บทที่ 16

เจ้าชายที่ควรจะอยู่ในพระราชวังทำไมถึงได้มาอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลลอมบาร์เดียได้กันล่ะ!

เจ้าชายลำดับที่หนึ่ง หรืออาสทาน่าเดินเข้ามาหาเธอที่ยืนตัวเกร็งแข็งทื่อด้วยความตื่นตระหนกอยู่กับที่ ส้นรองเท้าส่งเสียงดัง ตึก ตึก ตึก

ตอนที่มองอยู่ห่างๆ ไม่รู้เลยว่าเด็กชายตรงหน้าจะสูงขนาดนี้

“คราวนี้รู้แล้วใช่มั้ยว่าข้าเป็นใคร”

จะบอกว่า ‘ในเมื่อรู้แล้วว่าข้าเป็นเจ้าชาย ก็จงจัดการตามที่ข้าสั่งซะ’ อย่างนั้นหรือไง

สีหน้าภาคภูมิใจของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งนี่มันช่างน่าสะอิดสะเอียนจริง ๆ

เธอเอ่ยพูดไปทางเจ้าชายที่ทำตัวกร่างเช่นนั้น

“ไม่รู้สักหน่อย”

“…หา?”

“บอกว่าไม่รู้ไง”

รู้ว่าเจ้าเป็นใครแล้วทำไม

เธอยักไหล่ไม่สนใจ แสร้งทำเป็นใสซื่อ

“งั้นข้าจะบอกให้ก็ได้ ในอาณาจักรแลมบลูแห่งนี้ ข้าคือเจ้าชาย…”

“อ๊ะ? ปลิวไปไกลแล้ว”

เธอตั้งใจตัดประโยคของเจ้าชายอาสทาน่าพลางชี้ไปยังหมวกที่กลิ้งกลุกกลักหลายครั้งปลิวไปตามสายลมที่พัดผ่านเข้ามา

“ฮึ่ย! รีบไปเก็บมาเร็วเข้า!”

เจ้าชายกระทืบเท้าปึงปัง ตะโกนเสียงดัง

ฟีเรนเทียไม่อาจเข้าใจได้เลยจริงๆ ถ้าอยากจะไล่ตามไปเก็บหมวกใบนั้นขนาดนั้น ก็ไปเก็บมาเองก็ได้ ไม่เห็นต้องคิดอะไรมากเลย

เธอเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะในลำคอ ส่ายหน้าไปมา

“เฮ้อ…”

ช่วยไม่ได้

เธอเดินอย่างเชื่องช้าตัดผืนหญ้าที่หมวกใบนั้นกลิ้งอยู่

“หึ! ก็น่าจะทำแบบนั้นเสียแต่แรก!”

ได้ยินคำพูดที่เจ้าชายพ่นลมหายใจทางจมูกเสียงดังหึ

ดูเหมือนว่าคนสวนจะทำงานกันอย่างแข็งขันเลยทีเดียว ผืนหญ้าที่ถูกเหยียบอยู่ใต้เท้ามันนุ่มดีเหมือนกัน

เดินต่อไปอีกแค่นิดเดียวก็เห็นหมวกของเจ้าชายที่ตกอยู่ตรงหน้า

พอเก็บมันขึ้นมาดู ก็ได้เห็นว่ามันเป็นหมวกหรูคุณภาพดีที่นุ่มมาก น่าจะทำจากขนสัตว์

เธอหันกลับไปมองเจ้าชายที่ตอนนี้อยู่ค่อนข้างห่างจากเธอ

“นั่นแหละ! รีบเก็บมาสิ!”

เธอยิ้มเยาะมองเด็กชายที่ตะโกนเร่ง

และ

“ทำบ้าอะไร!”

เธอโยนหมวกให้กระเด็นไปไกลจากเจ้าชายกว่าที่เคย

หนีเร็ว รีบวิ่งหนีกันเถอะ!

ถึงแม้ขาจะสั้นป้อม แต่เธอก็ออกตัววิ่งด้วยแรงทั้งหมดที่มี

“วะฮ่าฮ่าฮ่า!”

ไล่ตามมาสิ ไล่ตามมา!

“เฮ้! เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้นนะ!”

ถ้าเป็นนายบ้างจะหยุดหรือไง!

เธอหัวเราะไม่หยุด ในขณะเดียวกันก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

“อ๊ากกก! ถ้าจับได้ข้าจะฆ่าเจ้าแน่!”

ได้ยินเสียงโหดเหี้ยมที่เจ้าชายตะโกนปาวๆ เพราะไม่อาจเอาชนะความโกรธของตัวเองได้ดังไล่ตามมาจากข้างหลัง แต่เธอก็ไม่คิดที่จะหันกลับไปมอง

ก็รู้อยู่หรอกว่าเจ้านั่นนิสัยสกปรกเสียไม่มีดี แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นแบบนั้นตั้งแต่เด็ก

ที่เข้ากันได้กับเบเลซักขนาดนั้น ที่จริงแล้วก็มีเหตุผลอยู่นี่เอง

ฟีเรนเทียจะไม่คิดหรอกว่าเจ้าชายที่ไม่ยอมเก็บกระทั่งหมวกของตัวเอง จะวิ่งไล่ตามเธอมา แต่เธอก็รีบเลี้ยวที่หัวมุม เพื่อซ่อนตัวจากมุมมองสายตาของเจ้าชาย

ถึงจะรู้สึกระแวงกับเสียงตะโกนเกรี้ยวกราดครั้งสุดท้ายของเจ้านั่นนิดหน่อย แต่ก็นะ จะไปมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นได้ล่ะ

