บทที่ 39 เขาวงกตของแมงมุม

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

ผู้บำเพ็ญเซียนที่ขี่ม้าคนนั้น กำลังทำอะไรอยู่ด้านหลังม้าอย่างลำบาก ครู่หนึ่ง จึงเห็นเขาถือก้อนหินเล็กๆ เปื้อนเลือดในมือ

ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลายที่มากับเขาถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาแค่สั่นศีรษะ ไม่รู้ว่าใครดีดก้อนหินเข้าไปในก้นม้าของเขา ทำให้ม้าท่าชิงหลิงที่ฉลาดและเชื่อฟังมาตลอดเกิดบ้าคลั่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน จนเกือบจะควบคุมไม่อยู่ทำให้เขาเป็นอาหารหอยกาบโคลน

ตอนนั้นนอกจากจินเฟยเหยาที่ยืนอยู่ข้างกายเขา คนทั้งสามล้วนมาด้วยกันกับเขา เขาไม่เชื่อว่าคนเหล่านี้จะทำ ทว่ามองดูจินเฟยเหยา นางกำลังเบิกตาโตอย่างน่ารัก มองม้าท่าชิงหลิงด้วยสีหน้าเห็นใจ มองอย่างไรก็ไม่เหมือนนางเป็นผู้กระทำ

เขาได้แต่โยนก้อนหินในมือทิ้งอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นร่ายเวทควบคุมน้ำ ช่วยม้าท่าชิงหลิงล้างดินโคลนก่อน ช่างเป็นคนดีที่รักถนอมสัตว์ภูติจริงๆ ยินยอมให้ตนเองสกปรกแทบตาย ก็ต้องอาบน้ำสัตว์ภูติสุดที่รักให้สะอาดก่อน

คนทั้งสามด้านหลังก็ไล่ตามขึ้นมาติดๆ เฉียนเฟิงรอจนหมดความอดทนนานแล้ว เห็นทุกคนมาพร้อมหน้า ก็เตรียมออกเดินทางทันที ม้าตัวนั้นอาบน้ำจนสะอาด ทว่าคนกลับยังเลอะโคลนทั้งตัว เฉียนเฟิงไม่รอคอยเขา เขาจึงได้แต่พาร่างที่เปื้อนโคลนติดตามทุกคนอยู่ด้านหลัง

ผู้บำเพ็ญเซียนสามคนที่มาทีหลังเอ่ยกับผู้บำเพ็ญเซียนที่เลอะโคลนไม่กี่ประโยค สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป จ้องมองจินเฟยเหยาอย่างดุร้าย ทว่าจินเฟยเหยากลับมองเขาด้วยสีหน้างุนงง มีสีหน้าเหมือนไม่เข้าใจ ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงถลึงตาใส่นาง ผู้บำเพ็ญเซียนที่เปื้อนโคลนมีโทสะทว่าไร้ทางระบาย ข้อสำคัญคือกลัวเฉียนเฟิงมีโทสะ ได้แต่จำความแค้นในการดีดม้าครั้งนี้ไว้ในใจ

เทือกเขาด้านหลังหาดโคลนเหลืองมีชื่อว่าเขาจี๋เหนี่ยว ต้นไม้ในเทือกเขาขนาดใหญ่แห่งนี้มีสายพันธุ์เดียว มีเพียงต้นไม้ชนิดที่เรียกว่าต้นซ่างตู้เซิง ต้นไม้แต่ละต้นล้วนสูงถึงสิบกว่าจั้ง ลำต้นที่เล็กที่สุดก็มีขนาดห้าหกคนโอบ ทั้งเทือกเขานอกจากต้นไม้ยักษ์เหล่านี้ก็เต็มไปด้วยถ้ำน้อยใหญ่อย่างหนาแน่น

ในเทือกเขามีนกนานาชนิดขนาดใหญ่น้อย รังนกส่วนมากล้วนสร้างอยู่บนต้นไม้ยักษ์เหล่านั้น มีตั้งแต่นกยุงขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองไปจนถึงนกตั่วยักษ์ขนาดใหญ่ยาวสามสี่จั้ง มีหมดทุกชนิด นกส่วนมากล้วนกินแมงมุมตาผีในถ้ำเป็นอาหาร ส่วนสิ่งที่แมงมุมตาผีชอบกินมากที่สุดคือไข่นก สิ่งมีชีวิตสองชนิดอาศัยอยู่ในเทือกเขาจี๋เหนี่ยวอย่างพึ่งพากันและเป็นดาวข่มกัน

