ตอนที่ 36 อับอายขายขี้หน้า

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ผู้คนมักมีอคติจากประสบการณ์ครั้งแรกพบ 

 

 

ความทรงจำล่าสุดของหลี่ไอ้หรงเกี่ยวกับฉินหร่าน คือตอนที่อาจารย์ใหญ่สวีมอบเอกสารส่วนตัวให้กับเธอ ในตอนนั้นเองภาพจำต่อฉินหร่านของเธอก็พังทลาย 

 

 

เมื่อเธอได้ยินรายงานเกี่ยวกับการทะเลาะวิวาทของฉินหร่านกับเจี่ยงหัน เธอก็รุดไปที่ห้องเก้าด้วยความฉุนเฉียว “คุณเกา ฉันเคยบอกคุณไปนานแล้วนะว่าเราไม่ต้องการนักเรียนคนนี้ โรงเรียนนี้เป็นที่ที่เธอจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ เคยเห็นนักเรียนคนไหนทำแบบนี้หรือเปล่า” 

 

 

นักเรียนทั้งชั้นหันมามองเธอ 

 

 

ฉินหร่านพลิกหน้าหนังสืออย่างใจเย็นแล้วเอนตัวพิงผนัง เธอหรี่ตาลงเล็กน้อย จึงดูเหมือนว่าเธอจะไม่ใส่ใจอะไรเลย 

 

 

“คุณหลี่ นี่อาจเป็นการเข้าใจผิด ฉินหร่านไม่ใช่นักเรียนที่ไม่มีเหตุผล ให้เราได้อธิบายก่อน…” เกาหยางไม่ค่อยพอใจนัก ก่อนเดินไปที่ประตูแล้วจัดแว่นตาของเขา 

 

 

“เข้าใจผิดเหรอ เข้าใจผิดแบบไหนได้บ้างล่ะ คุณเกา ฉันไม่อยากคุยกับคุณแล้ว ถ้าเธอไม่อยากให้ทั้งห้องเรียนได้ดี ฉันอยากให้ทั้งห้องทำได้ดีในระหว่างที่สอบ ฉันจะลองคุยกับอาจารย์ใหญ่เกี่ยวกับเรื่องนี้ดู แต่ฉันก็มีปัญหาอยู่ ให้คุณแจ้งพ่อแม่ฉินหร่านให้มาที่นี่” หลี่ไอ้หรงพูดขณะมองไปยังเด็กสาวที่กำลังอ่านหนังสือ 

 

 

หลี่ไอ้หรงพูดอย่างเย้ยหยัน “คุณเกา ไม่ต้องพูดอะไรอีก บันทึกไว้ก่อนตอนได้คุยกับอาจารย์ใหญ่” 

 

 

แล้วเธอก็เดินกลับไปพร้อมรองเท้าส้นสูง 

 

 

บางคนเริ่มกระซิบกันเบาๆ 

 

 

“เกิดอะไรขึ้น ฉินหร่านมีเรื่องกับเจี่ยงหันเหรอ เธอดูไม่น่าจะไปทะเลาะกับใครได้” ใครบางคนกระซิบ 

 

 

“หมายความว่ายังไง เธอคิดว่ามีใครมาทะเลาะกันงั้นเหรอ” 

 

 

“จริงๆ นี่เธอไม่รู้เหรอ ฉินหร่านเคยทำเรื่องผิดกฎหมายมาก่อน แม้แต่ตำรวจยังตกใจเลย” 

 

 

“จริงเหรอ เธอทำอะไร” 

 

 

ทั้งห้องเรียนก็วุ่นวายจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ 

 

 

“เจี่ยงหันไม่ได้บอกเหรอว่าทำไมเราถึงทะเลาะกัน” ฉินหร่านวางหนังสือลง ลุกขึ้นยืนมองหลี่ไอ้หรงด้วยความโกรธ 

 

 

หลี่ไอ้หรงตกใจไม่คิดว่าเธอจะลุกขึ้นพูดออกมา เธอยิ้มเยาะ “ทะเลาะก็คือทะเลาะ มีอะไรต้องอธิบาย”  

 

 

