ตอนที่ 13 ส่งออกไปนอกจวน

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 13 ส่งออกไปนอกจวน

“ตรวจโรค ? ”

อันหลิงอีเหลือบมองไปทางหมอชราชุดเทา ก็นึกถึงผื่นแดงที่ขึ้นบนใบหน้าอย่างไร้สาเหตุขึ้นมา จึงยอมให้หมอซุนตรวจชีพจรอย่างง่ายดาย

ทันทีที่ท่านหมอซุนจับไหมตรวจชีพจร คิ้วก็ขมวดแน่นขึ้น

เมื่อเห็นท่าทีของหมอซุนเช่นนี้ เป็นเหตุให้อันอิงเฉิงรู้สึกหนักใจขึ้นมาและอดมิได้ที่จะกังวล

“ท่านหมอซุน คุณหนูรองอาการเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

“เรียนท่านโหว ชีพจรของคุณหนูรองมิต่างกับของคุณหนูใหญ่เท่าใดนักขอรับ คงจะ……เป็นโรคเดียวกันขอรับ”

เมื่อได้รับฟังจบเป็นเหตุให้หลี่ซื่อรู้สึกคล้ายกับจะหน้ามืดขึ้นมา มีเสียงอื้ออึงอยู่ข้างในหู เนื่องจากโรคฝีดาษนั้นถือเป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต !

 อีเอ๋อของนางจะเป็นโรคฝีดาษได้เยี่ยงไรกัน !

“ตรวจผิดแล้วกระมังท่านหมอ รบกวนตรวจดูใหม่อีกที อีเอ๋อมิมีทางเป็นโรคฝีดาษหรอก ! ”

หลี่ซื่อยื่นมือไปจับที่แขนเสื้อของหมอซุนแล้วเอ่ยถามออกไปอย่างร้อนรน พลันใบหน้าของนางก็ซีดลง และเต็มไปด้วยความกังขา

อันหลิงอีที่อยู่ด้านข้างกำลังสับสน

“ฝีดาษอันใด ท่านแม่ ท่านพูดถึงเรื่องอันใด ? ”

อันหลิงเกอจึงเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “น้องหญิง เลิกปิดบังเรื่องที่เจ้าเป็นโรคฝีดาษได้แล้ว เจ้าเอาโรคฝีดาษมาติดข้า เรื่องนี้ข้าจะมิโทษเจ้า แต่หากเจ้ายังปิดบังเยี่ยงนี้ต่อไปแล้วทำร้ายคนทั้งจวนขึ้นมาจะทำเยี่ยงไร ? ”

ในตอนนี้อาการจับต้นชนปลายมิถูกของอันหลิงอี กลับกลายเป็นการแสร้งทำเพื่อต้องการปิดบังความจริงแทนเสียแล้ว เดิมทีอันอิงเฉิงยังรู้สึกปวดใจที่ลูกสาวทั้งสองต้องมาเป็นโรคฝีดาษ แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของอันหลิงเกอแล้ว ความรู้สึกสงสารที่มีให้กับลูกสาวคนรองก็มลายหายไปจนสิ้น

เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดุดันขึ้น โดยมิฟังความคิดเห็นจากใครอีกว่า “มิต้องมาแสร้งทำเป็นมิรู้เรื่อง หลิงเกอต้องมาลำบากเพราะฝีดาษที่เจ้าแพร่เชื้อให้ เจ้ายังคิดจะทำร้ายคนทั้งจวนอีกหรือ ? เจ้ารีบไปเก็บข้าวของแล้วไปรักษาตัวกับหลิงเกอที่วัดชิงอวิ๋นเดี๋ยวนี้ ! ”

“โรคฝีดาษอันใด วัดชิงอวิ๋นอัน พวกท่านพูดถึงเรื่องอันใดกัน ? ” อันหลิงอีรู้สึกสับสนไปหมด เข้าใจแค่เพียงประโยคสุดท้ายเพียงเท่านั้น

“ให้ข้าไปตกระกำลำบากอยู่ที่วัดชิงอวิ๋นกับนาง ข้ามิไปเด็ดขาด ! ” นางกล่าวไปก็ยื่นมือไปเขย่าที่แขนเสื้อของอันอิงเฉิง แต่กลับถูกเขาหลบเลี่ยง ทำราวกับนางเป็นตัวเชื้อโรคก็มิปาน อันหลิงอีทำหน้ามุ่ยอย่างน่าสงสาร ท่าทางที่นางแสดงออกนั้นกลับมิได้ทำให้อันอิงเฉิงใจอ่อนลงแม้แต่น้อย

“ดูลูกสาวของเจ้าซะ ถึงขนาดนี้แล้วยังมิคิดถึงส่วนรวมอีก เห็นแก่ตัวได้ถึงเพียงนี้ มิสมกับเป็นบุตรีของจวนโหวเลยแม้แต่นิดเดียว”

