บทที่ 35 เยี่ยมเยียนครอบครัวถางโร้ว EnjoyBook
บทที่ 35 เยี่ยมเยียนครอบครัวถางโร้ว
ในระหว่างที่กลับบ้าน ถางโร้วโทรศัพท์ไปหาที่บ้านและบอกพ่อกับแม่ว่าจะพาเพื่อนกลับไปด้วยแต่เธอไม่ได้บอกว่าเพื่อนคนนั้นก็คือฉู่ชวิ๋น บ้านตระกูลถาง ซ่งซื๋อแม่ของถางโร้วถือโทรศัพท์ไว้แล้วยืนงง
“ใช่ โร้วโร้วโทรมาหรือเปล่า? ลูกพูดว่าอะไร?” ถางเหวินเหยียน พ่อของถางโร้วปิดหนังสือพิมพ์ลงแล้วถามขึ้นมาซ่งซื๋อ ภรรยาของเขาที่กำลังมึนงง
“โร้วโร้วบอกว่าลูกจะพาเพื่อนมาที่บ้าน” ซ่งซื๋อหยุดชะงักพักหนึ่งและพูดต่อ“ คุณว่าเป็นแฟนโร้วโร้วหรือเปล่า? ฟังจากน้ำเสียงลูกดูมีความสุขมาก”
ถางเหวินเหยียนขยับแว่นตากรอบสีทองของเขาและขมวดคิ้ว
“โร้วโร้วมีแฟน คุณไม่ดีใจเหรอ?” ซ่งซื๋อวางโทรศัพท์แล้วมองไปยังถางเหวินเหยียนที่สีหน้าไม่ดี
“มีอะไรให้ต้องดีใจ?” ถางเหวินเหยียนพูดออกมา
“คุณทำไมพูดแบบนี้ล่ะ โร้วโร้วก็อายุยี่สิบแล้ว ไม่มีแฟนตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว คุณอยากให้ลูกสาวเราเป็นสาวโสดเหรอ?” ซ่งซื๋อพูดอย่างจริงจัง
“ลูกสาวของเราเก่งกาจขนาดนี้ ถึงแม้จะไร้คู่ก็อยู่ได้สบาย ๆ” ถางเหวินเหยียนพูดออกมา ซ่งซื๋อไม่มีคำจะพูด คำพูดนี้ก็ไม่ผิดถางโร้วทั้งฉลาดทั้งสวยและเพียบพร้อมดีเลิศมากจริง ๆ
“ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องบอกก่อนเลยว่า จะมีคนมาที่บ้าน คุณต้องมีมารยาท กับเขาด้วย” ถางเหวินเหยียนพยักหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ เขาแอบคิดในใจว่า
“มารยาทกับผีสิ”
รถขับมาถึงบ้านถางโร้ว ฉู่ชวิ๋นก็หิ้วของฝากที่ซื้อระหว่างทางและขึ้นบ้านไปกับถางโร้ว
“เคาะ ๆ” เสียงเคาะประตู
คนที่เปิดประตูก็คือซ่งซื๋อ หลังจากที่เธอเปิดประตูเธอก็เห็นฉู่ชวิ๋น แวบแรกที่เธอคิดคือผู้ชายคนนี้ก็หล่อมาก ๆ คิ้วปลายงอนตาเป็นประกาย โดยเฉพาะแววตาของเขาสดใสมาก ซ่งซื๋อพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ แววตาแบบนี้ต้องเป็นคนที่จิตใจดีงามแน่ ๆ ดวงตาคือหน้าต่างของจิตใจ
“คุณป้าซ่ง สวัสดีครับ!” ฉู่ชวิ๋นกล่าวทักทายด้วยความเคารพ
“สวัสดี สวัสดี รีบเข้ามาเถอะ!” ถางโร้วไม่พอใจแม่เล็กน้อย เธอดูเหมือนถูกมองข้ามไปเลย และพอพวกเขาเดินตามซ่งซื๋อเข้ามา ถางเหวินเหยียนก็กำลังพลิกหน้าหนังสือพิมพ์ไปหาหลายครั้ง
เมื่อฉู่ชวิ๋นเดินเข้ามา เขาก็ทำเป็นมองไม่เห็น ซ่งซื๋อรู้สึกอึดอัดจนวางตัวไม่ถูกเลยแอบเตะไปที่เท้าของถางเหวินเหยียน
ถางเหวินเหยียนกลับทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรและยังคงใช้หนังสือพิมพ์บังหน้าเอาไว้เหมือนเดิม ฉู่ชวิ๋นอยากจะหัวเราะออกมา เขารู้สึกว่าตัวเองตอนนี้เหมือนลูกเขยที่เข้าไปเยี่ยมพ่อตาแม่ยายและถูกพ่อตากลั่นแกล้งซะแล้ว
“ลุงถาง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ!” ฉู่ชวิ๋นยิ้มและพูดขึ้นมา ไม่ได้เจอกันนาน?
