ตอนที่ 55-2 สตรีในตำหนักติ้งอ๋อง

ชายาเคียงหทัย

“ข้า…ไม่รู้จริงๆ ว่าข้าจะต้องไปคารวะชายารองคนหนึ่งด้วย” เยี่ยหลีหลุบตาลงครึ่งหนึ่ง พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ 

 

 

           “เจ้า! เจ้าบังอาจนัก!” ไท่เฟยรองหยางหน้าแดงก่ำทันที นางเอามือชี้หน้าเยี่ยหลีอยู่นานแต่พูดอันใดไม่ออก ฐานะของชายารองนี้เป็นหนามตำใจนางมาตลอด เมื่อตอนแต่งงานเข้าตำหนักอ๋อง นางไม่ได้ผิดหวังอันใด ก็ใครใช้ให้นางเกิดจากลูกภรรยารองกันเล่า แต่เมื่อพี่สาวตายลง นางคิดว่าตนจะมีโอกาสได้ขึ้นเป็นชายาเอก เพราะท่านอ๋องมีนางเป็นชายารองเพียงผู่เดียว แต่จนกระทั่งถึงวันที่ท่านอ๋องสิ้น ท่านอ๋องก็ไม่เคยหันมาสนใจนางเลยแม้สักน้อย และเมื่อม่อหลิวฟางสิ้นไป นางก็รู้ดีว่าตนไม่มีโอกาสอีกแล้ว นางจะต้องมีตำแหน่งเป็นชายารองเช่นนี้ไปจนตาย ต่อให้ตายไปแล้วนางก็ไม่มีโอกาสได้ฝังร่างร่วมกับม่อหลิวฟาง 

 

 

           “กฎระเบียบของตำหนักอ๋อง ไท่เฟยรองไม่น่าไม่รู้ ใครกันแน่ที่บังอาจ” เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นจ้องนาง ตำหนักติ้งอ๋องอยู่ข้างนอกมีท่านอ๋องเป็นประมุข ส่วนตำหนักในมีพระชายาเป็นประมุข อย่าว่าแต่แค่ไท่เฟยรองธรรมดาๆ เลย ต่อให้เป็นไท่เฟยตัวจริงก็มิอาจหมิ่นเกียรติชายาเอกได้ ดังนั้นเมื่อม่อซิวเหวินสิ้นไป บ่าวในตำหนักจึงไม่มีใครเรียกชายาเอกเวินว่าพระชายาอีกเลย แต่เรียกเป็นฮูหยินใหญ่แทน เพื่อแสดงให้เห็นว่าฐานะของนางคือพี่สะใภ้ใหญ่ของท่านอ๋อง แต่ไม่ใช่พระชายาของตำหนักติ้งอ๋อง 

 

 

           เมื่อกดความถือยศถือศักดิ์ของไท่เฟยรองหยางลงแล้ว สีหน้าเยี่ยหลีก็ค่อยอ่อนโยน พร้อมแย้มยิ้มน้อยๆ “ไท่เฟยรองหยางมาแต่เช้าเช่นนี้ มีเรื่องอันใดจะพูดกับข้าหรือ” 

 

 

           ไท่เฟยรองที่อึ้งไปหลังจากเยี่ยหลีเปลี่ยนท่าทีไปเสียดื้อๆ เมื่อเรียกสติกลับมาได้ เห็นนางเปลี่ยนสีหน้าก็นึกอยากแสดงอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาอีก หญิงสาวในชุดสีขาวที่อยู่ด้านข้างจึงเอ่ยเรียกนางเสียงเบาด้วยความไม่สบายใจ “ท่านน้า…” 

 

 

           ไท่เฟยรองหันมองหญิงสาวในชุดขาวคนนั้น แล้วจึงได้กดอารมณ์โกรธของตนกลับลงไป ก่อนหันหน้าไปพูดกับเยี่ยหลีว่า “นางคือหลานสาวจากบ้านเดิมของข้า ชื่อเชียนหรู” 