อันอิงเฉิงหันหน้าไปตวาดใส่หลี่ซื่อ โดยมิสนใจสักนิดว่านางจะเศร้าเสียใจเพียงใด พร้อมกับหันไปสั่งการกับบ่าวรับใช้อย่างเย็นชา

“ไปบอกให้พ่อบ้านเตรียมรถม้า ให้พาคุณหนูทั้งสองไปส่งที่วัดชิงอวิ๋นตั้งแต่ตอนที่ฟ้ายังมิมืด”

“ข้ามิไป ! ”

อันหลิงอีนั้นถูกตามใจตั้งแต่เล็ก จะยอมไปอยู่ที่วัดเช่นนั้นได้เยี่ยงไรกัน นางจึงได้ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น

อันอิงเฉิงหันกลับมาจ้องมองหน้านางด้วยแววตาเย็นชา

“เจ้ามีเวลาเก็บของเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น หากเจ้ามิยอมไปวัดชิงอวิ๋น ก็ออกจากจวนโหวนี้ไปซะ”

“ท่านพ่อ ! ”

อันหลิงอีมองแววตาที่เย็นชาของเขาอย่างประหลาดใจ ยังอยากที่จะคัดค้าน แต่กลับถูกแม่ของตนจ้องด้วยแววตาดุดัน จึงได้เงียบปากลงและมิได้พูดสิ่งใดอีก

อันอิงเฉิงคล้ายกับโมโหอย่างมาก เมื่อพูดประโยคนั้นจบก็เร่งเดินออกไปจากเรือนฉีอู๋ทันที

อันหลิงเกอที่อยู่ด้านหลังจึงได้เผยรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา

“ท่านพ่อกล่าวว่าน้องหญิงมีเวลาเก็บของเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น เกรงว่าคงมิใช่เรื่องล้อเล่น อี๋เหนียงมิรีบไปช่วยน้องหญิงหรือเจ้าคะ ? ”

นางยิ้มอย่างอบอุ่นอ่อนโยน พูดจาราวกับเอาใจใส่ แต่กลับทำให้หลี่ซื่อรู้สึกหนาวเย็นตั้งแต่กระดูกสันหลังไปจนถึงขั้วหัวใจ นางคิดว่าอันหลิงเกอแค่ถูกต้อนให้จนมุมก็เลยมาแว้งกัดนาง ใครจะคิดว่านังตัวดีจะเลวได้ถึงเพียงนี้ ยอมให้ตัวเองถูกส่งไปอยู่ที่วัด อีกทั้งยังลากเอาอีเอ๋อไปด้วยอีกคน

นังตัวแสบ !

หลี่ซื่อกำหมัดแน่นด้วยความโกรธแค้น จนข้อนิ้วมือเปลี่ยนเป็นสีขาวไปหมด พร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “ข้าต้องไปช่วยอีเอ๋อเตรียมตัวอยู่แล้ว แต่เกอเอ๋อมีเพียงตัวคนเดียว ไปที่วัดนั่นมิมีใครคอยเป็นเพื่อน หากเกิดอันใดขึ้นเกรงว่านายท่านก็คงจะมิสามารถช่วยอันใดได้”

หลี่ซื่อโมโหอย่างมาก ในคำกล่าวจึงแฝงไปด้วยการข่มขู่ อันหลิงเกอก็เป็นแค่เด็กกำพร้ามิมีแม่ คิดว่านางจะจัดการมิได้เยี่ยงนั้นหรือ ?

แต่อันหลิงเกอทำราวกับมิเข้าใจอันใดเลย นางเพียงแค่ยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วให้ปี้จูส่งทั้งสองคนออกจากเรือนไป ครึ่งชั่วยามผ่านไปไวราวพริบตา อันหลิงเกอมารอที่ประตูจวนอยู่นานแล้ว ด้านข้างมีปี้จูยืนอยู่ ส่วนลู่จิงอวี่นั้นถูกนางสั่งให้ทำงานอยู่ที่จวน คนขับรถม้านั่งรอจนง่วง อันหลิงอีจึงได้เดินออกมาจากจวนด้วยความมิพอใจอย่างมาก ด้านหลังมีสาวใช้สองคน ทั้งคู่อุ้มห่อผ้าห่อใหญ่เอาไว้คนละหนึ่งใบ

เมื่อเห็นเยี่ยงนั้นอันหลิงเกอจึงเอ่ยล้อเลียนออกมาว่า “น้องหญิง เจ้าจะย้ายจวนหรือเยี่ยงไร ? ”

จากนั้นอันหลิงเกอก็ส่งยิ้มให้อย่างสนิทสนม แต่กลับทำให้อันหลิงอีโกรธจนหน้าแดง

“อันหลิงเกอ อย่าคิดว่าข้ามิรู้นะ ว่าเรื่องโรคฝีดาษนั่นเป็นเรื่องโกหก ข้ามิรู้สึกว่ามิสบายเลยสักนิด จะเป็นโรคฝีดาษได้เยี่ยงไร ? เจ้าน่ะสิ……”