ถางเหวินเหยียนอดไม่ได้ที่จะวางหนังสือพิมพ์ลงและมองฉู่ชวิ๋นด้วย สีหน้าไม่สบอารมณ์
เขาพูดขึ้นมาว่า “พวกเราเคยเจอกันเหรอ? ซ่งซื๋อก็มองฉู่ชวิ๋นด้วยความอยากรู้อยากเห็น ถางโร้วและฉู่ชวิ๋นสบตากันและยิ้มขึ้นมา
“พ่อค่ะ นี่คือพี่ฉู่ชวิ๋นเอง!” ถางโร้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มแฉ่งออกมา
“เสี่ยวชวิ๋น”
“คุณคือฉู่ชวิ๋น?” ถางเหวินเหยียนและซ่งซื๋อตกใจจนส่งเสียงออกมา
“คุณลุง คุณป้า เสี่ยวชวิ๋นมาทักทายพวกคุณครับ” เวลานี้เขาไม่ใช่จักรพรรดิ ไม่ใช่ผู้ฝึกตนเป็นเซียน เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มธรรมดา ๆ คนหนึ่ง
ถางเหวินเหยียนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของพ่อเขา ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลเป็นไปได้ด้วยดีมาตลอด ภรรยาของถางเหวินเหยียนก็ปฏิบัติต่อเขาดีเหมือนลูก
“คุณคือเสี่ยวชวิ๋นจริง ๆ เหรอ?” ถางเหวินเหยียนวางหนังสือพิมพ์ลงและอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาพินิจพิเคราะห์ฉู่ชวิ๋นอย่างประหลาดใจ
ซ่งซื๋อเองก็ไม่อยากจะเชื่อ แม้ว่าสามปีก่อนฉู่ชวิ๋นจะหน้าตาดีมาก แต่ผิวพรรณของเขาเป็นสีแทนซึ่งสีผิวไม่เหมือนกับพ่อหนุ่มรูปงามตรงหน้าที่มีผิวขาวเนียนเลยแม้แต่น้อย
“คุณลุง คุณป้า ผมคือเสี่ยวชวิ๋นจริง ๆ ไม่ได้เจอกัน สามปีแล้วคุณลุง คุณป้ายังสบายดีไหมครับ?”
“สบายดีก็ดีแล้ว” ซ่งซื๋อพูดอย่างดีใจ “ลูกชาย รีบมานั่งคุยกันเร็ว” สี่คนก็นั่งลงที่ห้องรับแขก
“เสี่ยวชวิ๋น สามปีก่อนเธอหายไปอยู่ที่ไหนมา รู้ไหมว่าพวกเราตามหาเธอจนแทบจะเป็นบ้ากันอยู่แล้ว” ถางเหวินเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ
“ขอโทษครับ ที่ทำให้พวกคุณเป็นห่วง” ฉู่ชวิ๋นรู้สึกไม่สบายใจ เขาคิดไปถึงช่วงนั้นที่เขาหายตัวไปพ่อแม่จะลำบากแค่ไหนในการตามหาเขา จะเจ็บปวดเสียใจมากขนาดไหนที่เขาหายตัวไป?