 

 

           หญิงสาวในชุดขาวลุกยืนขึ้นทำความเคารพเยี่ยหลี ก่อนเอ่ยเสียงอ่อนหวานว่า “เชียนหรูขอคารวะพี่สะใภ้” 

 

 

           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว หากเป็นลูกสาวตระกูลหยาง และเป็นหลานสาวของไท่เฟยรอง เช่นนั้นนางก็คือลูกพี่ลูกน้องของม่อซิวเหยาสินะ น้องสาวคนนี้เยี่ยหลีไม่คุ้นเอาเสียเลย ด้วยเพราะเดิมทีตระกูลหยางไม่ใช่ตระกูลใหญ่ อันที่จริงนอกจากม่อหลั่นอวิ๋น ติ้งอ๋องรุ่นแรกที่แต่งงานกับองค์หญิงของราชวงศ์ก่อนแล้ว ชายาตระกูลม่อรุ่นต่อๆ มาต่างก็ไม่ได้มีประวัติโดดเด่นอันใด ซึ่งแน่นอนว่าเหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ชายตระกูลม่อไม่ต้องการสร้างข้อผูกมัดให้ตนกับทางบ้านฝ่ายหญิง และอีกส่วนหนึ่งคงเพราะไม่อยากให้องค์ฮ่องเต้เกิดนึกระแวงขึ้นมา เท่าที่นางรู้บ้านเดิมของชายารองหยางไม่มีลูกชายสายหลัก มีก็เพียงลูกชายสายรองซึ่งเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว เช่นนั้นหยางเชียนหรูคนนี้ก็คือทายาทของบุตรชายสายรองของตระกูลหยางสินะ  

 

 

“น้องสาวไม่ต้องมากพิธี นั่งลงเถิด ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องคงลืมเป็นแน่ จึงไม่เคยได้ยินท่านเอ่ยถึงน้องสาวเลย ข้าไม่ทันได้เตรียมของขวัญแรกพบหน้ามาให้ ขอน้องสาวอย่าได้ถือสา” ระหว่างที่พูด เยี่ยหลีก็ถอดกำไลหยกหิมะลายเมฆออกมาวางลงบนมือของเชียนหรู ก่อนหันไปยิ้มและเอ่ยถามไท่เฟยรองว่า “น้องสาวอาศัยอยู่กับไท่เฟยรองเช่นนั้นหรือ” 

 

 

           ไท่เฟยรองเหลือบมองเยี่ยหลีทีหนึ่งก่อนพยักหน้า “เชียนหรูอายุพอสมควรแล้ว และนางไม่มีญาติคนอื่น ข้าจึงได้รับนางมาไว้ข้างกายจะได้คอยดูแลกันได้ ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่คนของตำหนักอ๋อง อยู่เรือนเดียวกับข้าก็ไม่เป็นไรหรอก” 

 

 

           เยี่ยหลีเองก็ไม่ได้คิดจะจัดสรรหาเรือนใหม่ให้นางอยู่แล้ว จึงยิ้มแล้วพยักหน้า  

 

 

“น้องสาวกับไท่เฟยรองไม่รู้สึกว่าไม่สะดวกสบาย ข้าก็ดีใจ หากขาดเหลืออันใดก็ให้คนมาบอกข้าได้เลย ไม่ต้องเกรงใจไป” สายตาไท่เฟยรองเปลี่ยนไปทันที ก่อนเอ่ยว่า “ที่ข้าพานางมาพบเจ้าเพราะมีเรื่องพอดี ปีนี้เชียนหรูจะอายุสิบเจ็ดปีแล้ว ถึงเวลาที่จะคิดเรื่องแต่งงาน แต่เวลาปกติก็ยากนักที่จะได้พบหน้าท่านอ๋อง ข้าเองก็อายุมากแล้วเลยเลาะเลือน ในเมื่อเจ้ามีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเชียนหรู ก็ช่วยมองหาคนดีๆ ให้นางหน่อยก็แล้วกัน อีกเรื่องนางเป็นหญิงสาว จะให้มาแต่งตัวจืดชืดเช่นนี้ทั้งวันก็คงใช้การไม่ได้ เสื้อผ้าเครื่องประดับก็ควรจะมีเพิ่มอีกสักหน่อย” 

