เล่มที่ 2 บทที่ 36 พี่รองเข้าใจท่านผิด เขารู้สึกอึดอัดใจ

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

ชามและตะเกียบกระทบกันก่อให้เกิดเสียงระคายหู เซี่ยยวี่หลัวหรี่ตามองไปทางต้นเสียง เห็นเซียวจื่อเซวียนก้มหน้าเก็บชามกับตะเกียบด้วยท่าทางเงอะงะ แล้วเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับ

เซียวจื่อเมิ่งไปกินข้าวพลางส่งเสียงหัวเราะคิกคัก หลังจากคีบผักเสร็จแล้วก็นั่งข้างเตียงอยู่เป็นเพื่อนเซี่ยยวี่หลัว

เซียวจื่อเมิ่งกินข้าวไปพลางคุยกับนางไปพลาง “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าคืนผ้าเช็ดหน้าไปแล้ว”

 “ดีมาก!” เซี่ยยวี่หลัวบุ้ยปากไปทางห้องครัว “พี่รองของเจ้าเป็นอะไรไป? รู้สึกว่าวันนี้เขาไม่ค่อยมีความสุขเลย!”

เซี่ยยวี่หลัวไม่กล้าถามต่อหน้าเซียวจื่อเซวียน ได้แต่อาศัยจังหวะที่เซียวจื่อเซวียนไปห้องครัวลอบถามจากเซียวจื่อเมิ่ง

เซียวจื่อเมิ่งเม้มปากทีหนึ่ง มองเซี่ยยวี่หลัวเหมือนอยากกล่าวอะไรแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา

เซี่ยยวี่หลัวถามด้วยความสงสัย “เป็นอะไรไป?”

เซียวจื่อเมิ่งมองเซี่ยยวี่หลัว ก่อนกล่าวด้วยท่าทางหวั่นๆ “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่รองเขา… เขาเข้าใจท่านผิดไปเจ้าค่ะ!”

“เข้าใจข้าผิด? เข้าใจผิดเรื่องอะไร?” เซี่ยยวี่หลัวไม่เข้าใจ

เซียวจื่อเมิ่งกล่าวเสียงเบาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “พี่รองเขา… เขานึกว่าท่านเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ดังนั้น วันนี้ช่วงเช้าท่านอยู่บ้านทรมานถึงเพียงนี้ พวกเรากลับไม่ได้มาดูท่าน ในใจพี่รองจึงรู้สึกไม่ดี…”

เหมือนเมื่อก่อน?

หรือเพราะเห็นว่าเช้าวันนี้ตัวเองไม่ได้ลุกขึ้นมาทำอาหารให้เด็กสองคนกิน เซียวจื่อเซวียนจึงคิดว่าตัวเองกลับไปเป็นเซี่ยยวี่หลัวที่ทั้งเกียจคร้านและร้ายกาจคนเดิมอีก?

นางเข้าใจทันที “เขาคิดว่าข้ากลับไปเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ที่ร้ายกาจคนเดิม ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจข้า ภายหลังได้รู้ว่าข้าลุกไม่ไหวเพราะปวดท้อง เขาจึงรู้สึกผิดมาก?”

เซียวจื่อเมิ่งพยักหน้า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ!”

เซี่ยยวี่หลัวหัวเราะ “ไม่เห็นเป็นอะไร หากเป็นข้าก็คงคิดเช่นนี้เหมือนกัน เจ้าไปบอกพี่รองของเจ้าว่าข้าไม่ได้โทษเขา อุตส่าห์ซื้อน้ำตาลทรายแดงมาต้มให้ข้า ข้ามีแต่จะขอบคุณเขาด้วยซ้ำ!”

เซียวจื่อเซวียนเข้าใจนางผิดไปจึงรู้สึกผิด กลับทำให้เซียวจื่อเซวียนห่วงใยนางขึ้นมา เพราะเรื่องครั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคน ในที่สุดอคติที่ถูกปิดผนึกไว้ก็เกิดรอยร้าว ดูท่าว่าคราวนี้ตัวเองจะพบความโชคดีจากความโชคร้าย!

