บทที่ 33 ไม่เหมือน (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ลู่เซิ่งครุ่นคิด เข้าไปใกล้คนในยุทธภพคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด

“สหายท่านนี้” ในมือเขามีแท่งเงินแท่งหนึ่งเป็นประกาย

“อะไรหรือ” คนในยุทธภพผู้นั้นมองเขาอย่างระวังตัว

“ข้าขอถามว่า ที่นี่ไฉนมีคนมากมายขนาดนี้มาตามหาของอันใด”

ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าสงสัย

“เจ้าไม่ทราบ แล้วมาทำอะไร หลีกไป!”

คนผู้นี้แสดงสีหน้าเหมือนมองคนโง่

ลู่เซิ่งเห็นเขาหมุนตัวคิดจากไป ก็ล้วงแท่งทองแท่งหนึ่งออกมาจากถุงเอว รวมกันส่งไปให้

แท่งทองนี้กลับทำให้คนผู้นั้นชะงักฝีเท้า เขาชั่งน้ำหนักแท่งทองดู แล้วมองการแต่งกายบนร่างของลู่เซิ่ง ดูไม่เหมือนคนที่จะมาแย่งอาหารกับเขา จึงกล่าว

“เจ้าไม่ทราบ แล้วยังมาร่วมความครึกครื้นอันใด

พวกเรามาที่นี่ ต่างได้ยินว่าเมื่อคืนมียอดฝีมือจำนวนมากมากำจัดวิญญาณ ผลก็คือสู้ไปได้ครึ่งทาง มีของวิเศษปรากฏขึ้น จากนั้นก็ปรากฏความสับสนแล้ว มียอดฝีมือนำของวิเศษหนีไป คนที่เหลือต่างติดตามไป ที่นี่จึงกลายเป็นเศษซาก

“พวกเราหลายคนต่างมาหาของที่เหลือ ค้นสมบัติของคนตาย”

“ค้นสมบัติคนของตายหรือ” ลู่เซิ่งเข้าใจแล้ว คนเหล่านี้มาปล้นสมบัติบนร่างศพโดยเฉพาะ

เขาไม่กระจ่างว่าเมื่อคืนเกิดเหตุอันใด แต่สามารถดึงดูดขุมกำลังจำนวนมากขนาดนี้มารวมตัวกันได้ จะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่

‘คนเหล่านี้ต่างทราบเลศนัยส่วนหนึ่ง เหมือนตวนมู่หว่านและเหยียนไค เป้าหมายที่มาเมืองเก้าประสานไม่ชัดเจน พวกเขาอาจเป็นคนระดับเดียวกันกับผีล่อลวง’ ลู่เซิ่งขบคิด ปล่อยคนผู้นั้นไป วนไปทั่วอยู่หลายรอบ เห็นหลายแห่งมีวัตถุเป็นก้อนดำเหมือนเหล็กหลอมละลาย

เขาไม่ได้หยุดรั้งอยู่นาน กลับไปคฤหาสน์ลู่อย่างรวดเร็ว

พอมาถึงคฤหาสน์ลู่ เพิ่งจะเข้าประตูใหญ่ ก็มีเด็กรับใช้มารายงาน

“คุณชายใหญ่ แม่นางตวนมู่มาอีกแล้ว กำลังรอท่านในโถงรับแขก” เด็กรับใช้กล่าวเสียงเบา

ตวนมู่หว่านมาแล้วหรือ ลู่เซิ่งอดจิตใจตึงเครียดไม่ได้ นึกย้อนถึงประโยคที่นางพูดตอนเจอเขาเมื่อก่อนหน้า เขาจึงกระตือรือร้น รีบสาวเท้าเดินไปยังโถงรับแขก

พอเข้าโถงรับแขก ลู่เซิ่งก็เห็นการแต่งกายอันเป็นสัญลักษณ์ของตวนมู่หว่าน ในยุคสมัยนี้ สตรีที่กล้าแต่งตัวเหมือนตวนมู่หว่าน ต่อให้เป็นที่หอนางโลมตรอกคณิกาก็มีไม่มาก

นางนั่งบนเก้าอี้ไม้ มือประคองถ้วยชากระเบื้องขาว จิบชาเบาๆ วางหมวกไว้ด้านข้าง ปลดอาภรณ์โปร่งบนร่าง เผยให้เห็นชุดรัดรูปสีดำที่รัดเนื้ออยู่ด้านใน

เพียงแต่ชุดรัดรูปนั้นเพราะว่ารัดตัวมากเกินไป จึงขับเส้นโค้งทุกชุ่นบนร่างนางออกมา เหมือนกับเป็นผิวหนังชั้นที่สอง โดยเฉพาะหน้าอกกับตะโพก เหมือนไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ไม่ต่างจากเปลือยกาย สตรีรับใช้และผู้คุ้มกันที่อยู่รอบๆ เห็นแล้วไม่กล้ามองตรงๆ หน้าแดงหูแดง