เธอคิดแบบนั้น ในขณะที่วิ่งไปทางอาคารหลักเพื่อตามหาสองแฝด

เจ้าชายลำดับที่หนึ่งอาสทาน่าตัวสั่นเทาไปทั่วร่างด้วยโทสะ

“กล้า กล้าดียังไง…! ”

ความอัปยศเช่นนี้ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยประสบเป็นครั้งแรก

อาสทาน่าผู้เกิดมาในฐานะโอรสที่ถูกต้องตามกฎหมายจากองค์จักรพรรดิและจักรพรรดินี นับตั้งแต่วินาทีแรกที่หายใจ แค่ส่งสายตาเขาก็สามารถครอบครองทุกสิ่ง ไม่จำเป็นต้องเอ่ยพูดสิ่งที่ต้องการเลยสักคำ

เขาเติบโตมาโดยถูกพี่เลี้ยงและเหล่าองครักษ์คอยปกป้องคุ้มครองอยู่รอบกายเสมอ

สิ่งที่อาสทาน่าคนนี้ต้องทำแม้จะไม่อยากทำมีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ก็คือการต้องมาพบหน้าเจ้าโง่เบเลซัก

องค์จักรพรรดิดีผู้รับฟังทุกสิ่งที่อาสทาน่าต้องการอยู่เสมอ หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับตระกูลลอมบาร์เดียก็จะเข้มงวดมากเป็นพิเศษ

เบเลซักที่มักจะพยายามทำตัวให้ดูดีต่อหน้าเขาเสมอช่างเป็นคนน่ารำคาญสุดๆ อารมณ์ของอาสทาน่าที่ต้องแวะมายังคฤหาสน์ลอมบาร์เดียในวันนี้จึงไม่ดีเป็นอย่างยิ่งทั้งยังเหมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟ เขาเดินอยู่คนเดียวจนหลงทาง

ตามกฎที่ตกลงกันระหว่างราชวงศ์กับตระกูลลอมบาร์เดียที่มีมาเนิ่นนาน อัศวินของราชวงศ์ไม่สามารถเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้ได้

เพราะคำพูดนั่น ทำให้คณะผู้ติดตามของเจ้าชายทะเลาะกับเหล่าทหารยามตระกูลลอมบาร์เดีย ส่วนตัวเจ้าชายที่ไม่อยากรอจึงได้ฉวยจังหวะนั้นเข้ามาในคฤหาสน์ตามลำพัง

สุดท้ายเรื่องทั้งหมดก็เกิดขึ้นเพราะตัวเองแท้ๆ แต่อาสทาน่ากลับไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย

เขาโมโหที่พวกนั้นซึ่งควรจะติดตามเขาเข้ามากลับทิ้งเขาไว้คนเดียวตอนกลางวันแสกๆ แล้วไอ้คฤหาสน์ตระกูลลอมบาร์เดียนี่อีก ทั้งๆ ที่เป็นแค่ตระกูลขุนนางตระกูลหนึ่งแท้ๆ แต่กลับใหญ่โตเท่ากับพระราชวังเสียได้ ช่างน่ารังเกียจจริงๆ

ในสถานการณ์แบบนั้น การปรากฏตัวของฟีเรนเทียที่กล้ากลั่นแกล้งเขาเหมือนเป็นตัวตลก จึงกลายเป็นไปกระตุ้นอารมณ์ร้ายของอาสทาน่าเข้าจนได้

“เจ้าชาย! อยู่ที่นี่นี่เองเพคะ!”

แม่นมที่เลี้ยงดูอาสทาน่ามาตั้งแต่สมัยยังแบเบาะ วิ่งตามเข้ามาเจอเขา

“ฮู่ว! เป็นห่วงหมดเลยเพคะ! เสด็จมาคนเดียวแบบนั้น…”

“มานี่”

เจ้าชายอาสทาน่ากระดิกนิ้วเรียกแม่นมที่ยังหอบหายใจแฮก

แม่นมหลับตาแน่น ใบหน้าแข็งทื่อ โค้งศีรษะลง

เพียะ

ฝ่ามือของเจ้าชายตบลงบนแก้มของแม่นม

“เจ้าทิ้งข้าไว้คนเดียว?”

“ขะ…ขออภัยเพคะ…”

“พวกอัศวินล่ะ อยู่ที่ไหน”

อาสทาน่ามองแม่นมกับพี่เลี้ยงสองคน ก่อนจะเอ่ยถาม

“นอกคฤหาสน์…”

“สั่งให้เข้ามา”

“เพคะ? ตะ…แต่เจ้าชาย กฎของลอมบาร์เดีย…”

เพียะ

ฝ่ามือหนักหน่วงไม่สมกับเป็นเด็กตัวเล็กๆ ของเจ้าชายสร้างรอยนิ้วทิ้งไว้บนใบหน้าของแม่นมอีกครั้ง

“ทุกสิ่งของอาณาจักรแห่งนี้เป็นขององค์จักรพรรดิ และข้าก็คือโอรสองค์โตผู้สืบทอดหลังจากนั้น ลอมบาร์เดียจะพูดอะไร ข้าจำเป็นต้องเกรงใจพวกมันด้วยหรือไง”

แม่นมไม่อาจพูดอะไรออกไปได้

“ไปพาพวกอัศวินมาที่นี่เดี๋ยวนี้ หากทำไม่ได้ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่”

“…เพคะ เจ้าชาย”

สุดท้ายแม่นมจึงตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

นางหน้าซีดเผือดแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะรีบวิ่งออกไปยังประตูคฤหาสน์ เห็นแบบนั้นแล้วอารมณ์ของอาสทาน่าจึงค่อยคลายลงบ้าง

รอให้พวกอัศวินเข้ามาก่อนเถอะ

อาสทาน่านึกถึงภาพด้านหลังของเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลที่วิ่งหนีไป เขาพึมพำด้วยความเจ้าเล่ห์