ตอนที่ 65 ลานประลอง! + ตอนที่ 66 ช่างน่าเหลือเชื่อ! Ink Stone_Romance
ตอนที่ 65 ลานประลอง!
“นี่ นี่ทำให้คนที่พลังเร้นลับอ่อนแอกลับฟื้นคืนระเบิดพลังออกมาเป็นสามเท่าในชั่วขณะจริงรึขอรับ?”
ขนาดน้ำเสียงนักวิเคราะห์ยาอย่างเติ้งเหล่ายังสั่นเทา เขาออกหน้ารับยามา ในใจมีความตื่นเต้นที่เหลือเชื่อ
เฟิ่งจิ่วไม่พูดอะไร เพราะหางตาเธอชำเลืองเห็นเงาร่างที่ไม่นับว่าแปลกหน้าเดินอยู่ด้านล่าง คนคนนั้น ไม่ใช่คนที่เธอกำลังตามหาอยู่รึ?
มุมปากยกขึ้นน้อยๆ ในดวงตาฉายแววยิ้มเยาะมีเลศนัยแปลกๆ เธอเห็นเขานั่งลงตรงแถวหน้า เรียกคนของตลาดมืดผู้หนึ่งมา ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรกัน
ตอนนี้ ความสนใจของทั้งสามคนในห้องล้วนอยู่ที่ขวดยานั้น ผู้ดูแลสองท่านมองเติ้งเหล่าเปิดดมกลิ่นยาน้ำในขวด ผ่านไปสักพัก กลับเห็นท่าทางเขาไม่ได้ทำอะไรต่อ ผู้ดูแลต่งจึงอดไม่ได้ที่จะเรียก “เติ้งเหล่า?”
เติ้งเหล่ายิ้มขมขื่น เขามองทั้งสองคนและเฟิ่งจิ่วที่พิงอยู่ข้างหน้าต่าง กล่าวว่า “น่าละอายใจจริงๆ แม้กระผมจะเป็นนักวิเคราะห์ยา กลับไม่เคยวิเคราะห์ยาเช่นนี้มาก่อน”
ความหมายของคำพูดนั้นก็คือ เขาไม่อาจตรวจสอบได้เลยว่าที่เฟิ่งจิ่วกล่าวมาเป็นความจริงหรือไม่
ได้ยินเช่นนั้น ผู้ดูแลทั้งสองท่านก็ตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ สถานการณ์เช่นนี้พวกเขายังไม่เคยเจอจริงๆ
“พวกท่านคิดว่าสตรีกับบุรุษสองคนนั้น สุดท้ายใครจะชนะ?” จู่ๆ เสียงเฟิ่งจิ่วก็ดังลอยมา ทำให้สามท่านในห้องต่างนิ่งงัน
พอพวกเขาได้ยินจึงเดินไปข้างหน้าและมองไปที่ลานประลองชั้นหนึ่ง เห็นสาวน้อยอายุราวสิบหกสิบเจ็ดกำลังต่อสู้กับบุรุษอีกนาย แต่เธอหาใช่คู่ต่อสู้ของบุรุษผู้นั้นไม่ ตอนนี้จึงถูกซ้อมเสียจนปางตาย กลับยังอยากจะยืนขึ้นอย่างดื้อรั้น
ผู้ดูแลจูมองด้านล่าง ก็พูดว่า “เธอแค่ระดับนักรบวรยุทธ์ขั้นหก คู่ต่อสู้ของเธอกลับเป็นระดับนักรบวรยุทธ์พลังเร้นลับขั้นเริ่มต้นที่สอง บุรุษผู้นั้นชนะแน่นอน หนำซ้ำ เห็นๆ อยู่ว่าเหนื่อยล้าหมดเรี่ยวสิ้นแรงก็ยังจะสู้อีก”
เฟิ่งจิ่วยกริมฝีปากขึ้นยิ้ม แล้วส่ายหน้า “ไม่ เธอจะชนะ”
สายตาเธอจับจ้องไปบนร่างสาวน้อยที่ฮึดสู้ไม่ถอยอยู่ด้านล่าง เอ่ยว่า “ท่านถือยาน้ำขวดนั้นไปให้เธอดื่มเสีย เช่นนี้ ผลลัพธ์ของการวิเคราะห์ก็จะเผยออกมาแน่นอน”
สามคนในห้องดวงตาเป็นประกาย จริงด้วย! วิธีนี้ทั้งง่ายดายและเถรตรง เป็นเช่นนี้ พวกเขาก็สามารถรู้ได้ ว่ายาน้ำขวดนี้จะวิเศษอย่างที่เขาบอกจริงๆ หรือไม่ หนำซ้ำให้สาวน้อยผู้หมดแรงสู้ดื่มน้ำยานี้ที่ลานประลอง หากชนะจริง ก็จะเป็นป้ายประกาศโฆษณาที่มีชีวิต
“กระผมจะนำลงไป” ผู้ดูแลจูบอก ถึงจะหยิบยาขวดนั้นเร่งรีบลงไปที่ลานประลองชั้นหนึ่ง
ที่ลานประลอง
“ฮ่าๆๆๆ สาวน้อย เจ้ารีบยอมแพ้เสียก่อนเถอะ! ต่อให้เจ้าฝึกฝนอีกเป็นสิบปีก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” พอคิดว่าพวกทรัพย์สินเงินทองที่มาซื้อตัวเองตอนได้ชัยชนะจะกลายเป็นสิบเท่า เขาก็หัวเราะร่าขึ้นมาด้วยความดีใจจนลืมตัวอย่างอดไม่ได้
สาวน้อยถ่มเลือดออกมา ร่างกายราวกับถูกรถม้าวิ่งทับ เจ็บเสียจนไร้ความรู้สึก ซ้ำยังดึงพลังขึ้นมาไม่ได้เลย
ทว่าเธอยังไม่ยอม ทั้งไม่เต็มใจและไม่ยินยอมจะแพ้เช่นนี้!