“แม่นางตวนมู่ไม่เจอกันนาน ไม่ทราบประโยคนั้นที่ท่านกล่าวก่อนหน้านี้ความหมายคืออะไรกันแน่” ลู่เซิ่งพอพบหน้าก็กล่าวอย่างขวานผ่าซากทันที เขาโบกมือให้คนที่ไม่มีหน้าที่รอบๆ ตัวต่างถอยออกไป ตนเองมองตวนมู่หว่านด้วยดวงตาสว่างไสว ไม่หลบเลี่ยงเครื่องแต่งกายยั่วยวนของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

ตวนมู่หว่านเงยหน้าขึ้นพิจารณาลู่เซิ่งด้วยความประหลาดใจ ยิ้มกล่าวว่า “คุณชายเซิ่งสบายดี สามารถรอดจากภัยพิบัติครั้งนี้ได้ น่าเฉลิมฉลองแท้ ตอนนี้ท่านไม่ต้องห่วง ทุกอย่างกลับมาปลอดภัยขึ้นมากแล้ว”

“แม่นางหมายความว่าอย่างไร” ลู่เซิ่งหยีตา เห็นได้ชัดว่าตวนมู่หว่านทราบเลศนัยไม่น้อย

“ไม่มีความหมายอะไร” ตวนมู่หว่านวางชาลง ปรบมือเบาๆ แล้วลุกขึ้น

ตวนมู่หว่านเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อคนที่อยู่รอบๆ ล้วนไปแล้ว คุณชายไม่ตายในภัยพิบัติก่อนหน้า อย่างนั้นกลับมีคุณสมบัติที่จะทราบเบื้องหลังส่วนหนึ่ง”

“ขอให้แม่นางโปรดชี้แนะ” ลู่เซิ่งปลุกปลอบจิตใจ กลัวอีกฝ่ายไม่พูด

ตวนมู่หว่านมือหนึ่งเท้าคาง หัวเราะ “คุณชายเซิ่งในเมื่อไม่ตาย คงได้สัมผัสขุมกำลังของผีล่อลวงมาแล้ว สิ่งของที่สกปรกน่าหวาดกลัวเหล่านั้น ไม่ใช่รับมือได้ง่าย ไม่มีความสามารถพิเศษก็ไม่อาจรอดจากการไล่ล่าของพวกมัน”

“ผีล่อลวง… แม่นางพูดให้ละเอียดหน่อยได้หรือไม่ ผีล่อลวงเหล่านี้มาจากไหน พวกมันมีเป้าหมายอะไร” ลู่เซิ่งถามเสียงขรึม

“ไม่ต้องรีบร้อน…” ตวนมู่หว่านหัวเราะคำหนึ่ง ค่อยๆ อ้อมมาถึงด้านข้างของลู่เซิ่ง ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาลูบแก้มเขาเบาๆ

การเคลื่อนไหวของนางนุ่มนวลและอ่อนโยนยิ่ง เหมือนกับผ้าบางปัดผ่าน ไม่สัมผัสอย่างละเอียดก็ไม่อาจรู้สึกตัว คันๆ นุ่มๆ เหมือนกับการหยอกล้อกันระหว่างคนรัก

“แม่นางตวนมู่ ท่านยังไม่พูดถึงเลศนัยเลย” ลู่เซิ่งถอยหลังก้าวหนึ่งเบาๆ หลบเลี่ยงการหยอกล้อของอีกฝ่าย “ถ้าหากมีสิ่งที่จำเป็นต้องปิดบัง ท่านคงไม่มาหาข้าถึงที่นี่ คาดว่าแม่นางคงมีเป้าหมายของตัวเองกระมัง”

ตวนมู่หว่านหัวเราะ กิ่งบุปผาพลันสะเทือน

พึ่บ!

“คุณชายเซิ่งไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ข้าเห็นท่านครั้งแรกก็ชมชอบอยู่บ้าง

ตอนนั้นยังมีความคิดจะทดลองเดิมพันกับท่าน คิดไม่ถึงว่าคุณชายรอดมาได้จริงๆ นี่น่าประหลาดใจ… ท่านไม่ทราบ หลังจากท่านรอดมา ถึงแม้ตัวข้าต่อให้กำลังต่อสู้ระหว่างความเป็นความตาย ในใจยังจดจำท่านได้…” ตวนมู่หว่านกล่าวอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก น้ำเสียงเหมือนกับจะหลอมละลายบุรุษเหล็กให้กลายเป็นน้ำได้