 

 

           ไท่เฟยรองมัวแต่สนใจเรื่องที่ตนกำลังพูดอยู่ ไม่ได้สนใจว่าเชียนหรูที่นั่งอยู่ข้างๆ นางนั้นได้แต่หน้าแดงก้มหน้า ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองใคร เยี่ยหลีนั่งพิงเก้าอี้ฟังสิ่งที่ไท่เฟยรองร้องขออยู่ด้วยท่าทีสบายๆ หากจะว่าในตอนแรกยังพอมีน้ำเสียงแห่งการปรึกษาหารืออยู่บ้าง ทว่าในตอนท้าย ไท่เฟยรองกลับใช้น้ำเสียงเหมือนออกคำสั่งเสียอย่างนั้น  

 

 

เยี่ยหลีมองชุดสีขาวประหนึ่งหิมะที่เชียนหรูใส่อยู่ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ “ปกติที่ตำหนักนี้ตัดเงินค่าใช้จ่ายของน้องสาวหรือ”  

 

 

ต่อให้ม่อซิวเหยาไม่เคารพไท่เฟยรอง แต่ก็ไม่น่าจะต้องถึงกับตัดเงินค่าใช้จ่ายของเด็กสาวคนหนึ่งหรอกกระมัง ชุดของเชียนหรูเป็นชุดสีขาวเรียบสะอาดไปทั้งชุด แม้แต่ผมก็ยังใช้ผ้าสีขาวมาประดับตกแต่ง คนที่ไม่รู้คงคิดว่านางกำลังถือศีลให้ใครอยู่ สาวใช้ของตำหนักที่พอมีหน้ามีตาหน่อยยังแต่งกายได้สวยงามกว่านางเสียอีก 

 

 

           เชียนหรูเงยหน้าขึ้นโดยพลัน นัยย์ตาคลอด้วยหยดน้ำ นางรีบเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนรนว่า “มิได้เพคะ…ตำหนักอ๋องไม่เคยดูแลข้าไม่ดีเลย ขอท่านพี่สะใภ้อย่าได้เข้าใจพี่ชายผิด…เชียนหรูเอง เชียนหรูเองที่ไม่ดี…” เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นนวดหน้าผาก นี่มันเรื่องอันใดกัน นางนวดหว่างคิ้วพร้อมหันไปบอกชิงหลวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “ไปดูทีว่าซุนหมัวมัวว่างอยู่หรือไม่ เชิญนางมาที่นี่ที” 

 

 

           ซุนหมัวมัวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนชิงหลวนจะเล่าเรื่องให้นางฟังคร่าวๆ แล้ว ดังนั้นนางจึงพาแม่บ้านที่ดูแลเรื่องบัญชีของเรือนหลังและผู้ดูแลค่าใช้จ่ายภายในตำหนักเข้ามาด้วย 

 

 

           “คารวะพระชายา คารวะไท่เฟยรอง” ทั้งสามทำความเคารพกันอย่างพร้อมเพรียง 

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้า “หมัวมัวไม่ต้องมาพิธี” 

 

 

           ซุนหมัวมัวยืดตัวขึ้น “ขอบคุณพระชายา ได้ยินว่าพระชายาเรียกพบบ่าวด้วยเรื่องค่าใช้จ่ายในเรือนของไท่เฟยรอง บ่าวจึงบังอาจพาพ่อบ้านหวังที่เป็นคนดูแลบัญชีกับจางหมัวมัวที่เป็นคนดูเรื่องค่าใช้จ่ายมาด้วยตนเอง ขอพระชายาโปรดอภัยด้วย”  

