บทที่ 45 ม่านพลังแตก

ราชาซากศพ

บทที่ 45
ม่านพลังแตก

เมื่อนกอินทรีขนเหล็กทั้งสองยอมแพ้ต่อการป้องกัน และปล่อยให้หนานหม่านเหยียนฉวนโจมตี โดยที่พวกมันนั้นเน้นการโจมตีไปที่ค่ายกลป้องกัน หลังจากพวกนั้นพ่ายแพ้ลงไปก็คล้ายกับฟางเส้นสุดท้ายขาดผึง

ทันใดนั้นโล่แสงที่อยู่ข้างหลังก็แตกสลาย กลายเป็นแสงดาวระยิบระยับและสลายไปในอากาศ
“ค่ายกลสลายไปแล้ว!” แม้ว่าผู้คนจะคาดหวังว่า มันจะสามารถยืนหยัดได้นานอีกสักพัก แต่ในตอนนี้กลับแตกสลายลงไปภายในใจเริ่มวิตกกังวล

“ระวัง ตามข้ากลับไปที่เมืองและอาศัยกำแพงเพื่อต่อต้านกองทัพสัตว์อสูร” เมื่อเห็นอารมณ์ของผู้คนที่ลุกลี้ลุกลนเพราะค่ายกลนั้นสลายไป ผลกระทบคือแม้ว่าความรุนแรงในการโจมตีของผู้คนจะไม่ลดลงมากนัก แต่มันก็ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ด้วยความวิตกกังวล ย่อมไม่สามารถสู้ได้เต็มที่อย่างแน่นอน ยิ่งพวกเขากังวลมากว่าถ้าปราศจากการสนับสนุนของกองกำลังรบ ระดับสูงเหล่านี้ เมืองหมั่นฉีจะไม่สามารถต้านทานกองทัพสัตว์อสูรได้ พวกเขาจึงต้องจัดระเบียบผู้คน เพื่อกลับไปตั้งหลักที่เมืองก่อน

ผู้คนที่ยืนอยู่บนหอคอยพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสังหารสัตว์อสูรที่กำลังปีนกำแพงขึ้นมา เนื่องจากไม่มีค่ายกลป้องกันที่จะปกป้องพวกเขา ในบางครั้งนักรบบางคนจึงถูกโจมตีโดยสัตว์อสูรบิน
“ท่านเจ้าเมือง เราไม่สามารถทนอยู่ได้นาน! จำนวนสัตว์อสูรกำลังรวมตัวกันในตอนนี้ พวกเรามีจำนวนน้อยเกินไปที่จะรับมือกับพวกมัน อีกไม่นานพวกเราทุกคนก็ต้องตายที่นี่” จงชานย้ำ
ขณะใช้มีดฟันสัตว์อสูรหลายตัว ที่กระโดดขึ้นไปบนกำแพงและตะโกนไปที่หนานหม่านเหยียนฉวน

“ข้าไม่รู้ว่า…. จะมีกำลังเสริมจะมาช่วยเหลือเราหรือไม่ ”
“ข้านั้นเห็นว่าไม่มีสัตว์อสูรในอีกสามทิศทางของเมืองหมั่นฉี ได้ยินมาว่ามีหลายคนที่แอบหนีออกไปก่อน จะเป็นเช่นไรหากเราจะแอบหนีออกไปบ้าง!”
“ใช่ เราจะหนีออกไป ไม่ว่าอย่างไร ตระกูลหนานหม่านก็ไม่เกี่ยวกับเรา ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย”
การพูดคุยของนักรบที่อยู่เบื้องหลังของหนานหม่าน เหยียนฉวนนั้น เป็นดังเช่นหยดน้ำตกลงไปในกระทะน้ำมัน ทำให้เกิดความปั่นป่วน ก่อนที่หนานหม่านเหยียนฉวนจะเปิดปากเพื่อพูดอะไรบางอย่าง
ทั่วทั้งประตูเมืองนั้นรู้สึกจมดิ่ง แต่ดวงตาของพวกเขาไม่เพียงฉายแววยินดี
แม้แต่การโจมตีในมือของพวกเขา ก็ยังเบาลงไปกว่าเดิมมาก
เดิมทีเมืองหมั่นฉีถูกล้อมรอบด้วยกองทัพสัตว์อสูรและผู้คนไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องสู้กับความตาย แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว ยังมีถนนอีกสามสายที่สามารถหนีออกไปได้ และอย่างที่ทุกคนรู้ ไม่นานมันก็จะถูกโจมตีโดยกองทัพสัตว์อสูรจนแตกพ่าย หากจะหลบหนีในตอนนั้นก็คงสายไปแล้ว