“คุณพูดถูก ไม่มีอะไรต้องอธิบาย คุณหลี่ คุณเป็นห่วงนักเรียนของคุณไหม” ฉินหร่านหันไปมองเกาหยางโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดก่อน 

 

 

“ฉันต้องเป็นห่วงนักเรียนของฉันอยู่แล้ว พวกเขาล้วนต้องการที่จะเรียนเก่งและสอบเข้าโรงเรียนดีๆ ให้ได้” หลี่ไอ้หรงไม่ค่อยพอใจ “คำแก้ตัวของเธอมันฟังไม่ขึ้น ฉินหร่าน วันนี้ฉันไม่มีทางเลือก…” 

 

 

จู่ๆ ในมือของฉินหร่านก็มีโทรศัพท์ เธอโยนมันลงไปบนโต๊ะ “เธออยากจะคุยกับใคร อาจารย์ใหญ่สวีเหรอ ไม่ต้องตามหาหรอก เดี๋ยวเขาก็มาที่นี่” 

 

 

จริงๆ แล้วหลี่ไอ้หรงไม่ได้กังวลกับการพบอาจารย์ใหญ่ 

 

 

ปกติแล้วอาจารย์ใหญ่สวีไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก เขามักจะสาละวนกับการจัดการหลายอย่างในโรงเรียน การตามหาอาจารย์ใหญ่จึงไม่ใช่เรื่องง่าย 

 

 

โดยเฉพาะผู้มาเยือนที่ไม่รู้เท่าไรที่มาพบอาจารย์ใหญ่สวี พวกเขาล้วนมาด้วยรถหรูป้ายแดงเป็นที่ตื่นตา 

 

 

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ทั้งครูและนักเรียนของโรงเรียนรู้กันดีว่าการที่จะล่วงรู้ประวัติของอาจารย์ใหญ่สวีเป็นเรื่องยากมาก ยากเหมือนโทรสายด่วนไปหานายกเทศมนตรีตรงๆ เลยทีเดียว 

 

 

ห้องเก้าเงียบลง นักเรียนในห้องมองไปที่ฉินหร่าน 

 

 

หลี่ไอ้หรงงงไปชั่วขณะก่อนจะพูดด้วยความโกรธว่า “คิดว่าฉันเชื่อเรื่องโกหกที่พ่นออกมาหรือไง ฉันบอกได้เลยว่าตอนนี้อาจารย์ใหญ่สวีอยู่ที่บ้านของฉัน” 

 

 

“โวยวายอะไรกัน” ก่อนที่หลี่ไอ้หรงจะพูดจบ เสียงทุ้มต่ำก็แทรกขึ้นมา 

 

 

ชายชราคนหนึ่งค่อยๆ เดินเอามือไพล่หลังมา 

 

 

เขาซ่อนดวงตาเฉียบคมคู่นั้นไว้หลังแว่นตา 

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีไม่ค่อยได้ปรากฏตัว นักเรียนส่วนใหญ่จึงจำเขาไม่ค่อยได้ อย่างไรก็ดีการปรากฏตัวของเขานี้ก็เป็นที่จับตา 

 

 

“อาจารย์ใหญ่สวี?” หลี่ไอ้หรงและเกาหยางหัวใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ 

 

 

สวีเหยากวงอดมองฉินหร่านไม่ได้ หรือนี่คือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเอาไว้ คนที่ทำให้ปู่ของเขาเรียกเขามาที่นี่ได้ ฉินหร่านเธอเป็นใคร 

 

 

ห้องเก้าเงียบอีกครั้ง 

 

 

หลี่ไอ้หรงหยุดชั่วครู่และมองไปที่ฉินหร่าน 

 

 

เธอกัดฟันพูด “อาจารย์ใหญ่สวี ดีแล้วที่คุณมาที่นี่ นักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน มาถึงก็ก่อเรื่อง เมื่อคืนเธอทะเลาะกับเจี่ยงหัน นักเรียนของฉัน รบกวนการเรียนของนักเรียนของฉัน ฉันมั่นใจว่าคุณรู้ว่านักเรียนห้องฉันตั้งใจกับการสอบมากและไม่ยอมให้อะไรมารบกวนได้” 

 

 