ภายใต้การดูแลจากสองพี่น้องเซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่ง เซี่ยยวี่หลัวนอนอยู่บนเตียงตลอดช่วงบ่าย

เซียวจื่อเซวียนเก็บผักจี้ช่ายหนึ่งตะกร้าก็กลับบ้าน ต้มน้ำตาลทรายแดงให้เซี่ยยวี่หลัวอีกหนึ่งถ้วย เวลานี้เซี่ยยวี่หลัวลุกขึ้นนั่งได้แล้ว ดื่มน้ำต้มน้ำตาลทรายแดงร้อนๆ หนึ่งถ้วย เมื่อถึงช่วงเย็น เซี่ยยวี่หลัวจะลงเตียงทำอาหารเย็นให้เด็กสองคน กลับโดนเซียวจื่อเซวียนห้ามไว้ “ท่านนอนพักต่อเถิด ข้าจะไปทำอาหารเย็นเอง”

เซี่ยยวี่หลัวถามกลับ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะทำอะไรกิน?”

คงไม่ใช่ว่าจะกินผักจี้ช่ายต้มในน้ำเปล่าอีกกระมัง?

นางถามเซียวจื่อเมิ่ง จึงได้รู้ว่าตอนเช้าเด็กสองคนกินผักจี้ช่ายต้มในน้ำเปล่าที่ไม่ได้ใส่ทั้งน้ำมันและเกลือ

สวรรค์ ตอกไข่ลงไปสักฟองไม่ได้เชียวหรือ?

เซียวจื่อเซวียนนิ่งเงียบไม่ได้กล่าวอะไร เหมือนว่านอกจากต้มผักจี้ช่ายในน้ำเปล่า เขาก็ทำอาหารอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว

เซี่ยยวี่หลัวแย้มยิ้ม “ในห้องครัวยังมีเกี๊ยวหมูใส่ผักจี้ช่ายอีกยี่สิบกว่าตัวไม่ใช่หรือ? เจ้าต้มน้ำให้เดือด หลังจากน้ำเดือดจึงเทเกี๊ยวลงหม้อ รอให้น้ำเดือดอีกครั้ง เจ้าก็ตักน้ำเพิ่มเข้าไปครึ่งกระบวย หลังจากน้ำเดือดก็เพิ่มน้ำอีกครั้ง เพิ่มน้ำสามรอบ ต้มให้เดือดสามครั้ง เมื่อเกี๊ยวลอยขึ้นมาบนผิวน้ำทั้งหมด เกี๊ยวก็สุกแล้ว”

เซียวจื่อเซวียนพยักหน้า เซี่ยยวี่หลัวอธิบายอย่างละเอียด เขาน่าจะเข้าใจแล้ว

 “จื่อเมิ่ง ตามไปช่วยพี่รอง” เซี่ยยวี่หลัวเรียกให้จื่อเมิ่งไปช่วย ใครจะรู้ว่าเซียวจื่อเซวียนกลับส่ายหน้าพร้อมกล่าว “เจ้าอยู่กับพี่สะใภ้ใหญ่ดีกว่า”

เซียวจื่อเมิ่งมองคนนี้ที มองคนนั้นที จากนั้นจึงเห็นเซี่ยยวี่หลัวยิ้ม “ได้ จื่อเมิ่ง มานี่ พี่สะใภ้ใหญ่จะเล่านิทานเรื่องวานรให้เจ้าฟังต่อ”

เซียวจื่อเมิ่งแววตาเป็นประกาย ตบมือพลางกระโดดขึ้นเตียง เซียวจื่อเซวียนเห็นแล้วก็ตกใจจนเหงื่อเย็นซึมชื้น ด้วยเกรงว่านางจะชนถูกเซี่ยยวี่หลัว

แต่เท่าที่ดู เซี่ยยวี่หลัวเองก็เหมือนจะไม่ถือสา

เซียวจื่อเมิ่งกระโดดโลดเต้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ได้ฟังนิทานแล้ว ได้ฟังนิทานแล้ว…”

 “ครั้งก่อนเราเล่าถึงตอนที่วานรตัวนั้นออกจากเขาฮัวกั่ว ไปแสวงหาผู้รู้เพื่อฝึกวิชาอมตะ ล่องเรือเล็กหนึ่งลำ ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่เดือนหรือกี่ปี ในที่สุดก็มาถึงเขาหลิงไถฟางชุ่น…” เซี่ยยวี่หลัวกอดเซียวจื่อเมิ่งไว้ในอ้อมอก เล่านิทานให้นางฟังอย่างออกรส