ความคิดนี้ ไม่เพียงแค่ปรากฏในความคิดของคนอื่น ๆ เท่านั้น แต่ยังปรากฏในตระกูลหนานหม่านด้วยกัน พวกเขามีความคิดนี้ในใจ หนานหม่านเหยียนฉวนที่อยู่ที่นี่ก็พูดอะไรไม่ออก
สำหรับหนานหม่านเหยียนฉวนและคนอื่น ๆ พวกเขาถูกบังคับให้ไม่มีทางเลือก นอกจากต้องใช้กำลังคนและทรัพยากรวัสดุจำนวนมากในการต่อสู้ครั้งนี้ พวกเขาจึงต้องต่อสู้อย่างหนักที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากพวกเขาล้มเหลวตระกูลหนานหม่านทั้งหมดต้องย่อยยับอย่างแน่นอน

“นายน้อย ท่านคิดว่าเราควรจะทำเช่นไรดี? … ” เถาจุนกลับไปที่ด้านข้างของหลินเว่ยและถามด้วยเสียงเบา ๆ
“มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์! เมื่อคนอื่นเคลื่อนไหวก่อน เราก็แค่ตามพวกเขาไป มันไปไม่จำเป็นต้องเป็นคนแรก” เมื่อได้ยินคำพูดของเถาจุน หลินเว่ยพยักหน้าเล็กน้อยและพูดด้วยเสียงเบาๆ
“เข้าใจแล้ว!” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย เถาจุนก็พยักหน้าและโจมตีสัตว์อสูรต่อไป อย่างไรก็ตาม จากสายตาของเขานั้น บ่งบอกถึงจิตใจล่องลอยและไม่ได้สนใจสัตว์อสูรตรงหน้าอีกต่อไป

“ท่านเจ้าเมือง เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ มันเกินขีดจำกัดความสามารถของพี่น้องของเราแล้ว ขอโทษด้วย เพื่อรักษาชีวิตของข้าเอง ต้องขอโทษทุกคน โปรดรักษาตัวด้วย” โดยไม่รอให้หนานหม่านเหยียนฉวนตอบรับ หลังจากคำพูดจบลงไม่นาน นักรบขั้นสามหลายคนก็กระจายร่างของพวกเขาออกไปอย่างรวดเร็ว และรีบวิ่งไปที่เมือง หลังจากได้ยินคำพูด คนจำนวนหนึ่งก็หายไปจากสายตา

เมื่อมีกลุ่มแรก ก็จะมีกลุ่มที่สองตามเป็นธรรมดา เมื่อมีคนพบว่าคนในตระกูลหนานหม่าน กำลังง่วนอยู่กับการปิดกั้นสัตว์อสูร และไม่มีเวลาสนใจพวกเขา พวกเขาก็เหมือนกับกลุ่มที่จากไปก่อนหน้านี้
ทิ้งศัตรูไว้ข้างหน้าและรีบวิ่งเข้าไปในเมืองอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่ได้สนใจที่จะต่อสู้อีกต่อไป