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “หมัวมัวไม่ต้องกล่าวเช่นนี้หรอก ข้าเพิ่งมาเป็นชายาที่นี่ จึงยังไม่ค่อยคุ้นกับเรื่องพวกนี้ ไท่เฟยรองถามเรื่องค่าใช้จ่ายของน้องสาว ข้าจึงต้องเชิญเจ้ามาสอบถาม เมื่อเป็นเช่นนี้ จางหมัวมัว เรื่องค่าใช้จ่ายของน้องสาวเป็นอย่างไรบ้างหรือ หากน้องสาวไม่ได้รับการดูแลอย่างยุติธรรม แล้วคนนอกรู้เข้าก็คงคิดว่าตำหนักอ๋องของเราไม่ดี”  

 

 

จางหมัวมัวรีบเดินขึ้นหน้ามาเอ่ยตอบด้วยสีหน้าไม่สู้ดีว่า “เรียนพระชายา ค่าใช้จ่ายของคุณหนูนั้นจัดสรรให้เท่ากับเงินที่คุณหนูสายรองของตำหนักควรได้ ถึงแม้ตำหนักของเราจะไม่มีคุณหนูมาหลายรุ่นแล้ว แต่กฎระเบียบเดิมยังคงมีอยู่ บ่าวมิกล้าตัดข้าใช้จ่ายของคุณหนูเป็นอันขาดเพคะ” 

 

 

           “เช่นนั้น ค่าใช้จ่ายของคุณหนูเป็นอย่างไรบ้าง หากที่ตั้งไว้เมื่อครั้งก่อนไม่เหมาะสมเพียงพอจะปรับเปลี่ยนเสียหน่อยก็ไม่เป็นไร หรือจะดึงจากเงินส่วนของข้าหรือท่านอ๋องออกไปบ้างก็ยังได้” เยี่ยหลีเอ่ย 

 

 

           จางหมัวมัวเหลือบมองเชียนหรูที่นั่งอยู่ “คุณหนูได้เงินสำหรับใช้จ่ายเดือนละสามสิบตำลึง ปกติเครื่องแป้งและของอื่นๆ ล้วนเป็นของที่ทางตำหนักซื้อให้ต่างหาก ส่วนในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูร้อน ฤดูหนาว ก็มีเสื้อผ้าให้ฤดูละสี่ชุด ช่วงต้นฤดูหนาวและช่วงต้นฤดูร้อนก็จะได้เครื่องประดับอย่างละสองชุด เงินพิเศษช่วงวันตรุษจีนและเทศกาลอื่นๆ ก็ไม่เคยให้ขาดเลยเพคะ บ่าวรับใช้ตำหนักอ๋องนี้มาหลายรุ่น ไม่กล้าปฏิบัติต่อคุณหนูไม่ดีอย่างแน่นอนเพคะ” 

 

 

           ผู้ดูแลบัญชีที่ยืนอยู่อีกด้านก็พูดขึ้นว่า “พระชายาโปรดให้ความเป็นธรรม เมื่อครั้งงานมงคลใหญ่ของท่านอ๋องและพระชายา ทุกคนล้วนได้รับเงินรางวัล ฮูหยินใหญ่ได้ห้าร้อยตำลึง ไท่เฟยรองได้สองร้อยตำลึง คุณหนูหนึ่งร้อยตำลึง พวกบ่าวๆ ในจวนเองก็ล้วนได้รับเงินรางวัล บ่าวไม่เคยรั้งรอ ขอส่งสมุดบัญชีนี้เพื่อเป็นหลักฐานพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ทุกคนจึงหันไปมองทางเชียนหรู ชุดเสื้อผ้าสีขาวของนาง กับรูปร่างบอบบางที่ดูประหนึ่งลมพัดก็จะปลิวได้นั้น ช่างดูไม่เหมือนคนที่ได้รับการดูแลไม่ดีเอาเสียเลย ใบหน้าเคร่งขรึมของซุนหมัวมัวดูไม่พอใจ อย่าว่าแต่ตำหนักอ๋องไม่เคยดูแลนางไม่ดีเลย เพราะต่อให้ดูแลไม่ดีจริง แต่ก็ถือได้ว่าตำหนักอ๋องนี้ได้คอยเลี้ยงดูให้นางมีชีวิตอยู่มาได้ตั้งหลายปี ท่านอ๋องกับพระชายาเพิ่งมีงานมงคลใหญ่ไป ที่แต่งชุดขาวทั้งชุดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน 