เวลานี้เซียวจื่อเมิ่งเหมือนเด็กคนหนึ่ง นอนอยู่ในอ้อมอกเซี่ยยวี่หลัว มองเซี่ยยวี่หลัวด้วยแววตาเป็นประกายวิบวับ แววตาเช่นนั้นทำให้เซียวจื่อเซวียนรู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก

เขาอดทนรอฟังนิทานนั่นครู่หนึ่ง จึงเข้าใจว่าเหตุใดเซียวจื่อเมิ่งจึงสนอกสนใจมากถึงเพียงนั้น

นั่นเป็นนิทานที่สนุกกว่าเรื่องที่พี่ใหญ่เล่าให้ฟังมากนัก

แม้แต่นิทานในหนังสือก็ยังไม่สนุกเท่านิทานที่พี่สะใภ้ใหญ่เล่า!

เซียวจื่อเซวียนฟังอยู่ครู่ใหญ่ จึงรีบสาวเท้าเดินไปทางห้องครัวด้วยความเสียดาย ล้างหม้อและจุดฟืน ก่อนวิ่งไปนอกห้องเพื่อฟังเซี่ยยวี่หลัวเล่านิทานต่อ

น่าเสียดายที่อยู่ข้างนอกจึงห่างเกินไป ฟังไม่ค่อยชัด เซียวจื่อเซวียนกระวนกระวายจนกุมขมับ ได้แต่ผลักเปิดประตูเข้าไป ทำทีเป็นจับตรงนี้ที จับตรงนั้นที สุดท้ายก็นั่งลงตรงโต๊ะ ก้มหน้าเล็กน้อย แต่กลับหูผึ่งรอฟังนิทานอยู่

 “สุดท้ายเขากราบพระสุภูติเป็นอาจารย์ พระสุภูติตั้งชื่อให้เขาว่าซุนวู่คง ทั้งยังสอนวิชาแปลงกายเจ็ดสิบสองร่างให้เขา และมอบเมฆตีลังกาที่สามารถไปได้ไกลถึงหนึ่งแสนแปดพันลี้ด้วยการตีลังกาเพียงครั้งเดียว…”

เซียวจื่อเซวียนฟังอย่างเพลิดเพลิน เซี่ยยวี่หลัวหันมองเพียงแวบเดียว ก็เห็นเซียวจื่อเซวียนที่กำลังนั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ

เซี่ยยวี่หลัวจงใจหยุดเล่า

เซียวจื่อเซวียนไม่ได้ยินเสียง จึงเงยหน้ามองเซี่ยยวี่หลัวตามสัญชาตญาณ สายตาทั้งคู่สบประสานกันพอดี เซี่ยยวี่หลัวยิ้มจนคิ้วโก่งโค้ง “น้ำเดือดหรือยัง?”

เซียวจื่อเซวียนเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่ากำลังต้มน้ำอยู่ในครัว!

เขาเด้งตัวขึ้นและวิ่งพุ่งไปทางห้องครัว

สมควรตายนัก ฟังนิทานจนลืมเรื่องอื่นไปหมด

เซียวจื่อเมิ่งเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของพี่รองก็หัวเราะ “คิกคัก” อยู่ด้านหลัง มือกุมท้องขณะกลิ้งอยู่บนเตียง “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่รองก็ชอบฟังท่านเล่านิทานเหมือนกัน”

เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมใช้นิ้วแตะปลายจมูกเซียวจื่อเมิ่งทีหนึ่ง “เช่นนั้นเราจะยังไม่เล่าต่อ รอให้พี่รองเจ้ากลับมา ข้าค่อยเล่าให้พวกเจ้าฟัง ดีหรือไม่?”

เซียวจื่อเมิ่งรีบขานตอบ ยิ้มพร้อมลงจากเตียง “ได้ พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าจะไปบอกพี่รอง หากพี่รองรู้ต้องดีใจมากแน่นอนเจ้าค่ะ”

คนตัวเล็กลงจากเตียงไปอย่างคล่องแคล่ว เมื่อเห็นชามเปล่าที่อยู่ข้างๆ มือเล็กก็หยิบขึ้นมาก่อนเดินไปทางห้องครัว

เซี่ยยวี่หลัวนั่งนานจนเมื่อยเอว จึงเอนตัวลงนอน

นางหันหน้ามองออกไปด้านนอกผ่านหน้าต่างบานเล็ก เป็นครั้งแรกที่จิตใจของนางสงบได้ถึงเพียงนี้