู้แย่งชิงยาสร้างฐานในสำนักเฉวียนเซียนได้ชั่วคราว ทว่าหัวหน้าก็รู้สึกกดดัน ไม่ว่างมาสนใจทุกคน ทิ้งทุกคนแล้วไปปิดด่านกักตน

ถึงแม้ในเรือนจะมีคนเข้ามาอยู่อีก ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลายที่ใกล้จะสมบูรณ์ล้วนปิดด่านกักตน ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงกลาง เพื่อยาสร้างฐานห้าร้อยเม็ดในอีกสองปีให้หลัง ก็ยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้น ไม่เห็นเงาร่างใครสักคน ภายในเรือนกลายเป็นเงียบเหงา

อีกหนึ่งปีให้หลังย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จินเฟยเหยาจะบรรลุขั้นฝึกปราณช่วงปลาย ต่อให้คิดจะไปแย่งชิงยาสร้างฐานในสำนักเฉวียนเซียนก็ไม่มีคุณสมบัติ ทว่ายาสร้างฐานห้าร้อยเม็ดที่เหมือนให้เปล่า นางไม่คิดจะพลาด จะเบียดเข้าไปอยู่ในตำแหน่งห้าร้อยอันดับแรกได้อย่างไรนะ

คำนวณศิลาวิญญาณที่มีในมือ หากบวกกับศิลาวิญญาณของหลิ่วฉี่ปออีกหนึ่งพันก้อน ก็แค่เพียงพอให้นางปิดด่านกักตนอย่างยาจก ตอนนี้ราคาสินค้าพุ่งทะยาน ราคายาเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าเมื่อเทียบกับในอดีต ทำให้จินเฟยเหยาไม่มีความคิดจะปิดด่านกักตนทะลวงขั้นฝึกปราณช่วงปลาย ความยากจนบั่นทอนปณิธาน ช่างลำบากจริงๆ

ครุ่นคิดอยู่นาน นางตัดสินใจไปช่วยหลิ่วฉี่ปอสักรอบ แล้วค่อยปิดด่านกักตนทะลวงขั้นฝึกปราณช่วงปลาย อีกสองปีให้หลังไปแย่งชิงตำแหน่งหนึ่งในห้าร้อยตำแหน่งมา เพียงแต่นางปวดศีรษะกับภารกิจบังคับปีละครั้งอยู่บ้าง คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ รอให้แจ้งเตือนมาแล้วค่อยวางแผนดีกว่า ถึงตอนนั้นแต่ละคนล้วนปิดด่านกักตน ไม่รู้ว่าจะไม่มารบกวนพวกเขาชั่วคราวหรือไม่

ถึงวันที่นัดแนะกับหลิ่วฉี่ปอเอาไว้ จินเฟยเหยามาถึงนอกประตูใหญ่ของสำนักเฉวียนเซียนนานแล้ว กลับพบว่าหลิ่วฉี่ปอมาช้ากว่านาง รออยู่ครู่หนึ่ง จึงเห็นหลิ่วฉี่ปอนำบุรุษอายุยี่สิบกว่าปีที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณช่วงปลายคนหนึ่งเดินออกมา สาเหตุอาจจะเป็นเพราะต้องทำธุระ การแต่งกายของนางจึงเรียบง่ายกว่าปกติ ไม่ได้ใช้เวทเปลี่ยนสภาพเปลี่ยนพลังวิญญาณให้กลายเป็นดอกกล้วยไม้ที่เป็นป้ายยี่ห้อ

“สหายเซียนจิน ขออภัยจริงๆ ทำให้เจ้ารอนานแล้ว นี่คือสหายสนิทในเรือนสิบห้าของข้า ติงเทียนเฉิง” หลิ่วฉี่ปอแนะนำบุรุษผู้นี้ให้นางรู้จัก บุรุษผู้นั้นเพียงแค่พยักหน้าอย่างชืดชา แล้วเลื่อนสายตาออกจากร่างของนาง

เห็นท่าทางชืดชาของเขา จินเฟยเหยาอดนึกถึงแขกของหอคณิกาผู้สง่างามที่แซ่ติงเช่นเดียวกันในเรือนของตนเองไม่ได้ การปฏิบัติตัวช่างแตกต่างกันจริงๆ

ทักทายกันก็ถือว่ารู้จักแล้ว หลิ่วฉี่ปอพาพวกเขาสองคนเดินไปยังสถานที่ซึ่งนัดกันไว้

ปกติผู้บำเพ็ญเซียนล้วนชอบรอคนที่ร้านอาหารและร้านน้ำชา ครั้งนี้ดูเหมือนจะพิเศษหน่อย หลิ่วฉี่ปอไม่ได้เดินเข้าไปในร้านน้ำชาและร้านอาหาร สุดท้ายนำพวกเขาสองคนมาถึงหน้าแผงบะหมี่แห่งหนึ่ง