เธอกัดฟันพลางฝืนหยัดลุกขึ้นมา แต่กลับทรุดลงไปอีก ทำให้ผู้คนที่ชมอยู่ในลานต่างหัวเราะดังฮ่าๆ ขึ้นมา
“รีบยอมแพ้ซะ! รอบต่อไปๆ! อย่ามาทำพวกเราเสียเวลา!” มีคนตะโกนมาอย่างทนไม่ไหว
และในตอนนั้นเอง ผู้ดูแลจูก็ถือน้ำยามาข้างกายสาวน้อย ไม่รู้ว่าพูดอะไรกับเธอ สาวน้อยถึงรับขวดใบนั้นมาดื่มของด้านในอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ในระหว่างที่ทุกคนต่างแปลกใจกับท่าทางเช่นนี้ของผู้ดูแลจู กลับเห็นบนร่างสาวน้อยผู้นั้นมีกลิ่นอายพลังเร้นลับสีแดงคละคลุ้งพรั่งพรูอยู่จางๆ
“ชิ! เป็นไปได้อย่างไร!”
…………………………………………………….
ตอนที่ 66 ช่างน่าเหลือเชื่อ!
ผู้ชมทั่วทั้งลานประลองเปล่งเสียงอุทานอย่างยากที่จะเชื่อ มีคนไม่น้อยผุดลุกยืนขึ้นเพราะความตกใจ และมองสาวน้อยผู้มีกลิ่นอายพลังเร้นลับพรั่งพรูทั่วร่างด้วยความเหลือเชื่อ
กลิ่นอายพลังเร้นลับที่เห็นได้ด้วยตาเปล่านั้นไม่ใช่ของปลอม!
พลังที่กระจายออกมาทั่วร่างยิ่งเป็นของจริง!
แต่ช่วงก่อนหน้านี้ เห็นชัดๆ ว่าขนาดยืนยังไม่อาจลุกไหว เวลาต่อมานางกลับมีกลิ่นอายพลังเร้นลับที่คละคลุ้งกว่าตอนแรกพวยพุ่งไปทั่วร่าง หากไม่เห็นด้วยตาตัวเอง พวกเขาก็ไม่มีทางเชื่อเลยจริงๆ…
ตอนนี้ บนลานประลอง ในดวงตาสาวน้อยผู้นั้นมีทั้งความแปลกใจ ประหลาดใจ และความตื่นเต้น
สองมือนางกำหมัดแน่น ขณะที่รู้สึกถึงกลิ่นอายพลังเร้นลับที่แนบแฝงอยู่ในหมัด ทันใดนั้น ก็เปรยตามองไปทางบุรุษผู้กำลังตะลึงงัน “แพ้ชนะยังไม่ตัดสิน!” พอสิ้นเสียง ทั้งร่างก็ระเบิดพลังชกหมัดที่รวดเร็วกว่าปกติถึงสามเท่าออกไป
บนหมัดของนาง กลิ่นอายพลังเร้นลับที่พุ่งพล่านก่อตัวเป็นคลื่นพลังส่งเสียงหึ่งๆ ในสายตายากจะเชื่อของบุรุษผู้นั้น เขาถูกหมัดโจมตีออกไปไกลถึงสิบเมตร แรงมหาศาล ท่าทางโหดเหี้ยม ทำให้ผู้ชมในลานต่างพากันสูดหายใจเฮือก
บรรยากาศถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ ราวกับไม่อาจคืนสติมาอย่างช้าๆ จนกระทั่ง หลังจากผ่านไปสักพัก ผู้ชมพันกว่าท่านทั่วทั้งลานประลองก็ลุกยืนขึ้นมา เสียงปรบมือดั่งฟ้าร้อง เสียงแซ่ซ้องโห่ร้องกันกึกก้อง…
เทียบกับผู้คนในลาน ในใจผู้ดูแลจูยังตื่นเต้นยิ่งกว่า เขามองเวทีประลองที่ตัดสินแพ้ชนะแวบหนึ่ง จากนั้นจึงเร่งฝีเท้าเดินกลับไป
ส่วนในลานประลอง ไม่ว่าผู้ชมชั้นหนึ่ง หรือแขกผู้มีเกียรติชั้นสอง หลังจากเห็นผู้ดูแลจูรีบเดินจากไป ล้วนเผยสีหน้าที่มีความนัย แต่ละคนต่างเรียกข้าทาสบริวาร ให้พวกเขาไปไต่ถามเสียหน่อย ว่าในขวดเมื่อครู่นั้นคืออะไรกันแน่?