ฉู่ชวิ๋นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นใน สามปีก่อนให้คุณลุงคุณป้าฟังแต่ปิดบังเรื่องที่เขาข้ามไปต่างโลกและฝึกตนเป็นเซียน เรื่องฝึกตนนี้เป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการ ไม่พูดน่าจะดีกว่า
นี่เป็นครั้งแรกที่เขายอมพูดเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาให้คนอื่นได้รับรู้ พอฉู่ชวิ๋นพูดจบ ถางเหวินเหยียนและซ่งซื๋อก็แอบมองหน้ากัน สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกยากที่จะเชื่อ ถางโร้วรู้สึกเจ็บปวดและสงสารฉู่ชวิ๋นที่โชคร้ายขนาดนี้
ถึงอย่างไรถางเหวินเหยียนและซ่งซื๋อก็ผ่านโลกมามาก แม้ในใจจะรู้สึกตกใจแต่ก็ยังสามารถสงบสติอารมณ์ให้ไม่ตื่นตระหนก
“เสี่ยวชวิ๋น หลังจากวันนี้ไปเธอต้องระวังตัวให้มากขึ้น ฉันคิดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคนนี้ไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ แน่” ซ่งซื๋อพูดด้วยความเป็นห่วง
“คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก ตอนนี้ผมกำลังตามหาพ่อแม่อยู่เดียวต้องเจอแน่นอน” ถางเหวินเหยียนถอนหายใจ ถ้าที่ฉู่ชวิ๋นพูดเป็นความจริง ผู้อยู่เบื้องหลังต้องไม่ธรรมดาแน่นอน และฉู่ชวิ๋นคือเด็กหนุ่มที่พึ่งจะออกจากคุก ไม่มีอำนาจอิทธิพลอะไร ทำไมถึงกล้าท้าทายอีกฝ่ายขนาดนี้?
“พี่ฉู่ชวิ๋น……” ไม่รอให้ถางโร้วพูดจบ ฉู่ชวิ๋นก็ลูบหัวถางโร้วเบา ๆ และพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องแบบนี้ทำอะไรพี่ไม่ได้หรอก”
ถางโร้วคิดตามมันก็ถูก แม้แต่เฉินฮั่นหลงผู้มีอิทธิพลยังต้องมาคอยตามปรนนิบัติพี่ฉู่ชวิ๋นเลยหรือว่าตัวเธอจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไปจริง ๆ แม้ว่าจะคิดแบบนี้ได้ แต่ในใจเธอก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี
ถางเหวินเหยียนมองฉู่ชวิ๋นที่กำลังลูบหัวถางโร้วอยู่ ในใจก็ร้อนรนขึ้นมา ฉู่ชวิ๋นตอนนี้กลับมีคนปองร้าย ถ้าหากถางโร้วอยู่ใกล้ชิดกับเขาจนเกินไป มันจะไม่….