อาจารย์ใหญ่สวียังคงมองที่ฉินหร่านอย่างใจเย็น 

 

 

ฉินหร่านหลบตาและดูเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งสีหน้าเธอนั้นคาดเดายาก 

 

 

หลี่ไอ้หรงมองเธออย่างดูแคลนมากขึ้น ตอนนี้อาจารย์สวีก็อยู่ที่นี่แล้ว ทำไมเธอถึงยังเงียบอยู่ 

 

 

หลังจากการมาของอาจารย์สวี ห้องเรียนก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง 

 

 

เสียงของเด็กสาวหลายคน 

 

 

“พนันได้เลยที่เธอแสดงอยู่ต้องถูกเปิดโปง เธอแก้ตัวไม่ขึ้นหรอก เธอมีเรื่องลงไม้ลงมือกับเจี่ยงหัน แล้วก็อาจารย์สวีก็อยู่ที่นี่จริงๆ ผลการเรียนของเจี่ยงหันก็ไม่เลว พ่อของเธอที่เป็นเศรษฐีใหม่ก็เป็นผู้บริจาคหนังสือทั้งหมดที่อยู่ในห้องสมุดนี้” 

 

 

“แสดงอะไร เธอเป็นคนเชิญเขามาที่นี่” 

 

 

“เธอนามสกุลเดียวกันกับฉินหร่าน แล้วทำไมถึงได้แตกต่างกันขนาดนี้“ เสียงซุบซิบส่วนใหญ่มาจากพวกสาวๆ 

 

 

เมื่อฉินหร่านเข้ามา เธอก็กลายเป็นคนดังของโรงเรียน ทุกๆ วันหลังเลิกเรียน หลายๆ คนต่างจ้องมองหาเธอ ถ้าเธอเป็นเหมือนฉินอวี่ที่มีภูมิหลังครอบครัวที่ดี ผลการเรียนดี หน้าตาดี ผู้คนก็คงจะยอมรับ แต่ว่าคนอย่างฉินหร่านก็ทำให้ใครหลายคนอิจฉา 

 

 

ห้องเรียนเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง 

 

 

“คุณหลี่ คุณบอกว่าคุณห่วงใยนักเรียนในชั้นเรียนของคุณ แล้วทำไมคุณถึงไม่รู้ว่าเจี่ยงหัน นักเรียนของคุณได้ปฏิบัติต่อพานหมิงเย่ว์ด้วยความรุนแรง” ฉินหร่านเงยหน้ายิ้มแล้วพูดอย่างเบาๆ 

 

 

“เธอ…” หลี่ไอ้หรงตกใจ 

 

 

“ไม่ต้องเถียงกัน คุณไปดูกล้องวงจรปิดที่ส่องตรงโถงทางเดินในหอพักหญิงได้เลย” ฉินหร่านหันไปมองหลี่ไอ้หรงและพูดอย่างเย็นชาว่า “คุณห่วงใยสุขภาพและการเติบโตของนักเรียน ฉันสงสัยเหลือเกินว่าทำไมคุณถึงไม่สนใจที่เจี่ยงหันดูถูกและคุกคามพานหมิงเย่ว์” 

 

 

ประโยคสุดท้ายทำให้นักเรียนทั้งห้องจ้องมองไปที่หลี่ไอ้หรง 

 

 

หลี่ไอ้หรงสีหน้าเริ่มซีดเผือก 

 

 

เนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับพานหมิงเย่ว์ อาจารย์สวีจึงได้ขึงขังขึ้นมา 

 

 

เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ผมต้องตรวจสอบกล้องวงจรปิดและแจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบเรื่องนี้ ถ้าเป็นอย่างที่ฉินหร่านพูดจริงๆ ความรุนแรงในโรงเรียนเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้” 

 

 

นี่มันเปลี่ยนเป็นเรื่องความรุนแรงและเกี่ยวกับตำรวจได้ยังไง 

 

 

จากที่ฉินหร่านพูดถึงกล้องวงจรปิด นั่นหมายความว่าเธอไมได้โกหก หลี่ไอ้หรงพยายามแก้สถานการณ์แล้วรีบพูดว่า “ขอโทษด้วยนะคะครูสวี ที่ฉันไม่ได้ชี้แจงเรื่องต่างๆ และก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพานหมิงเย่ว์…”  