กางเพิงกันลมกันฝนข้างทาง ด้านล่างจัดวางโต๊ะเก่าๆ ไว้สามโต๊ะ ด้านข้างวางเตา อ่าง กระทะ และสิ่งของอื่นๆ เป็นห้องครัว สามีภรรยาชราผมหงอกขาวคู่หนึ่งกำลังจัดการเตา ตอนนี้โต๊ะสามโต๊ะว่างเปล่า ไม่มีเงินเข้าร้านสักก้อน แผงบะหมี่แห่งนี้ทั้งเก่าโทรมทั้งเย็นเยียบจริงๆ

“พวกเรานัดเจอกันที่นี่ ดูเหมือนพวกเขายังไม่มา พวกเรากินบะหมี่รอก่อนเถอะ” หลิ่วฉี่ปอมองแผงบะหมี่ที่การค้าซบเซา แล้วเอ่ยกับพวกเขา

มาถึงที่นี่แล้ว สามีภรรยาชราคู่นี้ท่าทางน่าสงสาร กินบะหมี่ไม่กี่ชามก็ไม่ตายหรอก จินเฟยเหยานั่งลงหน้าโต๊ะ ตะโกนบอกสามีภรรยาที่ขายบะหมี่ “ท่านผู้เฒ่า เอาบะหมี่มาให้ข้าสามชาม ใส่เส้นมากหน่อย เนื้อก็ต้องเพิ่มอีกนิด”

จากนั้นนางก็ถามหลิ่วฉี่ปอและติงเทียนเฉิง “พวกเจ้าสองคนจะกินอะไรหน่อยไหม?”

ติงเทียนเฉิงส่ายศีรษะเอ่ยว่า “พอแล้ว”

“ข้าก็ด้วย” หลังจากหลิ่วฉี่ปอนั่งลงก็ยิ้มแล้วเอ่ยตอบ

“หา?” จินเฟยเหยาไม่เข้าใจ เจ้าเป็นคนบอกชัดๆ ว่าให้ทุกคนกินบะหมี่รอ เหตุใดจึงมีเพียงข้าคนเดียวที่สั่งบะหมี่ พวกเจ้าไม่อยากกินหรือ แต่พอนึกถึงว่าคนอื่นอาจจะกินแล้วจึงออกมา หรือไม่หิวจึงไม่อยากกิน นางไม่ใช่คนประเภทชอบฝืนใจคนอื่น จึงไม่ได้ถามซักไซ้

“ท่านเซียนทั้งสาม นี่เป็นบะหมี่แห้งเนื้อสับใส่ซีอิ๊วสามชาม ได้ยินคำพูดของเซียนน้อยท่านนี้ ข้าจึงใส่เนื้อเพิ่มอีกหลายชิ้น” ครู่หนึ่ง หญิงชราก็ยกบะหมี่มาสามชาม

น้ำซุปเข้มข้นหอมเตะจมูก เส้นบะหมี่เหนียวนุ่ม เนื้อหมักซีอิ๊วหกชิ้นเรียงกันอย่างเป็นระเบียบอยู่บนบะหมี่ ทั้งยังใส่ต้นหอมซอยสีเขียว พอเห็นก็ทำให้คนมีความอยากอาหารมากขึ้น

จินเฟยเหยาไม่เกรงใจ หยิบตะเกียบในกระบอกไม้ไผ่บนโต๊ะขึ้น กวาดบะหมี่ทั้งสามชามมาไว้ตรงหน้า นางคนเส้นบะหมี่ในแต่ละชาม จากนั้นจึงอ้าปากกินคำโตๆ ภายในชั่วพริบตา นางก็กินบะหมี่ชามหนึ่งหมดเกลี้ยง

ตอนกินชามที่สองต่อ นางเงยหน้าขึ้นเห็นหลิ่วฉี่ปอและติงเทียนเฉิงหยิบตะเกียบ มองดูนางอย่างตกตะลึง นางจึงกลืนเส้นบะหมี่ในปากแล้วพูดว่า “พวกเจ้าสองคนนี่จริงๆ เลย ข้าถามพวกเจ้าว่าจะกินอะไร พวกเจ้าสองคนบอกว่าพอแล้ว ไม่ต้องการ ตอนนี้มองข้ากินอย่างเอร็ดอร่อย ก็ตะกละอยากกินใช่หรือไม่? ถ้าอยากกินก็ต้องบะหมี่ มื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง บะหมี่หลายชามราคาไม่เท่าไหร่ อย่าหยิบแต่ตะเกียบ ไม่มีบะหมี่แล้วหยิบตะเกียบทำไม คงไม่ได้อยากกินชามที่ข้ากินแล้วหรอกนะ”