มองดูถ้ำขนาดเท่าชามอ่างที่แน่นขนัดใต้เท้า จินเฟยเหยารู้สึกหนังศีรษะชา แมงมุมตาผีซ่อนอยู่ใต้พื้นมากมายเพียงใดกันแน่

คนกลุ่มนี้เดินลดเลี้ยวติดตามเฉียนเฟิงมาถึงปากถ้ำที่มีขนาดสูงครึ่งตัวคนแห่งหนึ่ง ถ้ำแห่งนี้ธรรมดาอย่างยิ่ง มองไม่ออกว่ามีอะไรแตกต่างจากถ้ำอื่นๆ ตรงปากถ้ำมีแมงมุมตาผีขั้นหนึ่งขนาดเท่าสองกำปั้นหลายตัว เพิ่งโผล่มาได้แค่ครึ่งตัวก็พบว่าปากถ้ำมีคนยืนอยู่เต็มไปหมด แมงมุมทั้งหมดก็ตกใจกลับเข้าไป “ทางเข้าอยู่ตรงนี้ พวกเราเข้าไปจากที่นี่” เฉียนเฟิงยืนอยู่หน้าถ้ำ เข้าไปด้านในแล้วโยนเวทอัคคีระดับสร้างฐานออกมา เห็นมังกรเพลิงตัวหนึ่งพุ่งเข้าไปในถ้ำ ด้านในมีเสียงดังเพี๊ยะพะ ควันดำปนกลิ่นเหม็นลอยออกมา ท่าทางเปลวไฟนี้จะเผาได้อย่างเรืองโรจน์

ทุกคนต่างไม่เข้าใจ ถ้ำขนาดสูงครึ่งตัวคนเช่นนี้ ผู้อาวุโสเฉียนเฟิงมุดตัวเข้าไปข้างใน และพบว่าด้านในมีบัวเซียนอัคคีได้อย่างไร เสียงภายในถ้ำค่อยๆ เงียบลง เฉียนเฟิงใช้ชายเสื้อโบก ลมหมุนหอบหนึ่งก็พัดเข้าไปภายในถ้ำ พัดพาให้ควันในถ้ำทั้งหมดกระจายหายไป

จากนั้นเฉียนเฟิงจึงนำทุกคนก้มตัวมุดเข้าไปในถ้ำ

จินเฟยเหยามุดตามหลังหลิ่วฉี่ปอเข้าไปในถ้ำ เบื้องหน้าเป็นความมืดมิด ยื่นมือออกมาก็มองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า เสียงดัง “เพี๊ยะ” เฉียนเฟิงที่อยู่เบื้องหน้าโยนบอลไฟขนาดเล็กออกมา บอลไฟลอยอยู่ด้านหน้าเขา ส่องสว่างในถ้ำ เพียงแต่จินเฟยเหยาติดตามอยู่ด้านหลัง แสงไฟถูกคนเบื้องหน้าบดบังเอาไว้ เห็นเพียงเงาตะคุ่มๆ ภายในถ้ำสูงครึ่งตัวคนและทอดยาวสายนี้

ทุกคนค่อยๆ ทยอยกันนำวัตถุส่องสว่างออกมา คนที่ควบคุมเปลวไฟให้ลอยอยู่กลางอากาศได้เป็นเวลานานเช่นเฉียนเฟิงมีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานเท่านั้นที่สามารถทำได้ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณย่อมใช้สิ่งอื่นแทน คนส่วนมากล้วนนำหินแสงราตรีก้อนเล็กๆ มาออกมาแขวนไว้บนโซ่ จินเฟยเหยาก็นำหินแสงราตรีออกมาแขวนไว้ตรงเอวเช่นเดียวกัน

ก้มตัวเดินอยู่ในถ้ำที่สูงครึ่งตัวคน บางครั้งข้างเท้าจะเหยียบโดนซากที่ไหม้เกรียมของแมงมุมตาผี บางครั้งก็ได้ยินเสียงของเฉียนเฟิงเผาแมงมุมตาผีตายดังมาจากด้านหน้า ไม่รู้ว่ามีเสียงน้ำหยดดังมาจากที่ใด ดังสะท้อนอยู่ในอุโมงค์