ภายในเวลาไม่ถึงห้านาที นักรบส่วนใหญ่ในประตูทางทิศเหนือก็วิ่งหนีไป และแม้แต่ลูกน้องของตระกูลหนานหม่านก็เช่นเดียวกัน พวกเขาหลบหนีออกจากวงล้อมการต่อสู้ และในไม่ช้าประตูทางทิศเหนือก็เต็มไปด้วยกองทัพสัตว์อสูร
“ให้ตายเถอะ! ไอ้คนพวกนี้ รู้อยู่แล้วว่าไว้ใจมันไม่ได้” ในขณะที่นักสู้คนอื่น ๆ จากไป แนวป้องกันทั้งหมดก็พังทลายลง หนานหม่านเจวี๋ยและคนอื่น ๆ ทำได้เพียงแค่สั่งให้ล่าถอย และต่อสู้เพื่อพาคนอื่น ๆ ถอยกลับไปที่ตระกูลหนานหม่าน

“ท่านพี่ ช่วยหากำลังคนมาช่วยทางด้านนี้ ข้าจะส่งคนกลับไปที่ตระกูล เพื่อสั่งให้มารวมตัวกันที่นี่” หนานหม่านเหยียนฉวนเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ นั้นไม่เข้าที เขาจึงพูดกับหนานหม่านเจวี๋ย
“ไม่ต้องกังวล! มีผู้เฒ่าบางคนของเราอยู่ที่นี่ เมื่อได้ยินสิ่งที่หนานหม่านเหยียนฉวนพูดหนานหม่านเจวี๋ยไม่ได้หันกลับมามองและพูดตอบรับ และผู้เฒ่าอีกหลายคนก็ตอบเสียงดังเช่นกัน

ทางทิศตะวันออกของจวนหนานหม่าน หนานหม่านชิงฉือผู้อาวุโสคนที่สองของตระกูลหนานหม่านที่มีนิสัยเหมือนกับชื่อของเขา ในฐานะผู้อาวุโสมือสังหารของตระกูลหนานหม่าน เขาเคยเป็นคนดื้อรั้นและอารมณ์ร้ายตลอดเวลา แต่ตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและร้อนรน

เมื่อมองไปที่ร่างของหนานหม่านชิงฉือที่เดินไปมา ไม่มีใครในห้องโถงกล้าขัดจังหวะ ไม่แม้จะกล้าพูดเสียงดัง เพราะกลัวว่าจะถูกสายตาของหนานหม่านชิงฉือจ้อง
“ท่านผู้อาวุโสรอง …!” ผู้คุ้มกันรีบเข้ามารายงานกับหนานหม่านชิงฉือ ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบเขาก็คว้าคอเสื้อ แล้วถามว่า “เป็นอย่างไร ผู้นำตระกูลล่ะ กลับมาแล้วหรือ?”
“ท่านอาวุโสรอง …ท่านผู้นำ ส่งข้ามา” จากนั้นผู้คุ้มกันมองไปที่หนานหม่านชิงฉืออย่างประหม่าและพูดอย่างรีบร้อน
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้คุ้มกัน การแสดงออกของหนานหม่านชิงฉือก็ตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็จำได้ว่าชายคนนี้ไม่ได้ถูกส่งมา เพื่อรายงานเรื่องหนานหม่านเหยียนฉวน แต่ถูกส่งมาเพื่อขอให้อดีตผู้นำออกไป

ประการหนึ่งก็เพื่อประโยชน์ของผู้นำตระกูล เพราะหนานหม่านหยุนหลี่เป็นนักรบขั้นสี่ของตระกูล รวมทั้งเป็นบิดาของหนานหม่านเหยียนฉวน
ในเมืองหมั่นฉีพวกเขาไม่รู้ว่าหนานหม่านหยุนหลี่ ในปัจจุบันได้กำลังฝึกฝนเพื่อก้าวข้ามทะลวงด่านและก้าวเข้าสู่ขั้นห้า หากเมืองแตกเพราะการโจมตีของสัตว์อสูร ตระกูลคงสูญสิ้น!

“แล้วอดีตผู้นำหายไปไหนกันแน่” หนานหม่านชิงฉือเงยหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ แต่เขาไม่เห็นร่างที่เขาคาดหวังไว้ เขาขมวดคิ้วและบ่นพึมพำอย่างต่อเนื่อง