 

 

           บรรดาสาวใช้ที่ติดตามเยี่ยหลีมาจากจวนเยี่ยต่างก็มีความเห็นต่อคุณหนูผู้แสนบอบบางคนนี้ คุณหนูสี่ที่ว่าบอบบางมากแล้วนั้น แม่นางคนนี้ยังดูอ่อนแอประหนึ่งต้องลมไม่ได้เลยเสียยิ่งกว่า อีกอย่างสิ่งที่ตำหนักอ๋องให้คุณหนูคนนี้ ก็พอๆ กับที่ตระกูลเยี่ยให้คุณหนูสายหลักแล้วด้วยซ้ำ คุณหนูของตนเมื่อตอนอยู่ที่ตระกูลเยี่ยเดือนๆ หนึ่งได้เงินเพียงสามสิบตำลึงเท่านั้น อีกทั้งในเมืองหลวงก็ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของคุณหนูหยางคนนี้มาก่อน มองดูก็รู้ว่าคุณหนูคนนี้ไม่เคยออกจากตำหนักไปไหน ย่อมไม่มีค่าใช้จ่ายอันใดแน่นอน คุณหนูของพวกนางเพิ่งแต่งงานเข้ามาก็รีบแล่นมาร้องว่าเงินไม่พอใช้เช่นนี้ เกินไปแล้วจริงๆ 

 

 

           เยี่ยหลีขมวดคิ้วมองไท่เฟยรอง ไม่ใช่ว่านางเป็นคนใจแคบ เพียงแต่นางเพิ่งเข้ามาอยู่ในตำหนัก จึงมิอาจขัดขืนกฎที่ผู้อาวุโสรุ่นก่อนๆ ตั้งไว้ แล้วเพิ่มเงินที่ให้กับเชียนหรูได้ ต่อให้ตำหนักติ้งอ๋องมีกิจการใหญ่โตเพียงใด ก็คงมิอาจหยิบเงินออกมาใช้ได้ตามใจโดยไม่สนใจอันใดได้ หากไม่มีกฎทุกอย่างคงเละเทะไม่อยู่ในร่องในรอย อีกทั้งที่ตำหนักติ้งอ๋องให้เชียนหรูนั้นก็ถือว่าไม่เลวแล้ว น่าเสียดายที่ไท่เฟยรองไม่คิดเช่นนั้น เมื่อเห็นท่าทีลำบากใจของเยี่ยหลีแล้ว นางจึงพูดขึ้นด้วยความโกรธ “พระชายาหมายความว่าอย่างไร ถึงอย่างไรเชียนหรูก็ถือว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ ของท่านอ๋อง หรือว่าแม้แต่เงินค่าใช้จ่ายอีกแค่ไม่กี่ตำลึงนี่ก็ให้ไม่ได้ หากคนนอกรู้เข้าว่าตำหนักติ้งอ๋องดูแลเด็กสาวกำพร้าพ่อแม่แค่คนหนึ่งไม่ดี คงจะไม่ดีต่อชื่อเสียงท่านอ๋องเป็นแน่”  

 

 

สรุปก็คือ ไท่เฟยรองตั้งใจที่จะยัดเยียดชื่อเสียงเรื่องการดูแลคนให้ม่อซิวเหยาให้ได้สินะ 

 

 

           “เช่นนั้น ไท่เฟยรองเห็นว่าเท่าไรจึงจะเหมาะสมหรือ” 

 

 