ลู่เซิ่งข่มโทสะ ปล่อยให้นางแนบชิดตน ยังคงถามอย่างสงบ “หรือว่าแม่นางชมชอบข้าแล้ว”

“ผู้ใดทราบเล่า” ตวนมู่หว่านหัวเราะพลางถอยไปก้าวหนึ่ง หมุนตัวอย่างงดงามรอบหนึ่ง

“ข้าชมชอบคุณชายยิ่ง พอเห็นท่าน ก็คิดถึงท่านผู้นั้นที่ข้ารักที่สุด… น่าเสียดายเขาตายเร็วยิ่ง ความรักในอกของข้าไร้ที่ไป” พูดถึงตรงนี้ ดวงตารูปซิ่งจื่อ (แอพริค็อต) ของนางปรากฏความอ้างว้างและความละอายแก่ใจ

ลู่เซิ่งกล้ายืนยันว่าตัวเองไม่ได้มองผิด เป็นความละอายแก่ใจจริงๆ ความรู้สึกที่มีแต่คนซึ่งรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยพึงมี ถึงกับปรากฏบนร่างตวนมู่หว่านที่ลี้ลับตรงหน้าผู้นี้ เห็นได้ว่าคนผู้นั้นที่นางเอ่ยถึง มีสถานะ ความสามารถ และตำแหน่งไม่ธรรมดาเด็ดขาด

“ตอนนี้แม่นางตวนมู่ลองบอกดูว่า ผีล่อลวงที่แท้เป็นอะไร แล้วพวกท่านเป็นใคร”

ตวนมู่หว่านยิ้มๆ อ้อมมาถึงด้านหลังของลู่เซิ่งอย่างแผ่วเบา แนบชิดตัวเองกับแผ่นหลังของเขา

“พอเห็นคุณชายท่าน ก็อดนึกถึงเขาไม่ได้ เฮ้อ…” นางถอนใจยาว แฝงความรันทดเข้มข้น

“คุณชายทราบหรือไม่ว่าวิถีโลกในปัจจุบัน ปีศาจมารอาละวาด ภูตผีถือกำเนิด ไฉนชนชาวโลกยังมีชีวิตอยู่อย่างสงบมั่นคงเป็นส่วนใหญ่ เหมือนกับชีวิตราบเรียบสิบกว่าปีก่อนหน้าของคุณชายท่าน”

ลู่เซิ่งส่งสายตาคมกริบ “มีคนคอยปกป้องหรือ”

“ถูกต้อง… นับว่าปกป้องก็แล้วกัน… วิถีโลกนี้ลำบากเช่นนี้ ต้องมอบความหวังและการปลอบประโลมเล็กน้อยแก่ผู้คนถึงจะถูก

“ใต้หล้านี้ กล่าวได้ว่าเป็นใต้หล้าของสองขุมกำลัง”

“สองขุมกำลังไหน”

“มารปีศาจกับตระกูลขุนนาง” ตวนมู่หว่านชูนิ้วสองนิ้วขึ้นอย่างเรียบง่าย “มารปีศาจเป็นสัตว์ประหลาดเช่นผีล่อลวงที่คุณชายเคยเจอ ส่วนตระกูลขุนนางก็คือคนกำจัดวิญญาณที่บนร่างมีพลังตั้งแต่เกิดอย่างข้าและเหยียนไค”

“เกิดมาก็มีพลังหรือ ไม่ใช่ฝึกฝนได้มาหรือ” ลู่เซิ่งจิตใจตึงเครียด ยังมีความหวังเล็กน้อย

“ไม่…” ตวนมู่หว่านยิ้มขึ้น “ข้าทราบว่าคุณชายยังมีความหวังเล็กน้อย น่าเสียดาย โลกใบนี้ไม่มีวิชาฝึกฝนอันใดรับมือมารปีศาจได้ พวกเราตระกูลขุนนางไม่ต้องใช้วิธีการอันใด และไม่มีวิชาอันใด”

สิ่งที่พวกเราฝึกฝนเป็นเพียงการพัฒนาและการใช้พลังพิเศษในร่างที่มีตั้งแต่เกิด และใช้พลังนี้ไปรับมือมารปีศาจ ส่วนคนทั่วไปได้แต่เป็นคนทั่วไปตลอดกาลแล้ว…”

ลู่เซิ่งเงียบเสียง

ยังเป็นความจริงที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุด

ตวนมู่หว่านกล่าวต่อ “ลำดับชั้นการปกครองของใต้หล้ามีสองอย่าง หนึ่งคือมารปีศาจ หนึ่งคือตระกูลขุนนาง พลังของพวกเรามีมาตั้งแต่เกิด เหนือคนธรรมดา ความแตกต่างนั้นยิ่งใหญ่มาก… พวกเราเกิดมาก็มีพลัง ต่อให้เป็นคนที่อ่อนแอที่สุด สำหรับคนทั่วไปก็เป็นความแข็งแกร่งที่ไม่อาจจินตนาการได้โดยเด็ดขาด”