ดูเหมือนว่าเขาต้องหาโอกาสคุยแบบส่วนตัวกับลูกสาวซะแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาโหดร้าย แต่ว่าเขาเป็นเพียงแค่พนักงานธรรมดาคนหนึ่งและ เป็นพ่อธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่อยากปกป้องลูกสาวของตัวเองมันคือหน้าที่ของเขา แน่นอน พอถึงเวลาจริง ๆ เขาก็จะปกป้องฉู่ชวิ๋นด้วยเหมือนกัน
“โอเค ไม่พูดเรื่องราวที่ทำให้เจ็บปวดแล้วนะ ป้าไปจัดเตรียมอาหารแป๊บ เสี่ยวชวิ๋นรอชิมอาหารของป้านะว่ารสชาติยังจะเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า”
“ได้ครับ หลายปีมานี้ผมคิดถึงอาหารที่คุณป้าทำมาตลอดเลยละ” ซ่งซื๋อทำอาหารไวมาก เพราะว่าก่อนที่ฉู่ชวิ๋นจะมาถึงเธอก็ทำความสะอาดบ้านเรียบร้อยแล้ว ไม่นานบนโต๊ะอาหารก็จัดวางเสร็จสรรพ
“มา เสี่ยวชวิ๋น กินเยอะ ๆ!” ซ่งซื๋อคีบอาหารให้ฉู่ชวิ๋นไม่หยุด ฉู่ชวิ๋นไม่ปฏิเสธเขากล่าวขอบคุณและคีบเข้าปากเคี้ยวทันที
ถางโร้วมองฉู่ชวิ๋นด้วยความแปลกใจ ในใจก็สงสัย มันอร่อยขนาดนั้นจริง ๆ เหรอ? เธอจำได้ว่าตอนที่เธอไปกินข้าวกับฉู่ชวิ๋นที่ภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงเขายังพูดเองว่าอาหารพวกนั้นแค่พอใช้ได้ หรือว่าอาหารที่แม่ของเธอทำจะอร่อยกว่าอาหารภัตตาคารป่าไผ่สีม่วง?
“เสี่ยวลู่ ตอนนี้เธอพักอยู่ที่ไหน?” ทันใดนั้นถางเหวินเหยียนก็ถามขึ้นมา
“คุณลุง ตอนนี้ผมพักอยู่ที่บ้านเพื่อนชั่วคราว” ฉู่ชวิ๋นตอบกลับ
“เด็กคนนี้นิ พักบ้านเพื่อนแล้วมันจะสบายได้ยังไง? มานานที่นี่สิบ้านหลังนี้เหลือห้องอีกตั้งเยอะ” ซือชงไม่ได้คิดมากเหมือนถางเหวินเหยียน เธอปฏิบัติต่อฉู่ชวิ๋นดีเหมือนลูกแท้ ๆ จะว่าไปในบ้านนี้มีห้องว่างอยู่พอดี
ถางเหวินเหยียนขมวดคิ้ว ฉู่ชวิ๋นในตอนนี้ก็เปรียบเสมือนตัวอันตรายจะให้มาพักอยู่ที่นี่ได้ยังไง? แต่ว่าในเมื่อซ่งซื๋อพูดแล้ว เขาก็ไม่อยากจะพูดอะไรมากมาย
“คุณป้าไม่ต้องลำบากขนาดนั้น บ้านเพื่อนผมว่างพอดีเหมือนกัน ผมเลยพักอยู่คนเดียวไม่รบกวนเขาหรอก”
“งั้นก็ดีแล้ว ถ้าหากว่ามีอะไรไม่สบายใจ จำไว้ว่าต้องมาบอกป้านะ”
“ได้ครับ ขอบคุณ คุณป้ามากเลยนะครับ!” ฉู่ชวิ๋นรู้สึกซาบซึ้งใจมาก ความรู้สึกแบบนี้นานมากแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึก
หลังกินข้าวเสร็จ ฉู่ชวิ๋นก็คุยเป็นเพื่อนถางเหวินเหยียนและซ่งซื๋อ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วฉู่ชวิ๋นเลยลุกขึ้นยื่นเพื่อบอกลาคุณลุง คุณป้าแต่คืนวันนี้ซ่งซื๋ออยากให้ฉู่ชวิ๋นพักอยู่ที่นี่ ท่าทีและความกังวลใจของถางเหวินเหยียน ฉู่ชวิ๋นสังเกตเห็นตั้งแต่แรก แล้ว แต่เขาก็เข้าดี เขาเลยตอบปฏิเสธไปอย่างสุภาพ
หลังจากที่ฉู่ชวิ๋นเดินจากไป ถางเหวินเหยียนก็คิดไตร่ตรองอยู่สักพักและมองไปที่ถางโร้วแต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดี? เขาถอนหายใจออกมา ไว้ค่อยหาโอกาสค่อยพูดจะดีกว่า แต่จู่ ๆ เขาก็คิดออกอีกเรื่องหนึ่ง
“โร้วโร้ว พรุ่งนี้ตอนกลางคืนบริษัทพวกเราจะมีงานเลี้ยงลูกก็ไปด้วยกันสิ”
“บริษัทของพ่อแม่จัดงานเลี้ยงแล้วหนูจะไปทำไม?” ถางโร้วไม่เข้าใจ อย่าว่าแต่ถางโร้วไม่เข้าใจเลย ถางเหวินเหยียนและซ่งซื๋อเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน คนที่เชิญถางโร้วให้มาเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยก็คือเจิ้งก่วงอี้บอสใหญ่ของพวกเขา หรือเป็นเพราะว่าลูกสาวตนเป็นดารา?
