บทที่ 42 ล้มป่วย

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 42

ล้มป่วย

“น้องชาย เจ้าข้ามแม่น้ำแล้วทำลายสะพานอย่างนี้ไม่ได้นะ!”

หลินซีเหยียนที่กำลังลงมาจากกำแพงก็ได้ยินเสียงก่นด่าข้ามกำแพงมา แล้วที่มุมปากของนางก็ได้ยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“ซางกวนจิ่น ถ้าเจ้าอยากที่จะข้ามกำแพงคุณหนูบ้านนี้ล่ะก็ เจ้าต้องทำเวลาหน่อยนะ!” หลังจากที่พูดจบ ไม่ว่าฝั่งตรงข้ามของกำแพงจะได้ยินที่นางพูดหรือไม่นั้น แต่นางก็ได้เดินจากไปแล้ว

ซางกวนจิ่นก็ได้มองดูกำแพงที่สูงเกือบคนครึ่งและคิดว่าคงข้ามไม่ได้แน่แล้วกล่าว “เมื่อกี้เจ้าสารเลวนั่นมันพูดว่าเราด้วย คราวหน้าถ้าข้าเจอเขานะ ข้าจะต้องหักขาของเขาสักข้างแน่”

ส่วนหลินซีเหยียนก็ได้กลับมาที่ห้อง นางกัดฟันแล้วทายาลงไป จากนั้นก็ล้มตัวลงหลับสนิท ในระหว่างนั้นจิ่งชุนก็ได้มาหาเพื่อมาเรียกให้คุณหนูไปทานมื้อค่ำ แต่ทว่านางก็พบว่าคุณหนูกำลังหลับสนิทนางจึงได้ถอนตัวกลับมา

ในยามค่ำคืนที่เงียบสงบนั้น ช่างเป็นเวลาที่เหมาะสมแก่การเด็ดดอกไม้ยิ่งนัก

เสียง”แอ๊ด”ที่ดังขึ้นมา และหน้าต่างบานหนึ่งก็ได้ถูกเปิดออก มีดวงตาคู่หนึ่งได้มองเข้ามาด้านใน หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าปลอดภัยก็ได้เข้ามาด้านในอย่างนิ่มนวล

หลังจากที่เขามาด้านในก็พบมุ้งสีเขียวอ่อน และมีเรือนร่างที่นิ่มนวลรางๆอยู่ข้างในมุ้งนั้น เขาก็ได้กลืนน้ำลายอึกหนึ่งแล้ววางมือลงไปที่เตียง

ในขณะที่เขากำลังเข้าไปใกล้ ก็ถูกสาดใส่โดยผงแป้งสีขาวแล้วจากนั้นก็ร่วงลงไปนอนกับพื้นทันที

ผู้ที่กำลังนอนอยู่ที่เตียงก็ได้ลุกขึ้นมา ด้วยสายตาที่เสียดสีและรังเกียจ

หลินซีเหยียนจึงหาเชือกแล้วจับมัดผู้ที่คิดจะลอบเข้ามาเด็ดดอกไม้เอาไว้ แล้วหยิบเอายาแก้พิษออกมาแล้วแกว่งไปมาที่ใต้จมูกของเขา แล้วก็ฟื้นขึ้นมา

“เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ?” ชายคนนั้นที่ตื่นขึ้นมาก็พบ หลินซีเหยียนที่กำลังยิ้ม จึงได้พูดขึ้นมาด้วยความกลัว

“เจ้าต่างหากที่คิดจะทำอะไร ถึงได้แอบลอบเข้ามาในห้องนอนของหญิงสาวกลางดึกเช่นนี้?” หลินซีเหยียนถามสวนกลับไป

ชายคนนั้นคิดว่าผู้หญิงอยู่ในห้องนอนเพียงคนเดียว คงไม่กล้าที่จะทำอะไรเขาแน่ เขาจึงได้วางแผนที่จะถ่วงเวลา “ข้าเคยได้เกียรติพบกับแม่นางมาก่อน แล้วตั้งแต่นั้นมาข้าก็ตกหลุมรักท่านอย่างคลุ้มคลั่งจนนอนไม่หลับ วันนี้ข้าจึงได้แอบเข้ามาในห้องของแม่นางเพื่อบอกเรื่องนี้กับท่าน”

หลินซีเหยียนนั้นอยากที่จะหัวเราะเมื่อได้ยินสำนวนโวหารจีบสาวเช่นนี้ ดูเหมือนว่าโจรเด็ดดอกไม้คนนี้ดูเหมือนจะเรียนเรื่องการแต่งโวหารมาบ้าง

ชายคนนั้นที่เห็นหลินซีเหยียนไม่ได้พูดอะไรแต่ยิ้มออกมา เขาก็คิดว่าในใจว่าเขาน่าจะกุมหัวใจของนางได้แล้ว จึงได้ยิ่งแต่งโวหารมากยิ่งขึ้นไปอีก “ทำไมเล่าแม่นางถึงไม่ออกไปชมทิวทัศน์ที่สวยงามในวันที่ดีเช่นนี้ ทำไมเล่าแม่นางถึงไม่ออกไปและถือแก้วออกไปชมจันทร์และพูดคุยเรื่องดีๆกัน”

เมื่อเห็นว่าเขาที่ยังพูดไม่เลิก หลินซีเหยียนก็หยิบเอามีดออกมาจากไหนก็ไม่รู้ ใบมีดที่คมกริบนั้นได้แผ่รังสีเย็นชาออกมา “เจ้าตอบคำถามของข้าดีๆจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นคุณหนูคนนี้จะไม่รับรองได้ว่าร่างกายของเจ้าจะไม่มีชิ้นส่วนไหนขาดหายไป….”

“แม่นางเป็นสาวเป็นแส้ จะมาถือมีดควงไปมาราวกับเป็นแท่งไม้ได้อย่างไร ข้าว่าแม่นางรีบวางมีดนั่นลงก่อน แล้วมาคุยกันดีๆจะดีกว่า”

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะคิดว่า ข้าที่เป็นลูกคุณหนูจะไม่กล้าทำอะไรเจ้าสินะ?” หลินซีเหยียนกล่าวพร้อมกับเอามีดไปจ่อที่คอของเขา

แล้วบรรยากาศที่เย็นยะเยือกก็ได้ทำให้ชายคนนั้นถึงกับหนาวสั่น แล้วในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังที่จะออกแรงของนางอยู่นั้น เขาก็ได้รีบพูดขึ้นมา “พูดแล้วๆ ข้ายอมพูดทุกอย่างแล้ว”

“มันเร็วเกินไปหน่อยนะ?” หลินซีเหยียนก็ได้เอามีดเก็บกลับไปแล้วกล่าว “รีบๆพูดออกมา”

“คุณหนูสามได้ให้เงินจ้างข้ามาทำงานนี้ นางให้ข้ามาร่วมหลับนอนและข่มขืนเจ้า” ชายคนนั้นร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีความอดทน แม้แต่น้ำมูกก็ย้อยออกมา

หลินซีเหยียนจึงได้ถอยห่างด้วยความรังเกียจ เดิมทีนางคิดว่าหลินเสวี่ยเหยียนน่าจะได้รับบทเรียนแล้ว และไม่กล้าที่จะมาตอแยกับนางอีก แต่ดูเหมือนว่านางจะกลับเรียนรู้วิธีการนอกรีตเช่นนี้แทน

ในเวลานี้สถานการณ์ค่อนข้างลำบาก ด้วยคนที่อยู่ตรงหน้านางนี้ นางจะเอาเขาออกจากห้องไปได้อย่างไรโดยที่คนอื่นๆไม่รู้? ไม่อย่างนั้นก็……

หลินซีเหยียนที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ก็ได้เผยรอยยิ้มที่น่ากลัวออกมาบนใบหน้าของนาง “ดูเหมือนตัวตนของเจ้าจะเป็นปัญหาใหญ่นัก หรือว่าข้าควรที่จะโรยผงใส่เจ้าให้กลายเป็นศพดี?”

“แม่นางได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย หากว่าท่านยอมปล่อยข้าไป ข้าจะยอมเป็นวัวเป็นม้าให้ท่านใช้งานเลย” ชายไร้ค่าคนนั้นก็ได้พร่ำร้องขอชีวิต

หลินซีเหยียนที่เริ่มรู้สึกรำคาญเสียงของเขา ก็ได้เอามีดไปจ่อเขาทันที แล้วในห้องนั้นก็ได้กลับมาเงียบสงบทันที แล้วจากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา

“ใคร?” หลินซีเหยียนก็ได้เดินเข้าไปใกล้เสียงนั้นแล้วถามเบาๆ

“แม่นางหลิน นายท่านของข้าป่วยหนัก ข้าจึงอยากให้ได้ช่วยไปดูอาการให้นายท่านขอรับ”

เสียงที่คุ้นเคยดังเข้ามาในหู แล้วหลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาเมื่อนึกออก ที่แท้ก็เป็นอันอี้นี่เอง! “อันอี้ เจ้าเข้ามาข้างในที่ ข้ามีงานอยากจะให้เจ้าช่วยหน่อย”

จึงได้เปิดหน้าต่างออกให้อันอี้เข้ามาข้างใน

“แม่นาง นั่นใครเหรอขอรับ?” ทันทีที่อันอี้เข้ามาในห้อง เขาก็พบสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนสุดๆเข้า

“เจ้าช่วยเอาเขาไปไว้ที่ห้องของหลินเสวี่ยเหยียน แล้วระหว่างนั้นเจ้าก็เอายานี้ให้ทั้งสองคนนั้นกินด้วย” หลินซีเหยียนได้ยื่นส่งยาสีแดงเข้มให้อันอี้สองเม็ด

มองดูยาสีแดงเพลิงนี้ เขาก็รู้สึกได้เลยว่ายานี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่

อันอี้จึงได้แบกพาชายที่หมดสติไปโดยใช้วิชาตัวเบา แล้วเหาะข้ามสิ่งกีดขวางไป หลินซีเหยียนก็ได้ส่ายหัวอย่างอิจฉา ถ้าไม่ใช่เพราะวิชาตัวเบานั้นจำต้องฝึกกันตั้งแต่ยังเด็กแล้ว ไม่อย่างนั้นนางคงใช้วิชาตัวเบาลอยข้ามกำแพงไปแล้ว

หลินซีเหยียนจึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้าของนางแล้วปีนข้ามกำแพงออกมานอกจวนมหาเสนาบดี ซึ่งทำให้นางรู้สึกคิดถึงบันไดพับของซางกวนจิ่นขึ้นมา

ประตูของพระราชวังรัตติกาลนั้นปิดสนิท ถึงแม้ว่า หลินซีเหยียนจะมีป้ายหยกอยู่ก็ตาม แต่นางก็ไม่อยากที่จะไปรบกวนใครเพราะการมาของนาง ดังนั้นนางจึงได้คิดที่จะใช้วิธีดั้งเดิม นั่นคือการปีนข้ามกำแพง

แต่กำแพงของพระราชวังนั้นสูงเกินกว่าที่คนธรรมดาจะปีนได้ ทำให้นางไม่รู้จะทำอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง

“แม่นางหลินคิดที่จะข้ามกำแพงอย่างนั้นเหรอขอรับ?” อันอี้ผู้ลึกลับได้โผล่มาด้านหลังของหลินซีเหยียนตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

หลินซีเหยียนก็ผงกหัว แล้วจากนั้นนางก็ได้ถูกอันอี้พาดึงลอยตัวขึ้นไป ซึ่งทำให้นางต้องถอนหายใจอีกครา มีวิชาตัวเบานี่มันดีจังน้า

หลังจากที่เข้ามาในพระราชวังแล้วหลินซีเหยียนก็ได้เดินไปยังตำหนักขององค์ชายเย่อย่างคุ้นเคย และพบแสงสีส้มจากเทียนส่องสว่างอยู่ข้างใน

“แม่นางหลินข้ามีบางอย่างจะบอกท่านขอรับ” อันอี้จู่ๆก็คุกเข่าลงกับพื้น

หลินซีเหยียนจึงได้ประคองเขาลุกขึ้นมา “มีอะไรรึ?”

“จริงๆแล้วเป็นการตัดสินใจโดยพลการของผู้น้อยที่ไปเชิญแม่นางมาขอรับ” อันอี้กล่าวและก้มหัวของเขา

“ไม่ต้องกังวล ข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับให้” หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มและเข้าไปในห้อง

ในห้องนั้นเงียบมาก และมีเสียงครางดังออกมาเป็นช่วงๆ หลินซีเหยียนเดินไปที่เตียงก็พบเจียงหวายเย่ที่ปากซีดและเหงื่อออกเต็มไปหมด

นางจึงได้ยื่นมือของนางออกไปจับชีพจรของเขา “ถึงอาการจะไม่น่าเป็นห่วง แต่อาการของพิษกำเริบขนาดนี้แต่กลับไม่หาหมอมารักษา แต่คิดที่จะระงับอาการด้วยพลังวัตร เดี๋ยวก็ตายจริงๆหรอก”

หลินซีเหยียนก็ได้หยิบเอาเข็มเงินออกมา แล้วปักลงไปที่หัวของเจียงหวายเย่ แล้วจากนั้นก็หยิบเอายารักษาหัวใจที่นางเพิ่งทำขึ้นมาให้เขากินเม็ดหนึ่ง

ด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือทั้งหมดของนาง หลินซีเหยียนก็สามารถทำให้อาการของพิษในร่างของเจียงหวายเย่หยุดกำเริบได้

ซึ่งในเวลานั้นแสงก็ได้เริ่มส่องขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้าแล้ว หลินซีเหยียนที่ง่วงอย่างสุดๆ ก็ได้ผล็อยหลับลงไปที่ขอบเตียง

เมื่อนางตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นางก็นอนอยู่ที่เตียงแล้ว แม้แต่เสื้อชั้นนอกของนางก็ถูกถอดออกด้วย นางจึงได้ลุกขึ้นนั่งอย่างตื่นกลัว

แล้วสาวใช้ที่อยู่นอกห้องที่ได้ยินเสียงขยับเขยื้อนก็ได้เดินเข้ามาด้านในพร้อมกับอุปกรณ์ล้างหน้า “พระชายาในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว ท่านนั้นหมดสติไปนานจนทำให้องค์ชายต้องกระวนกระวายเลยนะเจ้าค่ะ”

“ข้าหลับไปนานงั้นเหรอ?” หลินซีเหยียนก็ได้ถามอย่างสงสัย

“ท่านหลับไปวันนึงเต็มๆเลยเจ้าค่ะ และตอนนี้ก็เป็นเวลาค่ำแล้ว” สาวใช้กล่าวด้วยเสียงเบาๆ หลังจากที่รอหลินซีเหยียนล้างหน้าเสร็จ นางก็ได้ส่งชามยาจีนให้กับนาง “นี่คือยาที่ท่านหมอจ่ายให้กับท่านเจ้าค่ะ เป็นยาใช้รักษาอาการบาดเจ็บภายในเจ้าค่ะ”

หลินซีเหยียนผงกหัวอย่างเข้าใจ แล้วก็ถามขึ้นมาอย่างอายๆ “แล้วเสื้อผ้าของข้าล่ะ?”