ภาคที่ 1 บทที่ 29 เพชรน้ำหนึ่งที่ยังขาดการเจียระไนแห่งเส้นทางแพทย์แผนจีน! (ตอนต้น)

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 29 เพชรน้ำหนึ่งที่ยังขาดการเจียระไนแห่งเส้นทางแพทย์แผนจีน! (ตอนต้น)

ตัวโรงพยาบาลที่ซูเย่กำลังไปนั้นตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่เขาเรียนอยู่ มันไม่ไกลจากเส้นถนนจากฝั่งย่านมหาวิทยาลัยมากนัก และนอกจากนั้น ตัวโรงพยาบาลเองก็ตั้งอยู่ในย่านที่พักอาศัยของผู้คนเช่นกัน

เขาถูกเรียกตัวมาในตอนเช้า จึงเป็นเหตุผลที่บรรยากาศของโรงพยาบาลค่อนข้างร้างผู้คนในเวลานี้

ซูเย่เงยหน้าขึ้นมองแผ่นป้ายของโรงพยาบาล

ศูนย์การแพทย์หมิงเต๋อ

และที่ป้ายโลหะนั้น ก็มีตัวอักษรเล็ก ๆ เขียนเอาไว้ที่ด้านซ้ายบนว่า มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง

นี่คือห้องพยาบาลที่อยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายคณะแพทย์จี้หยาง ในตอนนี้นั้น ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงก่อนที่ศูนย์การแพทย์นี้จะเปิดทำการอย่างเป็นทางการ ซูเย่ตั้งใจมาก่อนเวลาและเดินเข้าไป

นอกจากอาจารย์หลี่เคอหมิงที่กำลังเตรียมการอยู่นั้น ข้าง ๆ เขาก็มีสาวงามที่ดูอายุอ่อนกว่าซูเย่เล็กน้อย กำลังใช้มือเรียวบางป้องปากหาวราวกับเพิ่งตื่นนอนได้ไม่นาน

“สวัสดีครับ อาจารย์หลี่”

ซูเย่เอ่ยทักทายอย่างสุภาพก่อนจะยื่นบทคัดลอกตำราชีพจร 5 สีที่เขาเขียนขึ้นจากข้อมูลในราชวังแห่งความทรงจำให้กับอาจารย์หลี่เคอหมิง

“นักศึกษาซูเย่ มาเร็วดีนะ “

อาจารย์หลี่เคอหมิงตอบรับคำทักทายขณะที่กำลังสวมเสื้อกาวน์สีขาว ทันทีที่สายตาของเขาเลื่อนลงมาพบกับบทคัดลอกชีพจร 5 สีในมือของซูเย่ ดวงตาก็ลุกวาวขึ้นในทันที ก่อนจะแย้มยิ้มให้ซูเย่แล้วกล่าวขอบคุณ

เด็กสาวที่อยู่ข้าง ๆ มองซูเย่ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

“มานี่สิ ผมจะแนะนำให้คุณรู้จัก”

อาจารย์หลี่เคอหมิงรีบแต่งตัวให้เรียบร้อย ก่อนจะรับตำราชีพจร 5 สีฉบับคัดลอกจากมือซูเย่ และผายมือไปยังเด็กสาวข้าง ๆ ตนอย่างยิ้มแย้ม “นี่คือลูกสาวของผมเอง หลี่ซินเอ้อ เธอเป็นนักศึกษาแพทย์ปี 2 ส่วนทางนั้นก็คือนักศึกษาที่พ่อเคยเล่าให้ฟังเมื่อวันก่อน ซูเย่ จากคณะวิจัยสมุนไพรจีน”

“สวัสดีครับ”

ซูเย่โค้งศีรษะให้เล็กน้อยอย่างมีมารยาทเป็นการทักทาย

“สวัสดี”

หลี่ซินเอ้อหรี่ตาพลางเลิกคิ้วมองไปยังซูเย่ด้วยสายตาระแวดระวังปนสงสัยใคร่รู้

เธอเองก็ได้ยินเรื่องที่ลั่วกังคนเก่งคนนั้นพ่ายแพ้มาแล้วเช่นกัน และเธอก็เคยได้ยินพ่อของเธอพูดถึงเกี่ยวกับซูเย่อยู่บ่อย ๆ