นางจ้องไปที่อันหลิงเกอด้วยแววตาร้ายกาจ พูดจามิไว้หน้าแม้แต่นิดเดียว

“ฟ้าดินยังมิปล่อยเจ้าไปเลย จึงให้โรคฝีดาษมาพรากชีวิตเจ้าไป ช่างน่าสงสารเสียจริง”

“ใช่แล้ว ข้าช่างน่าสงสารถึงเพียงนี้ แต่น้องหญิงกลับอยู่ใกล้ข้าถึงเพียงนี้ มิรู้ว่าติดจากข้าไปด้วยหรือยัง”

อันหลิงเกอยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น แต่แววตาแฝงความเย็นชาและการข่มขู่เอาไว้ในที ทำให้อันหลิงอีตกใจรีบถอยหลังไปจนเกือบจะล้มลงกับพื้น

“เจ้า เจ้า เจ้า ไปให้ห่างจากข้า ! ”

 นางยื่นมือไปผลักอันหลิงเกออย่างแรงด้วยความตกตะลึงงัน ทำให้อีกฝ่ายเซล้มไปที่อกของปี้จู

“คุณหนูใหญ่เป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ ? ”

ปี้จูรีบพยุงเจ้านายของตัวเองให้ลุกขึ้น ใบหน้าขาวซีดเต็มไปด้วยความโมโห

 “คุณหนูรองเจ้าคะ ต่อให้ท่านจะมิชอบคุณหนูใหญ่เยี่ยงไร แต่ก็มิควรผลักนางเยี่ยงนี้นะเจ้าคะ ก่อนหน้านี้ที่คุณหนูใหญ่ตกน้ำก็เป็นเพราะท่าน ร่างกายยังมิหายดี หากเกิดอันใดขึ้นมาอีกจะทำเยี่ยงไรล่ะเจ้าคะ ? ”

“เจ้าเป็นแค่บ่าวรับใช้ กล้าพูดจาล่วงเกินข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

อันหลิงอีโมโหจนหน้าแดง ยกมือขึ้นกำลังจะตบลงไปที่ใบหน้าของปี้จู

“หยุดเดี๋ยวนี้ ! ”

เสียงอันน่าเกรงขามของบุรุษดังขึ้น อันอิงเฉิงเดินเข้ามาด้วยใบหน้านิ่งขรึม ดวงตาที่หันไปทางอันหลิงอีเต็มไปด้วยความผิดหวังที่ยากจะบรรยาย

“มิรู้จักที่ต่ำที่สูง มิเคารพพี่สาวตนเอง อันหลิงอี นี่เจ้าลืมคำสั่งสอนของตระกูลอันไปจนหมดสิ้นแล้วหรือเยี่ยงไร”

“ท่านพ่อ ท่านมาได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ? ”

อันหลิงอีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงทันที พร้อมกับรีบลดมือที่ยกค้างไว้ลง กลัวว่าอันอิงเฉิงจะเข้าใจผิดจึงรีบอธิบายว่า  “นางคนรับใช้นี่มันพูดจาล่วงเกินข้าก่อนนะเจ้าคะ ข้าจึงจะสั่งสอนมัน ข้ามิได้จะทำอันใดพี่หญิงเลยนะเจ้าคะ”

“หึ ! มิได้ทำอันใดหลิงเกอเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

อันอิงเฉิงหัวเราะเสียงเย็นยะเยือกออกมา

“เยี่ยงนั้นผู้ใดกันที่เป็นคนผลักนางเมื่อครู่ ? ”

เมื่อได้ฟังอันหลิงอีก็ตกตะลึงงัน แล้วเอ่ยพึมพำกับตนเองออกมาว่า “แย่แล้ว ท่านพ่อรู้ได้เยี่ยงไรกัน ? ”

อันหลิงอีขย้ำชายเสื้ออย่างประหม่า พร้อมก้มหน้าลงมิกล้ากล่าวสิ่งใดออกมา

เมื่อได้เห็นท่าทางเศร้าสร้อยของนาง ในที่สุดอันอิงเฉิงก็เริ่มใจอ่อนลง

“ช่างเถอะ ไปถึงวัดชิงอวิ๋นแล้ว เจ้าก็จงทำตัวให้ดีกับพี่หญิงของเจ้าล่ะ พ่อจะรีบเข้าวังไปเชิญหมอหลวงมารักษาพวกเจ้า”

“ท่านพ่อวางใจ ลูกจะดูแลน้องหญิงอย่างดีเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน เผยกิริยาของบุตรีฮูหยินใหญ่ออกมา และได้นึกคิดกับตนเองเพียงในใจว่านี่คือสนามรบที่นางเลือกมาแล้ว หวังว่าอันหลิงอีคงมิทำให้นางผิดหวังหรอกนะ