ผ่านไปไม่นานทั้งสองคนเลิกคิด ตัวตนของเจิ้งก่วงอี้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า มีดาราดังแบบไหนที่เขาเชิญไม่ได้? ฉู่ชวิ๋นกลับมาบ้านพักตากอากาศเฉียนหลง ก็พบว่าเฉินฮั่นหลงยังอยู่
เฉินฮั่นหลงกำลังเก็บรวบรวมหยดน้ำ ในปากก็บ่นพึมพำอยู่คนเดียว ฉู่ชวิ๋นได้ยินสักพักก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เจ้าคนนี้พูดจาดีกับพืชไม้ดอกหญ้าใหญ่เลย
“อย่าบอกนะว่านายพักอยู่ที่บ้านฉันมาสองวันแล้ว?” ทันใดนั้นฉู่ชวิ๋นก็พูดขึ้นมา ทำให้เฉินฮั่นหลงตกใจเกือบทำขวดหยกที่อยู่ในมือหล่น
“นายท่าน นายท่านกลับมาแล้ว?” หลังจากที่ถามจบเขาก็รีบพูดออกมา
“ไม่ใช่ครับ ขวดหยกพึ่งจะมาถึงตอนบ่ายผมก็พึ่งจะมาเหมือนกัน” ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า
“นายท่าน ยังมีอีกเรื่อง! เจิ้งก่วงอี้ร้องขอให้ผมถามนายท่านว่าพรุ่งนี้บริษัทของพวกเขาจะจัดงานเลี้ยงพวกเขาหวังว่านายท่านจะเข้าร่วมด้วย”
“พรุ่งนี้ค่อยพูดเถอะ” ฉู่ชวิ๋นไม่ได้สนใจเรื่องนี้ “นายทำงานของนายต่อเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะช่วยนายแก้ไขปัญหาพลังหยดน้ำพวกนั้น” พูดถึงเรื่องนี้ เฉินฮั่นหลงก็พยักหน้าด้วยความตื่นเต้น
วันต่อมา ฉู่ชวิ๋นและเฉินฮั่นหลงก็เดินทางไปยังสำนักงานใหญ่กลุ่มเหยี่ยวมังกร ฉู่ชวิ๋นมองห้องตรงหน้าที่มีพื้นที่ สองร้อยตารางวา สีหน้าก็แปลกประหลาดใจ เฉินฮั่นหลงสั่งให้เพิ่มแผ่นเหล็กกล้าในห้องนี้ให้หนา สิบเซนติเมตรและให้คนยืนเฝ้าประตู สามคนราวกับห้องบัญชีเงินสดของธนาคาร
ผ่านไปไม่นานฉู่ชวิ๋นก็จัดการใช้ค่ายกลเรียกพลังวิญญาณให้มารวมตัวกันและยังสอนเฉินฮั่นหลงว่าเข้าออกค่ายกลยังไงด้วย
“นายท่าน งานเลี้ยงในคืนนี้ท่านจะไปไหม?” เจิ้งก่วงอี้พึ่งจะโทรมาถามอีกรอบ เฉินฮั่นหลงเลยถามฉู่ชวิ๋นอีกครั้ง
ฉู่ชวิ๋นคิดสักพัก “นายเอาที่อยู่ที่จัดงานเลี้ยงมา พอถึงเวลาฉันจะไปเอง”
“สถานที่จัดงานเลี้ยงจัดที่ภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงเลยครับ”