ไม่รู้ว่าเดินมานานเพียงใด ได้ยินหลิ่วฉี่ปอที่เบื้องหน้าเอ่ยเตือนว่า “ระวังใต้เท้า” อาศัยแสงไฟที่อ่อนจาง จินเฟยเหยาเห็นเบื้องหน้าพลันเปิดกว้างขึ้นอย่างกะทันหัน ใต้เท้ามีระดับแตกต่างกันเล็กน้อย นางก้าวยาวๆ ข้ามไป

หลังจากยืนได้มั่นคง จินเฟยเหยาพบว่าตอนนี้ทุกคน อยู่ในโพรงถ้ำธรรมชาติขนาดยักษ์ เหนือศีรษะมีหินย้อยงอกยาว บนพื้นชื้นแฉะ เสียงน้ำหยดที่ดังสะท้อนในถ้ำแคบๆ มาตลอดเป็นเสียงน้ำที่หยดลงมาจากหินย้อย

ในเงาของหินย้อยมีเสียงเคลื่อนไหวซ่าซ่าดังมา เพราะถ้ำธรรมชาติมีขนาดใหญ่เกินไป จึงมองไม่เห็นว่าด้านในมีสิ่งใดซ่อนอยู่

ทันใดนั้น รอบด้านก็สว่างขึ้น ด้านหลังเหมือนมีดวงอาทิตย์ขึ้นมา สาดส่องถ้ำที่สูงห้าหกจั้งทั้งหมดให้สว่างไสว เห็นภายในถ้ำมีแมงมุมตาผีจำนวนนับไม่ถ้วนเผยออกมาให้เห็นภายใต้แสงสว่าง และพยายามแทรกไปอยู่ตามเงามืดของถ้ำอย่างเอาเป็นเอาตาย ภายในสถานที่อันมืดมิดสว่างขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้จินเฟยเหยาตาพร่า นางใช้มือบดบังแสงแล้วมองไปด้านหลัง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ผู้บำเพ็ญเซียนที่มีสีเหลืองทั้งตัวถือท่อนไม้ยาว ด้านบนมีหินแสงราตรีขนาดใหญ่เท่าศีรษะฝังอยู่ด้านบน เขาชูหินขึ้นดุจเทพลงมาสู่โลกมนุษย์ ยืนอยู่เบื้องหน้าทุกคนด้วยรัศมีแสงหมื่นจั้ง ทุกคนมองเขาอย่างหมดวาจา เห็นเขาชูหินแสงราตรีอย่างกระหยิ่ม โคลนที่เปื้อนร่างร่วงลงมาไม่หยุด

หินแสงราตรีเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเซียนใช้แทนแสงเทียน ถูกร้านค้าหัวใสทำจนมีหลากหลายชนิด หินแสงราตรีของหลิ่วฉี่ปอสลักเป็นรูปผีเสื้อ ส่วนของจินเฟยเหยามีลักษณะเป็นห่วงสมปรารถนา ถึงแม้นางจะเคยเห็นหินแสงราตรีในร้านมามากมาย เช่นหินแสงราตรีที่สลักเป็นรูปสตรีเปลือยกายขนาดเท่าตัวคนจริง ทว่ากลับไม่เคยเห็นว่ามีคนวางตะเกียงหินแสงราตรีไว้นอกเรือน นำมาใช้เป็นคบไฟ

มองผู้บำเพ็ญเซียนสมองมีปัญหาคนนี้ เฉียนเฟิงสูดลมหายใจลึกๆ ตะโกนเสียงเย็นชาใส่ทุกคน “ยังไม่รีบจัดการเปิดเส้นทางอีก มัวตกตะลึงอยู่ทำไม”

เห็นภายในถ้ำมีปากถ้ำสิบกว่าแห่ง บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกจ้างมาก็เอ่ยถามอย่างช่วยไม่ได้ “ผู้อาวุโส เส้นทางมากมายขนาดนี้ จะให้พวกเราจัดการเปิดเส้นทางสายใด?”