 

 

“พูดกับผมไปก็ไม่มีประโยชน์ คนที่คุณควรจะพูดด้วยคือฉินหร่าน” อาจารย์ใหญ่สวีเตือนเธออย่างใจเย็น 

 

 

หลี่ไอ้หรงหน้าเปลี่ยนสีด้วยความโกรธ การขอโทษนักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนที่เธอดูถูกเอาไว้ มันก็ช่างน่าอับอายอยู่นิดหน่อย ท้ายที่สุดเธอก็กล้ำกลืนฝืนทนขอโทษฉินหร่านต่อหน้านักเรียนห้องเก้าทั้งห้อง “ฉินหร่าน ฉันขอโทษที่เข้าใจเธอผิด” 

 

 

“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ นอกจากนี้ที่ฉันได้ยินมา คุณหลี่เป็นคนที่เที่ยงตรงและเป็นครูที่ดี ใส่ใจนักเรียน ฉันไม่คิดว่าคุณจะทุจริต ดูหมิ่นคนยากจน รวมถึงประจบสอพลอคนรวย” ฉินหร่านกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ 

 

 

เด็กหนุ่มสองสามคนอดที่จะระเบิดหัวเราะออกมาไม่ได้ 

 

 

หลี่ไอ้หรงไม่อยากจะอยู่ตรงนี้ต่อไป เธอจึงก้มหน้าซีดเซียวนั่นแล้วเดินจากไป วันนี้เธอขายหน้าเหลือเกิน 

 

 

ในตอนที่เธอเดินผ่านเกาหยาง เธอจึงถ่ายเทความโกรธใส่เขาและพูดจาร้ายกาจว่า “คุณเกา อย่าทะนงตัวไปหน่อยเลย ดูพวกขยะในห้องของคุณไว้ ฉันอยากรู้นักว่าจะมีสักกี่คนกัน ที่จะสอบผ่านเข้าวิทยาลัยได้” 

 

 

เสียงกระดิ่งเป็นสัญญาณบอกว่าหมดเวลาเรียนแล้ว 

 

 

จากข้อพิพาทนี้ทำให้ชั้นเรียนเลิกช้าไปแปดนาที 

 

 

หลายคนรวมตัวกันพร้อมอยู่นอกห้องเก้าแล้ว 

 

 

เฉียวเชิงเตะเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้นยืน เขายืนบนพื้นเต๊ะท่าพูดว่า “ฉินหร่าน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ อยากให้ฉันช่วยสั่งสอนบทเรียนให้เจี่ยงหันไหม” 

 

 

นักเรียนห้องเก้าที่กำลังซุบซิบเกี่ยวกับฉินหร่านไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก 

 

 

ฉินหร่านเก็บหนังสือของเธอแล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “ไม่” 

 

 

หลังจากมองฉินหร่าน สวีเหยากวงก็หยิบหนังสือของเขาแล้วพูดขึ้นเบาๆ “ไปกันเถอะ ฉินอวี่บอกว่าคืนนี้เธอจะซ้อมเพลงใหม่” 

 

 

เร็วๆ นี้เขาหมกมุ่นอยู่กับเพลงใหม่ของฉินอวี่และเฉียวเชิงก็รู้เรื่องนี้ด้วย 

 

 

เนื่องจากฉินอวี่ไม่เห็นสวีเหยากวงกับเขาอยู่ข้างล่าง เธอจึงขึ้นไปข้างบนเพื่อรอพวกเขา 

 

 

เมื่อเห็นว่ามีคนมากมายนอกห้องเก้ากำลังพูดถึงฉินหร่านอยู่ โดยที่ไม่ได้สังเกตว่าเธอก็อยู่ที่นั่นด้วย ฉินอวี่ทำอะไรไม่ได้นอกจากหยิกตัวเอง 

 

 

เธอเม้มริมฝีปาก เงยหน้าแล้วถอนหายใจด้วยความกังวล “ฉันได้ยินจากพวกนั้นว่าพี่สาวของฉันก่อเรื่องอีกแล้วเหรอ”