หลังจากเอ่ยจบ นางก็เงยหน้าขึ้นตะโกนบอกผู้เฒ่าขายบะหมี่ “ท่านผู้เฒ่าบะหมี่ของท่านทำได้ไม่เลว เอามาอีกสองชาม สหายสองคนนี้ของข้า เมื่อครู่บอกว่าไม่หิว ตอนนี้เห็นข้ากินอย่างเอร็ดอร่อยก็อยากกิน”

นางช่วยหลิ่วฉี่ปอและติงเทียนเฉิงสั่งบะหมี่แล้วจึงอ้าปากกินบะหมี่สองชามที่เหลืออยู่เบื้องหน้าตนเองคำโตๆ อีก ทว่ากลับไม่ได้สังเกตเห็นหลิ่วฉี่ปอและติงเทียนเฉิงหยิบตะเกียบขึ้น มือสั่นนิดๆ สีหน้าท่าทางกระอักกระอ่วน

หลิ่วฉี่ปอคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจินเฟยเหยาเอ่ยปากสั่งบะหมี่สามชาม ทั้งหมดนั่นจะสั่งให้นางคนเดียว ตนเองและติงเทียนเฉิงยังนึกว่าคนละชามเสียอีก ดังนั้นต่อมาตอนถูกถามจึงบอกว่าพอแล้ว นี่ยังดี พอยกบะหมี่มา ตอนพวกเขาสองคนหยิบตะเกียบขึ้น จินเฟยเหยาก็รับบะหมี่สามชามมาคนเบื้องหน้าตนเองทั้งหมด

เห็นนางตัวเล็ก ปริมาณที่กินน่าตื่นตระหนกเกินไปแล้ว ไม่รอให้นางและติงเทียนเฉิงได้สติคืนมา จินเฟยเหยาก็กินเกลี้ยงไปอีกชาม สุดท้ายกลายเป็นเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าตนเองจะกลายเป็นคนตะกละ บนโต๊ะไม่มีบะหมี่ ทว่ามือกลับหยิบตะเกียบ น่าอับอายแทบตายแล้ว

นางมองติงเทียนเฉิงเงียบๆ แวบหนึ่ง เจ้าหมอนี่ก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน จะยกตะเกียบในมือขึ้นก็ใช่ที่ จะวางลงก็ใช่ที่

โชคดีที่สามีภรรยาชราต้มบะหมี่รวดเร็ว ไม่นานก็ยกบะหมี่ขึ้นโต๊ะ จึงผ่อนคลายความกระอักกระอ่วนของคนทั้งสอง

เพราะเรื่องเมื่อครู่ หลิ่วฉี่ปอจึงขัดเขินเล็กน้อย ค่อยๆ กินบะหมี่คำเล็กๆ ส่วนจินเฟยเหยาที่กินบะหมี่สามชามหมดเกลี้ยงไปนานแล้วอย่างตะกละตะกลาม ลูบท้องแล้วจะโกนอย่างอยากกินอีก “ท่านผู้เฒ่าเอาบะหมี่มาอีกชาม ดูเหมือนอีกนิดเดียวจะอิ่มแล้ว”

“สหายเซียนจินมีความอยากอาหารดีจริงๆ ปกติเจ้ากินเยอะขนาดนี้เลยหรือ?” หลิ่วฉี่ปอเกือบจะสำลัก หลังจากล้วงผ้าไหมสีขาวหิมะออกมาเช็ดปาก ก็ยิ้มน้อยๆ เอ่ยล้อเลียน

จินเฟยเหยาขมวดคิ้วนิดๆ เอ่ยตอบอย่างไม่เข้าใจ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด หลังจากข้ามาถึงเมืองลั่วเซียน ความอยากอาหารก็ยิ่งมากขึ้นทุกที ต้องกินอาหารมากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า ตอนเพิ่งเข้าสำนักเฉวียนเซียน มื้อหนึ่งข้าต้องกินข้าวสองถัง ตอนนี้เพิ่มเป็นสามถังแล้ว ข้าคิดว่าอีกไม่นานสำนักเฉวียนเซียนคงไล่ข้าออกไปเพราะข้ากินมากเกิน บางทีพลังบำเพ็ญเพียรสูงขึ้น ดังนั้นจึงต้องกินข้าวเยอะขึ้น”

“เป็นไปได้อย่างไร พลังการบำเพ็ญเพียรของข้ากับสหายเซียนติงเป็นขั้นฝึกปราณช่วงปลาย พวกเราไม่เห็นมีความอยากอาหารเช่นเจ้าเลย” หลิ่วฉี่ปอเอ่ยยิ้มๆ