เฉียนเฟิงชี้ปากถ้ำแห่งหนึ่งที่สามารถให้คนสองคนเดินเคียงคู่กันไปได้ “พวกเราจะไปเส้นทางนี้ พวกเจ้าไปเบิกทาง”

ทุกคนล้วนใช้เงินจ้างคนทำงาน เดิมทีก็มาเพื่อทำงานอยู่แล้ว ย่อมไม่พูดอะไรมากเป็นธรรมดา เดินขึ้นไปเตรียมทำงานอย่างหดหู่ ส่วนจินเฟยเหยาหยิบดาบโค้งวงเดือนออกมา คิดไม่ถึงว่าดาบเล่มนี้จะยังอยู่ในสภาพดีจนถึงตอนนี้ เห็นจำนวนครั้งที่ใช้ได้น้อยจนน่าสงสาร

ทั่วร่างแมงมุมตาผี มีเพียงดวงตาสีฟ้าคู่เดียวที่สามารถใช้หลอมอาวุธได้ อีกทั้งราคาก็ต่ำยิ่ง ยุงนั้นถึงมีขนาดเล็กก็เป็นเนื้อ จินเฟยเหยาถือดาบโค้งวงเดือนเดินขึ้นไปเตรียมตัวฆ่าแมงมุมตาผีอย่างยินดี

เห็นเวทมนตร์โจมตีบนร่างแมงมุมตาผีอย่างต่อเนื่อง เบื้องหน้านางมีทะเลเพลิงปรากฏขึ้น แมงมุมตาผีจำนวนนับไม่ถ้วนพกพาไฟท่วมร่างวิ่งหนีเข้าไปในถ้ำรอบด้าน ครู่หนึ่ง แมงมุมตาผีนับร้อยก็ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน จัดการเปิดตรงปากถ้ำออกเป็นทาง

มีอะไรผิดไปหรือไม่ ทุกคนล้วนใช้เวทอัคคีเผาแมงมุมตาผี จะให้ข้าเก็บดวงตาแมงมุมอย่างไร จินเฟยเหยาเงื้อดาบ มองพวกเขาโยนเวทอัคคีอย่างทุ่มเท รู้สึกวุ่นวายใจยิ่ง

ส่วนหลิ่วฉี่ปอมองจินเฟยเหยาแล้วยิ้มขื่นๆ อย่างช่วยไม่ได้และเข้าร่วมในกลุ่มคนที่เผาแมงมุม

คนหลายคนยืนอยู่ตรงปากถ้ำไม่ได้ เพื่อไม่ให้คนหาข้ออ้างขี้เกียจ ทุกคนจึงผลัดกันโยนเวทอัคคีเข้าไปในถ้ำ จินเฟยเหยาย่อมไม่อาจนำดาบไปตัด เมื่อถึงรอบของนาง นางจึงโยนเวทอัคคีเล็กน้อยออกไป ดาบโค้งวงเดือนที่นำออกมาไม่มีประโยชน์เลยสักนิด

ทุกคนผลัดเปลี่ยนกันเบิกเส้นทางสายนี้ ตลอดทางราบรื่นอย่างยิ่ง พบแต่แมงมุมตาผีขั้นหนึ่ง และไม่พบสัตว์ปิศาจอื่นๆ ถ้ำศิลาเกิดขึ้นโดยธรรมชาติเดินมาได้ไม่นานก็มักจะมีทางแยกปรากฏขึ้น เวลานี้ต้องถามเฉียนเฟิง ว่าควรจะไปทิศทางใด

เฉียนเฟิงก็ไม่ได้ใช้สิ่งของใดนำทาง ทุกครั้งล้วนยืนอยู่ที่ปากทางแยก ราวกับดมอะไร จากนั้นเลือกเส้นทางออกมาสายหนึ่ง

จินเฟยเหยาก็เลียนแบบท่าทางของเขา ใช้การดมกลิ่นในอากาศ ทว่านอกจากกลิ่นแมงมุมตาผีเหม็นไหม้ นางก็ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย ถึงแม้ในถ้ำศิลาจะเหมือนอยู่ในเขาวงกต มีเฉียนเฟิงนำทางไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทาง ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนส่วนมากล้วนขมวดคิ้ว