“โอเค เข้าใจแล้ว! นายทำงานของนายต่อเถอะ” ฉู่ชวิ๋นพูดจบก็เดินจากไป สำหรับหยดน้ำพลังเทพเซียน จะผสมยังไงให้เจือจาง จะจำหน่ายยังไงเขาให้เฉินฮั่นหลงเป็นคนจัดการทั้งหมดเลย เรื่องค้าขายเขาไม่รู้จริง ๆ พูดไปก็ขายหน้าเปล่า ๆ
แสงสียามราตรีเริ่มปรากฏ ภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงกลับดูครึกครื้นเฮฮา ภัตตาคารชั้นที่สิบ ห้องที่จัดงานเลี้ยงมีพื้นที่มากกว่าหนึ่งพันตารางเมตรงานเลี้ยงที่จัดในคืนนี้ก็จัดที่นี่
แขกทั้งหลายต่างทยอยมาถึง ครั้งนี้เจิ้งก่วงอี้เชิญคนใหญ่คนโตทุกพื้นที่มาถึงครึ่งเมืองกู่เจียง คนพวกนี้สังสรรค์และพูดคุยนโยบายการเมืองรวมถึงปัญหาใหญ่ ๆ ที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น
พวกเขาแต่ละคนแต่พูดออกมาก็สามารถทำให้ผู้คนมากมายต้องสั่นกลัวการร่วมงานครั้งนี้ถึงกับทำให้จีดีพีของเมืองกู่เจียงสูงขึ้นมาได้เลยพวกเขานับว่านอกจากมีอำนาจแล้วเงินทองก็มีมากมายราวกับเสกขึ้นมาได้
ในงานเลี้ยงก็มีเด็กหนุ่มที่อายุยี่สิบกว่าอยู่ไม่น้อย คาดว่าน่าจะมาออกงานกับพ่อแม่ พวกเขาล้วนเป็นคุณชายที่อยู่ในตระกูลใหญ่ คุณหญิงคุณนายก็เช่นกัน พวกเขาใช้ช่วงเวลานี้ทำความรู้จักกัน สังสรรค์ด้วยกันและต่างฝ่ายต่างคุยโวโอ้อวดและพูดคุยแฟชั่นทันสมัย
ถางโร้วก็เดินเข้ามาในห้องจัดงานเลี้ยงกับพ่อแม่ ชั่วพริบตาเดียวก็ดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายในงาน วันนี้ถางโร้วสวมชุดกระโปรงสีขาวและมีผ้ามัดไว้ที่เอว ผมที่พลิ้วสลวยถูกปล่อยไว้ข้างหลัง เธอแต่งหน้าเบา ๆ ผิวพรรณขาวเนียนดั่งหิมะ ต้นคอห้อยเครื่องประดับสร้อยคอที่เป็นรูปหัวใจสีน้ำเงินหนึ่งเส้น ดูมีออร่าที่คนธรรมดาไม่มี ดูแล้วเงียบสงบแต่ก็หรูหราล้ำค่า
เมื่อถูกผู้คนทั้งหลายจ้องมอง ถางโร้วก็รู้สึกเขินอายจนก้มหัวลงเล็กน้อย ถางเหวินเหยียนและซ่งซื๋อก็รู้สึกกังวลใจเหมือนกัน พวกเขาเป็นเพียงแค่พนักงานธรรมดา ๆ ทำไมถึงได้มีโอกาสมางานแบบนี้กันนะ
มองผ่าน ๆ ในห้องจัดงานเลี้ยงนี้ ต่ำที่สุดก็คือตำแหน่งผู้จัดการบริษัทใหญ่ ถางเหวินเหยียนเป็นแค่ผู้จัดการเล็ก ๆ นับว่าต่ำต้อยที่สุดในงานไม่มีอะไรให้พูดถึงจริง ๆ