แต่สิ่งที่เธอไม่เข้าใจก็คือทำไมพ่อของเธอดูตื่นเต้นกับนักเรียนที่ชื่อซูเย่คนนี้นัก แถมตัวเขาเองก็มาตั้งแต่เช้าเสียด้วย เธอไม่เคยเห็นเขามีความกระตือรือร้นกับใครมากขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต

หวังว่านี่คงไม่ใช่ลูกนอกสมรส หรือลูกลับ ๆ อะไรแบบนั้นหรอกใช่ไหม?

หลี่ซินเอ้อมองเปรียบเทียบรูปร่าง ลักษณะภายนอกระหว่างพ่อของเธอกับซูเย่ ไม่ว่าจะเป็น หู ตา จมูก ปาก

อืม…ก็ไม่เห็นเหมือนกันเลยนี่นา!

อาจารย์หลี่เคอหมิงเดินไปยังเก้าอี้ข้างหลังโต๊ะตรวจแล้วนั่งลง ก่อนจะเก็บตำราชีพจร 5 สีเอาไว้ในลิ้นชัก เขาทำมือเป็นสัญลักษณ์ให้ซูเย่หาเก้าอี้แถวนั้นสักตัวเพื่อนั่งลง ก่อนจะพูด “ถ้าเช่นนั้นแล้ว มาเข้าเรื่องหัวข้อหลัก ๆ สำหรับวันนี้กันเลย”

ซูเย่พยักหน้ารับ

“การวินิจฉัยทั้งสี่ขั้นตอนตามวิถีแพทย์แผนจีน เราจะเริ่มต้นจากการจับชีพจร ก่อนที่เราจะเริ่มกัน เราจะต้องมีความเข้าใจพื้นฐานในเรื่องของชีพจรกันก่อน เธอพอจะจำเนื้อหาในหนังสือ “ภาวะและประเภทของชีพจร” ได้บ้างไหม?”

อาจารย์หลี่เคอหมิงมองซูเย่แล้วถาม ถึงแม้จะรู้ว่าซูเย่สามารถท่องจำหนังสือโบราณได้มากมาย แต่หนังสือพื้นฐานเองก็มีความสำคัญเช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้ว อาจารย์หลี่ก็เลยอยากจะยืนยันให้มั่นใจว่าซูเย่นั้นมีพื้นฐานที่ดีจริง ๆ

“ครับ”

ซูเย่หยิบเก้าอี้ที่อยู่แถวนั้นมาตั้งในตำแหน่งดี ๆ ก่อนจะนั่งลง

“ภาวะของชีพจรมีกี่ประเภท?”

“ภาวะของชีพจรมีทั้งหมดยี่สิบเจ็ดประเภทครับ”

“มีอะไรบ้าง?”

“ชีพจรลอย ชีพจรเต็ม ชีพจรกระจาย ชีพจรกลวง ชีพจรหนังกลอง ชีพจรนิ่ม ชีพจรจม ชีพจรจมลึก ชีพจรแข็ง ชีพจรอ่อน ชีพจรสั้น ชีพจรยาว ชีพจรช้า ชีพจรเนิบช้า ชีพจรฝืด ชีพจรสะดุด ชีพจรขาด ชีพจรเร็ว ชีพจรลื่น ชีพจรเร่ง ชีพจรเต้น ชีพจรระรัว ชีพจรพร่อง ชีพจรเล็ก ชีพจรฝอย ชีพจรแกร่ง และชีพจรแน่น”

ซูเย่ตอบจนครบก่อนจะพูดเพิ่มเติม “แต่อย่างไรก็ตาม ชีพจรอาจเกิดความคลาดเคลื่อนขึ้นในภายหลังได้”

“ไม่เลว”

อาจารย์หลี่เคอหมิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจในคำตอบที่ได้รับ