รสชาติของการมอบชีวิตไว้ในมือของผู้อื่นเช่นนี้ไม่ค่อยดีนัก ถึงแม้จะดูไม่ออกว่าทุกคนมีอะไรแปลกไป ทว่านางรู้สึกได้ว่า ดูเหมือนทุกคนจะแอบทิ้งสัญลักษณ์ไว้เงียบๆ จินเฟยเหยาเองก็คิดจะเล่นลูกไม้นิดหน่อยบันทึกเส้นทางไว้ ทว่ากลับพบว่าตนเองไม่มีความสามารถเช่นนั้น ได้แต่ล้มเลิกไป

อย่างไรเสียแมงมุมตาผีที่ถูกเผาไหม้เกรียมจนเกลื่อนพื้น กลิ่นคงอยู่เนิ่นนานไม่จางหายไป ถือว่ากลิ่นไหม้เหล่านั้นเป็นเครื่องนำทางแล้วกัน ไม่รู้ว่าสวรรค์ต้องการต่อต้านนางใช่หรือไม่ ยิ่งเดินเข้าไปข้างใน แมงมุมตาผีขั้นหนึ่งก็ยิ่งลดลง สุดท้าย คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีแมงมุมตาผีโผล่มาสักตัว

เห็นถ้ำเงียบเป็นเป่าสาก ทุกคนก็ได้กลิ่นอันตราย ช่วยไม่ได้ที่ความเคลื่อนไหวจะช้าลง ทว่ายามนี้ถึงรอบจินเฟยเหยานำหน้าเปิดเส้นทาง มือของนางกุมดาบโค้งวงเดือนราคาถูก ฝืนเดินไปข้างหน้า ผู้ใดจะรู้ว่าภายในถ้ำที่สว่างไสวดุจกลางวันเมื่อครู่พลันมืดสนิท

“คิดจะทำร้ายคนให้ตายหรือ เหตุใดจู่ๆ จึงเก็บหินแสงราตรี” จินเฟยเหยารีบล้วงหินแสงราตรีของตนเองออกมา เอ่ยด่าทอด้านหลังด้วยโทสะ ส่วนคนที่เหลือนำหินแสงราตรีออกมา มองผู้บำเพ็ญเซียนโคลนเหลืองอย่างไม่เข้าใจ

หลังจากผู้บำเพ็ญเซียนโคลนเหลืองนำหินแสงราตรีออกมา ทุกคนก็เก็บหินแสงราตรีของตนเอง มีสิ่งของที่สว่างไสวขนาดนี้ เหตุใดพวกเขาต้องทำเรื่องยุ่งยากด้วย เขาชูหินแสงราตรีอย่างซื่อสัตย์มาตลอดทาง เมื่อครู่เพิ่งเปลี่ยนให้จินเฟยเหยาเบิกทาง เขาก็เก็บหินแสงราตรี

“นางทำร้ายม้าของข้าบาดเจ็บ ยังคิดจะให้ข้าส่องแสงให้นางอีก ไม่มีเรื่องได้เปรียบขนาดนั้น” ผู้บำเพ็ญเซียนโคลนเหลืองมีสีหน้าอึมครึมในรัศมีแสงที่มืดสลัว เอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด

จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูก “ผู้ใดจะให้ราคาก้อนหินเน่าๆ ของเจ้ากัน คนโง่งมจึงยกหินแสงราตรีที่ใหญ่ขนาดนั้น ทำเป็นตะเกียงมนุษย์”

เฉียนเฟิงจับจ้องคนทั้งสองดุจพยัคฆ์จ้องมองเหยื่อ หากกล้าทะเลาะกันอีก จะฟาดเจ้าจอมหาเรื่องทั้งสองคนให้ตาย จินเฟยเหยายิ้ม ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเขาอีก หยิบหินแสงราตรีก้อนเล็กของตนเองออกมาสำรวจทาง

เพราะแสงมืดลง ถ้ำที่เงียบอยู่นานจึงค่อยๆ มีเสียงเคลื่อนไหวของแมงมุมตาผีดังซ่าซ่ามาอีก เพียงแต่ทั้งหมดซ่อนตัวอยู่ในที่มืด ทุกคนได้ยินแต่เสียงของมันทว่าไม่เห็นตัว