เทียบกับความตื่นเต้นคึกคักที่ชั้นล่าง เฟิ่งจิ่วในห้องปีกด้านบนสงบนิ่งมากอย่างเห็นได้ชัด เพราะผลลัพธ์อยู่ในการคาดเดา เธอจึงไม่รู้สึกประหลาดใจ
ด้วยความฮึดสู้ไม่ย่อท้อที่ไม่ยอมรับความรับพ่ายแพ้ของสาวน้อย หากได้ยาช่วยแล้วยังไม่มีทางชนะ นั่นก็คงแปลกพิลึก
เทียบกับความใจเย็นของเธอ เติ้งเหล่ากับผู้ดูแลต่งกลับระทึกใจเสียจนหน้าแดงก่ำ สายตาพวกเขาที่มองเฟิ่งจิ่วฉายแววประกายหวาดหวั่น ราบกับได้พบขุมทรัพย์ก้อนโต มันทั้งตื่นตาตื่นใจและมีความลิงโลด
“ท่านที่เคารพ ยานั้นยังมีอยู่อีกเท่าไหร่? และไม่ทราบว่าท่านคิดจะทำการค้ากับพวกเราเช่นไรขอรับ?”
หลังจากผู้ดูแลต่งได้สติกลับมา คำเรียกล้วนเปลี่ยนไป ท่าทีก็ยิ่งดีขึ้นด้วย ต้องรู้ไว้ หากน้ำยาวิเศษเช่นนี้ไปถึงตลาดมืดทางด้านเมืองอวิ๋นเยวี่ยก็คงเป็นที่ฮือฮากันแน่! ถึงอย่างไร ในแคว้นเล็กๆ ระดับเก้าของพวกเขา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพบเห็นยาแบบนี้
ถ้ามียานี้ไว้สักขวดหนึ่ง นั่นเท่ากับเป็นการเพิ่มยันต์คุ้มภัยติดตัว ต่อให้พบคู่ปรับที่ไม่อาจสู้ ก็สามารถใช้หนีเอาตัวรอด จะไม่ทำให้คนใจเต้นได้เช่นไรเล่า?
“ยานี้ท่านฝึกปรุงเองรึขอรับ? หรือว่าท่านเป็นผู้ฝึกฝนวิชานักปรุงยา?” เติ้งเหล่ามองเฟิ่งจิ่วด้วยดวงตาเป็นประกาย ในสายตาคือความนับถือและความเร่าร้อน
ได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งจิ่วเหลียวมองเขาแวบหนึ่ง น้ำเสียงมีความเอื่อยเฉื่อยและเย็นชาอยู่บางส่วน “ข้าเป็นใคร เหมือนจะไม่จำเป็นต้องบอกท่านกระมัง?”
เมื่อรู้ว่าตัวเองล่วงเกิน เติ้งเหล่าจึงรีบร้อนก้มหัวเคารพ “ขอท่านที่เคารพอย่าได้ถือสา กระผมแค่ตื่นเต้นไปชั่วครู่ ถึงได้เลอะเลือน”
ใช่สิ! จะไม่ตื่นเต้นได้รึ? คนตรงหน้ามีความเป็นได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นนักปรุงยา ต้องรู้ไว้ ว่าแคว้นแสงสุริยันของพวกเขาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีนักปรุงยาโผล่มาสักคน
…………………………………………………….