           ไท่เฟยรองขมวดคิ้ว สีหน้าดูไม่เต็มใจ “อย่างน้อยเดือนหนึ่งก็ต้องมีแปดสิบตำลึง แล้วเรื่องเครื่องประดับ มีแค่สองชุดจะไปพออันใด หลายปีนี้เชียนหรูไม่มีหน้าออกไปพบเจอผู้คน ตอนนี้มีเรื่องแต่งงานเข้ามาอีก อีกหน่อยคงได้ติดตามเจ้าออกไปไหนมาไหนอยู่ไม่น้อย ให้ร้านเฟิงหวาโหลวส่งมาให้อีกสี่ชุดก็แล้วกัน”  

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าเผด็จการของไท่เฟยรองแล้ว เยี่ยหลีก็ได้แต่นึกกลอกตาในใจ นางเห็นดีด้วยที่จะให้เชียนหรูมาติดตามข้างกายนางตั้งแต่เมื่อไรกัน แม้แต่เรื่องที่หลายปีนี้นางไม่ได้ออกไปไหนมาไหนยังมาโยนให้เป็นความผิดของตำหนักติ้งอ๋องได้อีก หากไม่ได้อยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋อง ด้วยพื้นฐานบ้านตระกูลหยางเกรงว่าคงไม่มีใครจำเด็กสาวสายรองของตำหนักอ๋องได้เสียด้วยซ้ำ 

 

 

           “ไท่เฟยรองโปรดระวังคำพูดด้วย พระชายาเป็นประมุขหญิงของตำหนักติ้งอ๋อง ไม่อาจพาเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนออกไปไหนมาไหนข้างนอกด้วยได้ ต่อให้ทำได้ ก็ควรเป็นคุณหนูของตำหนักอ๋องหรือน้องสาวสายหลักของบ้านเดิมพระชายาเสียมากกว่า” ซุนหมัวมัวพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม  

 

 

เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะนึกชมในใจว่า พูดได้ดี นางไม่คิดอยากจะพาหญิงสาวที่อ่อนแอเพียงเห็นดอกไม้ร่วงก็น้ำตาไหล เห็นฝนตกก็เสียใจออกไปแนะนำให้ใครต่อใครได้รู้จักหรอก  

 

 

เมื่อได้ยินที่ซุนหมัวมัวกล่าวเช่นนั้น หยางเชียนหรูก็อายจนหน้าแดง ร้องเบาๆ พร้อมเอามือจับที่หน้าอก มีหยดน้ำกลิ้งไปมาอยู่ในดวงตาจวนเจียนจะไหลลงมาเสียให้ได้  

 

 

เยี่ยหลีไม่รอให้ไท่เฟยรองได้ระบายความโกรธ นางขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยกับทั้งสามคนว่า “ในเมื่อถามจนได้ความโดยละเอียดแล้ว พ่อบ้านหวังกับจางหมัวมัวเชิญออกไปก่อนเถิด แล้วต่อไปทุกเดือนให้ดึงเบี้ยหวัดจากส่วนของข้ายี่สิบตำลึงไปให้คุณหนู ผู้มาเยือนถือว่าเป็นแขก เรามิอาจดูแลนางไม่ดีได้” 

 

 

           “เพคะ น้อมรับคำสั่งพระชายา” พ่อบ้านหวังและจางหมัวมัวรับคำก่อนล่าถอยออกไป 

 

 

           เยี่ยหลีเอ่ยต่อว่า “ไท่เฟยรองกับน้องสาวก็เชิญกลับไปก่อนเถิด ส่วนเรื่องแต่งงานของน้องสาว ข้าขอไปปรึกษากับท่านอ๋องก่อน แล้วข้าจะให้คำตอบไท่เฟยรองอีกทีหนึ่ง” 

 

 

           ไท่เฟยรองยังคงไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นท่าทางส่งแขกของเยี่ยหลี จึงไม่กล้าขัดความต้องการของเยี่ยหลี ทำได้เพียงพาหยางเชียนหรูผู้น่าสงสารกลับออกไปด้วยความโกรธ