หลี่ซินเอ้อมองซูเย่อย่างประหลาดใจเล็กน้อย ชักไม่แปลกใจแล้วสิที่เขาสามารถเอาชนะ ลั่วกัง แฟนพันธุ์แท้หนังสือโบราณคนนั้นได้ ดูเหมือนว่าเขาจะมีความรู้ในระดับที่ดีไม่หยอก

“ไหน ๆ เธอก็มีพื้นฐานเบื้องต้นอยู่แล้ว มาเริ่มกันเลยเถอะ”

อาจารย์หลี่เคอหมิงพูดออกมาโดยตรงเพื่อที่จะได้ไม่เสียเวลา ก่อนจะหันไปพูดกับหลี่ซินเอ้อ “ซินเอ้อ อธิบายแล้วก็สาธิตวิธีจับชีพจรให้ซูเย่ดูซิ”

หลี่ซินเอ้อทำหน้าเซ็ง ๆ เล็กน้อย

ไม่น่ารีบมาเช้าเลยวันนี้…ต้องมากลายเป็นคุณครูจำเป็นซะได้

เธอหยิบเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ โต๊ะตรวจ ก่อนจะแสดงท่าทีให้ซูเย่ยื่นแขนขวาให้

ซูเย่ยื่นแขนขวาให้หลี่ซินเอ้ออย่างว่าง่าย

นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางของหลี่ซินเอ้อจรดลงบนข้อมือซูเย่อย่างแผ่วเบา

ขณะที่กำลังตรวจจับชีพจรอยู่นั้น เธอก็เอ่ยขึ้น

“เริ่มแรกเราจะวางนิ้วเอาไว้ที่จุดชุ่น จุดกวน และจุดฉื่อ พวกเราวินิจฉัยและตัดสินใจโดยอิงจากสภาพสัญญาณจากส่วนต่างๆ ของร่างกาย”

“อย่างเช่น ชีพจรของนาย…ชีพจร…ฮะ?”

หลี่ซินเอ้อหยุดชะงัก พร้อมกับอุทานเบา ๆ สีหน้าและแววตาฉายแววความข้องใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับคิดว่าตนอาจจะมองอะไรบางอย่างผิดไป และเริ่มตรวจชีพจรอีกครั้ง

ไม่กี่วินาทีต่อมา…

“ไม่…ไม่สิ… ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?”

หลี่ซินเอ้อมองซูเย่ด้วยสายตาช็อกแบบสุดกู่

“มันเป็นยังไงรึ?”

อาจารย์หลี่เคอหมิงถามอย่างสงสัย

“เส้นเลือดหยางหกวิถี!”

หลี่ซินเอ้อมองซูเย่อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “ทำไมนายถึงมีเส้นเลือดหยางหกวิถีได้ล่ะ?”

“ไหนขอพ่อดูซิ”

อาจารย์หลี่เคอหมิงรีบมาดูซูเย่ในทันที เขาจับมือของซูเย่ขึ้นมาและใช้สามนิ้ววางลงบนข้อมือ

ทันทีที่สัมผัสได้ เขาเองก็ตื่นตกใจไม่แพ้ลูกสาวเช่นกัน

เส้นเลือดหยางหกวิถีจริง ๆ ด้วย!

ภาวะชีพจรที่ใหญ่แต่ไม่เป็นโรคหรือก่อให้เกิดอันตรายนี้พบเจอได้ยากมาก

ชีพจรที่แปลกประหลาดนี้จะเกิดขึ้นเมื่อทารกในครรภ์นั้นกำลังจะคลอด นับเป็นเรื่องที่นานทีปีหนจะเกิดขึ้นสักครั้ง

ทำไมมันถึงเกิดขึ้นกับเด็กคนนี้ได้?

อาจารย์หลี่เคอหมิงมองซูเย่อย่างแปลกใจ

ซูเย่แย้มยิ้มบาง ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร เขารู้เรื่องเกี่ยวกับร่างกายของเขาดี

ไม่งั้นแล้วเขาจะมีชีวิตมาถึงสองพันห้าร้อยปีได้ยังไง ถ้าเขาไม่ได้มีภาวะชีพจรเช่นนี้!