จินเฟยเหยาตอบลำบาก ได้แต่หัวเราะหึๆ อย่างโง่งม บะหมี่ที่สั่งเพิ่มก็ยกมาขึ้นโต๊ะพอดี นางจึงรีบก้มหน้ากินบะหมี่ ไม่เอ่ยพัวพันถึงปัญหานี้กับหลิ่วฉี่ปออีก

ที่จริงในใจนางรู้ดี ตั้งแต่ฝึก ‘เคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญ’ เป็นต้นมา ปริมาณอาหารที่นางกินก็มากกว่าสตรีคนอื่น ยิ่งกินมากขึ้น ร่างกายมักจะมีความรู้สึกหิวโหย ต้องกินปริมาณมากจึงจะอิ่ม

อีกทั้งทุกครั้งที่แช่น้ำแกงยาวิญญาณ ก็หิวจนหน้าอกแฟบไปติดแผ่นหลัง นางมิใช่ไม่เคยตรวจสอบร่างกาย จากภายในสู่ภายนอก จากพลังวิญญาณในจุดตันเถียนถึงการรับรู้ล้วนตรวจสอบแล้ว ทั้งหมดไม่มีปัญหาใดๆ ต่อมาจึงพบโดยบังเอิญว่า หลังจากร่างกายถูกน้ำแกงยาวิญญาณปรับสภาพ พละกำลังและสภาพร่างกายยิ่งดีขึ้น ปริมาณอาหารก็เพิ่มขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

พละกำลังยิ่งมาก ก็ยิ่งกินเยอะ ตอนนี้ได้แต่รอดูว่าหลังจากขั้นสร้างฐานแล้วตอนไม่ต้องแช่น้ำแกงยาวิญญาณอีก ปริมาณอาหารจะกลับคืนสู่ปกติหรือไม่ ไม่เช่นนั้นนางสงสัยอย่างยิ่ง ถ้าตนเองถึงขั้นสร้างฐานแล้ว อาจจะต้องยัดอาหารเข้าปากตลอดเวลา

“มาแล้ว”

หลิ่วฉี่ปอกินบะหมี่เสร็จสิ้นอย่างงดงาม เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินมาหาพวกเขา ผู้ที่นำมาพอดีเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงต้นที่มอบภารกิจ เฉียนเฟิง คนผู้นี้ทั้งผอมและดำ ให้ความรู้สึกกินข้าวไม่อิ่มตลอดเวลาแก่ผู้คน ทว่าเบื้องหลังของเขามีผู้บำเพ็ญเซียนสามคน นอกจากคนหนึ่งที่เป็นขั้นสร้างฐานช่วงปลาย ที่เหลืออีกสองคน คิดไม่ถึงว่าจะมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานช่วงต้น

เห็นอีกฝ่ายถึงกับพาผู้อาวุโสขั้นสร้างฐานมา หลิ่วฉี่ปอรู้สึกเหนือคาด มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสามคนร่วมทาง การเดินทางครั้งนี้ก็ยิ่งราบรื่นมากขึ้น

จินเฟยเหยาสูดเส้นบะหมี่เส้นสุดท้ายเข้าปาก ในใจเกิดความไม่สงบอยู่บ้าง ถึงแม้แมงมุมตาผีมีปริมาณมากมาย ทว่าขอเพียงมีปริมาณคนเพียงพอและเหมาะสม ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณก็คงไม่มีอันตรายอะไร ไม่ว่ามีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณมามากเพียงใด นางก็ไม่รู้สึกแปลก ทว่าอีกฝ่ายถึงกับเรียกผู้อาวุโสขั้นสร้างฐานมาสองคน ถือว่ามีผู้ที่เกี่ยวข้องสามคนแล้ว

มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสามคน ก็จัดการภูติศพและแมงมุมตาผีห่วยๆ ได้อย่างง่ายดายมิใช่หรือ เหตุใดต้องเรียกผู้เยาว์รุ่นหลังขั้นสร้างฐานกลุ่มหนึ่งมาร่วมทางเพื่อขัดมือขวางเท้า และยังแบ่งศิลาวิญญาณให้ด้วย ต้องมีอะไรแปลกๆ แน่ นางมองหลิ่วฉี่ปอ เห็นนางลุกขึ้นคารวะนานแล้ว ไม่รู้ว่านึกถึงปัญหานี้หรือไม่ ส่วนติงเทียนเฉิงก็ลุกขึ้นตามหลิ่วฉี่ปออย่างมีระเบียบ ไม่ผิดแผกเลยสักนิด

ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณยังไม่สามารถถ่ายทอดเสียงผ่านมิติ ตอนนี้นางถามหลิ่วฉี่ปอไม่ได้ ได้แต่ลุกขึ้นยืนแบบเส้นผมแข็งทื่อคารวะผู้อาวุโสขั้นสร้างฐานสามท่าน