“ข้าไม่เชื่อว่าคนทั่วไปไม่มีโอกาสแล้ว” ลู่เซิ่งส่ายหน้าช้าๆ

“คุณชายน่ารักจริงๆ…” ตวนมู่หว่านยิ้ม “ท่านต้องเข้าใจว่าบนโลกใบนี้ไม่มีปราณวิญญาณหรือปราณเซียนในนวนิยายอันใด ในอากาศที่พวกเราใช้ดำรงชีวิตก็ไม่มีเช่นกัน สิ่งที่พวกเราพึ่งพาได้เพียงอย่างเดียวคือตัวเอง

จอมยุทธ์ฝึกปราณภายใน สิ่งที่อาศัยเกิดจากการกินอาหาร พลังความสามารถที่พวกเราตระกูลขุนนางได้มาแต่เกิด ซ่อนลึกอยู่ในสายเลือด ความแตกต่างมีมาแต่กำเนิดแล้ว…”

นางค่อยๆ ปล่อยลู่เซิ่ง เดินมาถึงด้านหน้าของเขา มือเรียวลูบไล้ทรวงอกแกร่งของเขาแผ่วเบา

“ก่อนหน้านี้ในเมืองเก้าประสานมีสองขุมกำลังใหญ่ กำลังแย่งชิงของวิเศษชิ้นหนึ่ง ฝ่ายหนึ่งในสองขุมกำลังใหญ่นี้ เป็นขุมกำลังใหญ่ที่ควบคุมผีล่อลวง และเป็นขุมกำลังที่เลือกตระกูลสวีและตระลู่ของท่านเพื่อเซ่นสรวง”

“ขอบังอาจถามแม่นาง ชื่อของขุมกำลังนี้คืออะไร” ลู่เซิ่งพลันกระตือรือร้น ทราบว่านี่เป็นส่วนสำคัญ ย่อยข้อมูลที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ รีบถามไถ่

“จวนม้วนมนุษย์” ตวนมู่หว่านพิงศีรษะกับแขนของลู่เซิ่ง “ชื่อของพวกมันเรียกว่าจวนม้วนมนุษย์ เป็นขุมกำลังเก่าที่ยึดครองที่นี่ของพวกท่านมาหลายต่อหลายปีแล้ว

“ภูตผีที่พวกมันควบคุมมีอยู่ไม่น้อย ก่อนหน้านี้เลือกประมุขตระกูลลู่ของคุณชายเป็นเป้าหมายเซ่นสรวง พอของวิเศษเช่นนั้นปรากฏขึ้น จำเป็นต้องใช้เครื่องเซ่นสรวงมากมาย มากมายยิ่ง…”

“เช่นนั้น บิดาข้ายังไม่ตาย พวกเขาจะมาหาพวกเราอีกหรือไม่” ลู่เซิ่งถามกลับ

“คิกๆๆ… ถ้าหากพวกมันมาหาท่าน คุณชายก็มาหาหว่านเอ๋อร์แล้วกัน… ” ตวนมู่หว่านพลันกล่าวพลางหัวเราะ

“แม่นางตวนมู่ล้อเล่นแล้ว” ลู่เซิ่งสลัดการลูบไล้ของนาง หมุนตัวไปเผชิญหน้ากับนาง “ไม่ทราบว่าแม่นางยังมีวิชาฝึกจิตกำลังภายในอย่างอื่นในมือหรือไม่ ที่ไม่ใช่วิชาหล่อเลี้ยงชีวิต”

เขาไม่ทราบว่าสิ่งที่ตวนมู่หว่านพูดเหล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ แต่ไม่ว่าจริงหรือเท็จ ขอแค่เอาวิชากำลังภายในวิชาใหม่ที่แกร่งกว่าเดิมจากสตรีนางนี้ได้ การพบเจอนางในครั้งนี้ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว

“วิชาฝึกจิตกำลังภายในหรือ ของเล่นประเภทนั้น… มีประโยชน์หรือ” ตวนมู่หว่านสางผมงาม “วิชากำลังภายในมีอันใดน่าสนุก…”

“แม่นางหว่านเอ๋อร์ล้อเล่นแล้ว ข้าน้อยจำเป็นต้องใช้ค่าตอบแทนเท่าใดถึงจะเอาวิชาฝึกจิตกำลังภายในชนิดนั้นมาได้ ขอให้แม่นางบอกให้กระจ่าง” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม

………………………………………….