“อ่ะแฮ่ม…เชิญต่อได้เลย”

อาจารย์หลี่เคอหมิงจ้องมองซูเย่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกระแอมเบา ๆ แล้วพูดกับหลี่ซินเอ้อ

หลี่ซินเอ้อกักเก็บความตกใจเอาไว้ในใจ ก่อนจะเริ่มสอนการวิธีวินิจฉัยให้กับซูเย่ต่อ…

“วิธีวินิจฉัยหลัก ๆ คือ “การวินิจฉัยด้วยจุดชุ่นโข่ว” ก็คือการสัมผัสที่บริเวณส่วนเส้นเลือดของผู้ป่วย…”

ซูเย่ตั้งใจฟังและจ้องมองอย่างรอบคอบ กายทิพย์ของเขาภายในราชวังแห่งความทรงจำเริ่มบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รับมาอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปไม่นาน

“เอาล่ะ พอจะเข้าใจบ้างไหม? หรือมีจุดไหนบ้างที่ไม่เข้าใจก็ถามได้นะ”

อาจารย์หลี่เคอหมิงเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจทั้งหมดแล้ว”

ซูเย่ตอบอย่างสัตย์จริง

หลี่ซินเอ้อถึงกับขมวดคิ้ว เธอมองซูเย่ด้วยสายตาที่ไม่พึงพอใจเล็กน้อย

มั่นใจในตัวเองเกินไปหน่อยรึเปล่าเนี่ย ทำอย่างกับเรียนปุ๊บทำได้ปั๊บ ขนาดฉันเองยังต้องฝึกมาตั้งนานเชียวนะ!

อาจารย์หลี่เคอหมิงชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะได้ยินคำตอบที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้จากปากซูเย่ จึงค่อนข้างสนใจกับปฏิกิริยาเช่นนี้มากทีเดียว

ในเมื่อบอกว่าเข้าใจหมดแล้ว ก็มาลองดูหน่อยก็คงไม่เสียหายอะไร

“ไหนๆ ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครมา เธอลองมาจับชีพจรของพวกเราก่อนก็แล้วกัน”

“ทำแล้วก็บอกด้วยล่ะว่าคิดว่าเป็นยังไงบ้าง”

หลี่ซินเอ้อมองพ่อของเธอเขม็งอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน…พ่อเชื่อใจตานั่นจริง ๆ เหรอเนี่ย

การตรวจจับชีพจรนั้นไม่สามารถเรียนรู้ได้ในชั่วข้ามคืน จำเป็นต้องฝึกฝนอย่างยาวนานและซ้ำไปซ้ำมา เพื่อให้สามารถแยกแยะความแตกต่างและระยะของชีพจรได้อย่างแม่นยำ นี่เป็นการทดลองจับชีพจรครั้งแรกของซูเย่ แต่อาจารย์หลี่กลับร้องขอให้ชายหนุ่มลองตรวจอย่างจริงจังเสียอย่างนั้น แล้วนายเด็กโข่งคนนี้จะตอบรับอย่างไร?

บอกเล่าความรู้: การตรวจชีพจรอยู่บริเวณข้อมือด้านในทั้ง 2 ข้างนิ้วกลางที่จุดกวน ซึ่งอยู่บริเวณที่มีกระดูกข้อมือนูนขึ้นมา วางนิ้วชี้ถัดจากนิ้วกลางไปทางปลายนิ้วมือของผู้ป่วยที่จุดชุน ส่วนจุดฉื่อ ให้วางนิ้วนางถัดจากนิ้วกลางค่อนไปทางต้นแขนโดยให้วางทั้ง 3 นิ้วเรียงติดกัน คือ ตำแหน่ง ชุ่น กวน ฉื่อ ตำแหน่งของชีพจรจะมี 3 ตำแหน่งในแต่ละข้าง สามารถตรวจสอบบ่งชี้ประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายได้