เฝ่ยชุ่ยกับปี้หยิงจึงรวมพลังกันยกลังไม้ขนาดสามศอก สูงราวหนึ่งศอกเข้ามา
พอเปิดออกดู ของเหล่านี้ยังไม่ถึงกับทำให้อวิ๋นหว่านเฟยโกรธจนควันออกหู แค่ยกมือ ‘ฟึ่บ’ ปัดของที่อยู่ในลังพลิกคว่ำ แต่คิดๆ ก็ยังไม่หายแค้น จึงดึงม้วนผ้าห่มปักลายออกมา แล้วหยิบกรรไกร คิดจะตัด
ปี้หยิงรีบโผเข้าห้าม ก่อนส่งสายตาให้เฝ่ยชุ่ยรีบนำลังไม้ออกไปเพื่อความปลอดภัย นี่เป็นของขวัญที่ผู้อาวุโสจัดเตรียมไว้ให้ และพรุ่งนี้เช้า ฟ้ายังไม่ทันสาง ก็ต้องนำไปไว้ที่จวนกุยเต๋อโหวก่อน จึงเสียหายไม่ได้
พอเฝ่ยชุ่ยวิ่งออกไป อวิ๋นหว่านเฟยก็เขวี้ยงกรรไกรลงบนพื้น เสียงดัง ‘แคร๊ง’ ก่อนสาปแช่งอย่างดุเดือด
“นี่เป็นสินสอดที่สกุลอวิ๋นเตรียมไว้ให้รึ! ดี ดี! แต่ละคนพากันดูถูกอนุอย่างข้า ต่อไปถ้าข้าได้เลื่อนตำแหน่งล่ะก็ อย่ามานับญาติกับข้าล่ะ! ยายแก่นั่น หญิงบ้านนอกบ้าบอนั่นอีก ยังมีนังตัวดีที่เรือนฝูหยิง…ข้าจะให้พวกมันแต่ละคนไม่ตายดี!”
ปี้หยิงทนไม่ไหว “คล้ายคุณหนูใหญ่เป็นคนเสนอนะเจ้าคะ ผู้อาวุโสถึงได้เตรียมให้เช่นนี้”
ว่าแล้วก็พูดความหมายของขวัญทั้งสามอย่างให้ฟังแบบเดียวกับต้นฉบับเจ้าของความคิดไม่ผิดเพี้ยน
พอฟังจบ อวิ๋นหว่านเฟยก็โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขวี้ยงของมั่วซั่วอีกรอบ ไม่ง่ายเลยกว่าที่ปี้หยิงจะเตือนสติจนสงบ พอเห็นอารมณ์นางชะงักไปพักหนึ่ง ก็ลองพูดเสียงต่ำ
“คุณหนูรอง พรุ่งนี้จวนโหวจะมารับคนแต่เช้า คืนนี้ท่านน่าจะไปพบหน้าฮูหยินหน่อย ต่อไปคงยากที่จะพบหน้ากันอีก”
อวิ๋นหว่านเฟยถูกสินสอดในลังทำให้โกรธจนสำลัก สินสอดเพียงเท่านี้ถ้าส่งไป มิถูกคนในจวนกุยเต๋อโหวหัวเราะเยาะจนฟันร่วงหรือ โดยเฉพาะภรรยาของมู่หรงอัน ท่านหญิงที่มาจากจวนอ๋องนั่น ซึ่งเดิมทีตนคิดใช้สินสอดที่มารดาเตรียมไว้ให้อย่างอลังการ ผงาดขึ้นมายืนอยู่แถวหน้า แต่ตอนนี้เป็นไงล่ะ ทุกอย่างกลายเป็นเถ้าธุลีไปหมด!
จะว่าไป ต้องโทษมารดา ที่ดันมามีเรื่องในตอนนี้ ส่งผลให้ตนต้องซวยไปด้วย
อวิ๋นหว่านเฟยรู้สึกกระวนกระวายใจ จึงเหวี่ยงวีนไม่หยุด “มองอะไร มีอะไรน่ามอง ใช่ว่าลูกสาวอย่างข้าอยากต่อว่านาง แต่นางเป็นฮูหยินรองเจ้ากรมอีท่าไหน ถึงได้ถูกหญิงบ้านนอกสองคน กับเด็กสาวอายุสิบกว่าปีเหยียบจนมิด! จนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ นางโดนคนเดียวไม่พอ ยังพาให้ข้าพลอยโดนไปด้วย! ถ้าไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องขึ้นกับนาง ข้าไหนเลยจะมีสินสอดแค่ลังเดียว แล้วข้างในยังมีแต่ผ้าห่วยๆ หยาบๆ อีก ถ้าข้าเอาของพวกนี้เข้าบ้านสามี จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน! ใครยังจะเห็นหัวข้าอีก!”
ปี้หยิงตกใจมาก ที่นางเห็นแก่ตัวเช่นนี้ ปกตินึกว่าคุณหนูรองแค่ดื้อด้านเอาแต่ใจตัวเอง คิดไม่ถึงว่าจะถึงขั้นไม่มีน้ำใจกับแม่บังเกิดเกล้า วันนี้ตนบังเอิญได้เจออาเถาที่ดูแลฮูหยินในห้องเล็กข้างห้องบูชาบรรพชน ซึ่งกำลังเดินออกมาเอาอาหาร อาเถาบอกว่าหลังจากฮูหยินเลือดออก ปากแผลก็อักเสบ คล้ายบางส่วนติดเชื้อ สองวันนี้จึงไข้ขึ้น ตัวร้อนไม่หาย สะลึมสะลือ อยากนอนตลอด
ยาที่ท่านหมอให้ไว้ในคืนที่มาตรวจอาการแท้ง อาเถาต้มให้ฮูหยินกินก็แล้ว แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น จึงวานปี้หยิงให้ช่วยบอกคุณหนูรองหน่อย ให้นางหาโอกาสไปขอนายท่าน ให้หาหมอตำแยที่ดีกว่านี้มารักษาฮูหยิน
แต่ดูจากท่าทางของคุณหนูรองในตอนนี้ จะเสี่ยงไปหานายท่านเพื่อขอหมอคนใหม่ให้แม่หรือ ขนาดแค่ไปเยี่ยมแม่ก็ยังไม่ยอมไป ทว่าปี้หยิงไม่ใช่คนใจดำ รับปากอาเถาแล้ว และทนไม่ได้จริงๆ ที่จะปล่อยให้ฮูหยินไม่ได้เห็นหน้าลูกสาวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกเรือนไป จึงยังคงเอ่ยปากเตือน
“คุณหนูรองเจ้าคะ ได้ยินอาเถาว่าฮูหยินเป็นไข้ตัวร้อน แต่ก็ยังเค้นแรงที่มีอยู่ทั้งหมดเรียกแต่ชื่อท่าน อย่างไร ท่านไปดูนางหน่อยเถิด”
พอได้ยินว่ามารดาป่วยหนัก อวิ๋นหว่านเฟยก็สงบปากสงบคำลง แต่ก็ยังลังเลอยู่นาน ก่อนขมวดคิ้ว
“ใช่ว่าข้าอกตัญญูหรือไม่มีหัวใจ แต่เรื่องที่ท่านแม่ทำร้ายคน เป็นความผิดร้ายแรง ถ้าอยู่นอกบ้าน ไม่ได้เป็นฮูหยิน ป่านนี้ถูกโยนเข้าคุกไปแล้ว สภาพหมิ่นเหม่แบบนี้ ข้าจะไปเยี่ยมได้อย่างไร วันนั้นเจ้าไม่รู้หรอก ข้าไปที่เรือนหลักแค่ครั้งเดียว ท่านย่าก็พาคนบุกเข้ามาใหญ่โต น่ากลัวมาก…ข้าก็พลอยเคราะห์ร้ายไปด้วย สินสอดถูกตัดจนเหลือแค่นี้ ถ้าไปเยี่ยมนางอีก แล้วถูกใครเห็นเข้า ไม่รู้ว่าจะถูกลงโทษเช่นไร! แต่เอาเถอะๆ สักพักพอเจ้าออกไป ก็คิดหาวิธีไปเจออาเถา วานนางให้บอกท่านแม่ว่า อย่าคิดมาก รักษาตัวเองให้ดี อดทนไว้ หลังจากข้าเข้าจวนโหวแล้ว จะหาโอกาสมาเยี่ยมนางเอง”
ขนาดอยู่บ้านห่างกันไม่กี่ก้าว ก็ยังไม่ยอมไปเลย แล้วยังจะหวังให้นางออกเรือนแล้วกลับมาเยี่ยมอีกหรือ ปี้หยิงลอบทอดถอนใจ ก่อนเปลี่ยนความคิด
“คุณหนูรองมิใช่กำลังกังวลใจว่าสินสอดน้อยไปหรือ เกรงว่าพอแต่งไปแล้วจะไม่มีสมบัติติดตัวไว้ให้อุ่นใจ บ่าวขอพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดเรื่องหนึ่ง อย่างไรฮูหยินก็อยู่ในจวนรองเจ้ากรมมาสิบกว่าปี สินสอดที่เตรียมไว้ให้ท่าน ก็ใช่ว่าจะเป็นทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมด”
พอได้ยิน อวิ๋นหว่านเฟยก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า มารดาอาจยังมีทรัพย์สินที่กำไว้อย่างแน่นหนาอยู่ สาวใช้นางนี้หัวดีมาก จึงพลันเด้งตัวขึ้น จากที่ขี้เกียจสันหลังยาวอยู่ “ไป ไปห้องบูชาบรรพชนกัน”
ฝนฤดูใบไม้ร่วงหยุดตกแล้ว ท้องฟ้ายามค่ำคืนดุจอัญมณีเม็ดใหญ่ ใสเหมือนถูกล้าง ดวงดาวดารดาษ
ห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง อยู่ติดข้างห้องบูชาบรรพชน หน้าร้อนหลบลมร้อนไม่ได้ หน้าหนาวหลบลมหนาวไม่ได้ หลังคามีรอยรั่วซึม กันลมฝนไม่ได้ ฝนจึงสาดเข้ามาบ่อยๆ เป็นที่ที่ใช้ขังเถามอมอในช่วงแรก
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเหมือนซากศพอย่างไรอย่างนั้น เอนหลังอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว นอกจากอาเถาที่มาส่งข้าวส่งน้ำและป้อนยาให้กินวันละสองเวลาแล้ว ก็ไม่มีใครถามถึงอีก
วันนี้พอตกดึก ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็เจ็บแผลขึ้นมา ขณะกำลังนอนครางอยู่บนที่นอนเก่าขาด ประตูก็ส่งเสียงดัง ‘แอ๊ด’ พอฝืนยกศีรษะขึ้นดู ก็พบว่าเป็นลูกสาว
อวิ๋นหว่านเฟยสะเทือนใจสุดจะเปรียบ เมื่อเห็นสภาพมารดา ไหนเลยจะคิดว่า ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน นางจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ หลายวันก่อนตอนที่ยังไม่ถูกลากตัวมาที่นี่ ตอนอยู่ในเรือนหลักนั้น ยังมีความเป็นผู้เป็นคนอยู่บ้าง…แต่สภาพที่เห็นตรงหน้า อเนจอนาถยิ่งกว่าตอนที่ตนถูกขังให้อยู่แต่ในห้องเสียอีก
ผมเผ้าของไป๋เสวี่ยฮุ่ยพันกันยุ่งเหยิงจนกลายเป็นก้อนสังกะตังและมีกลิ่นเหม็น ด้วยไม่ได้สระมานานหลายวัน กระทั่งมีผมขาวแซมอยู่หลายเส้น ตาโหล เบ้าตาลึก ริมฝีปากแห้งแตก
เดิมทีนางเป็นคนผอมอยู่ แต่นั่นเป็นรูปร่างผอมเพรียวที่ทำให้บุรุษหลงใหล แต่หลังจากแท้ง ร่างกายนางก็มีสภาพดุจเปลวเทียนที่สั่นไหวในสายลมแบบเดียวกับเหล่าหญิงชรา ผิวพรรณสูญเสียความชุ่มชื้น แห้งเ**่ยวสุดๆ แก่ลงร่วมสิบยี่สิบปีเห็นจะได้
พอไป๋เสวี่ยฮุ่ยเห็นลูกสาว ก็ดีใจยิ่ง “เฟย เฟยเอ๋อร์…มาแล้ว รีบ รีบเข้ามาหาแม่เร็ว พ่อเจ้ากับย่าเจ้าเห็นเจ้าหรือเปล่า”
อวิ๋นหว่านเฟยได้กลิ่นอะไรตุๆ น่าจะเป็นปัสสาวะราด แต่ยังไม่ได้ทำความสะอาด จึงกลั้นหายใจ แล้วพูดห้วนๆ แค่ “แม่” จากนั้นก็หลบไปนั่งริมเตียง ห่างออกไปหลายศอก ไม่กล้าเข้าใกล้
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยดูออกว่าลูกรังเกียจตน แต่กลับไม่ตำหนิอะไร ด้วยลูกถูกเลี้ยงอย่างตามใจจนเคยตัวมาแต่เด็ก จึงเป็นธรรมดาที่จะรับไม่ได้ ลูกมาในเวลานี้ได้ ก็กตัญญูพอแล้ว
ทว่าปี้หยิงกลับรู้สึกสะทกสะท้อนใจอยู่บ้าง ถ้าไม่ใช้เพราะตนพูดเปรยๆ ว่า ฮูหยินอาจยังมีทรัพย์สมบัติเหลืออยู่ คุณหนูรองไหนเลยจะมา นางไม่ได้มาเพราะกตัญญูเอาใจใส่ แต่มาปล้นต่อต่างหาก ฮูหยินช่างน่าสงสารจริงๆ
และแล้ว ยังนั่งได้ไม่ทันไร อวิ๋นหว่านเฟยก็เล่าให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยฟังว่า ท่านย่ายึดสินสอดของตนไป และให้โต๊ะเครื่องแป้ง ผ้าห่มปักลาย กับมุ้งกระโจมเป็นของขวัญวันออกเรือนแทน ตามคำแนะนำของอวิ๋นหว่านชิ่น จากนั้นก็พูดเข้าประเด็นทันที ใบหน้าเรียวแหลมขาวเล็กพลันบีบเข้าหากัน ก่อนเค้นน้ำตาออกมาสองหยด
“ท่านแม่ ถ้าลูกนำของพวกนี้เข้าบ้านสามีไป ภายหลังก็ต้องอยู่อย่างเชิดหน้าชูตาไม่ได้แน่ ท่านแม่ลองดูให้หน่อยสิว่า ยังพอจะมีหนทางอะไรอีกบ้าง”
แม้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยป่วยจนเลอะเลือน ก็ยังเดาได้ว่า ลูกสาวมาแบมือขอเงิน จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจ ที่แท้ลูกสาวที่ตนให้กำเนิดและเลี้ยงดูมา พอถึงยามคับขัน กลับไม่คิดที่จะช่วยเหลือนาง และไม่ได้มาถามไถ่ทุกข์สุขกับนางจากใจจริง แต่มาเพื่อปอกลอกนาง
แต่ก็ไม่มีหนทางอื่น ในเมื่อนางมีลูกสาวเพียงคนเดียวที่พึ่งพาได้…
การเตรียมสินสอดให้อวิ๋นหว่านเฟยในครั้งนี้ แม้แทบจะล้างกรุสมบัติน้อยๆ ของนาง แต่นางยังมีทรัพย์สินส่วนหนึ่งที่ยังมิได้นำออกมาจริงๆ
เป็นเงินจำนวนไม่น้อยที่ฝากไว้กับธนาคารอวี้เหา ซึ่งนางแลกออกมาเป็นตั๋วแลกเงิน แล้วนำมาเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัยซึ่งไม่มีใครรู้ เคราะห์ดีที่นางทำเช่นนี้ มิเช่นนั้น ต้องถูกหญิงชรายึดคืนกลับไปไว้ในคลังของจวนสกุลอวิ๋นแน่
ทรัพย์สินส่วนนี้จะซี้ซั้วแตะต้องไม่ได้เด็ดขาด…เพราะตอนนี้นางไม่เหลืออะไรแล้ว จึงต้องมีเงินเผื่อไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ถ้าไม่มีเงินส่วนนี้ ก็เท่ากับนางหมดสิ้นแล้วทุกสิ่งอย่างจริงๆ