ในนาทีที่ตกอยู่ในอันตราย หลินชิงเวยออกแรงผลักร่างซินหรูไปด้านข้าง แส้นั้นจึงตวัดลงบนแผ่นหลังของนางเต็มๆ รสชาติของแส้นั้นราวกับพิษของอสรพิษ ประทับรอยลงบนด้านข้างลำคอขาวผ่องของนาง ร่างของนางพลันรู้สึกร้อนราวกับถูกนาบด้วยไฟ ความรู้สึกทั้งเจ็บปวดและแสบร้อนทำให้หลินชิงเวยถึงกับสะดุ้งเฮือก ปลายนิ้วไร้เรี่ยวแรงอันเย็นเยียบของนางค่อยๆ แตะลงไปบนลำคอของตนเอง ผิวที่เคยเรียบลื่นนั้นเปลี่ยนเป็นนูนต่ำไม่เสมอกันทันที ราวกับหนังงูที่เพิ่งลอกคราบออกมาอย่างไรอย่างนั้น นางดึงปลายนิ้วกลับมาดูพบว่าเต็มไปด้วยโลหิตสดๆ

เมื่อแส้ถูกตวัดกลับมาเป็นครั้งที่สอง หลินชิงเวยจ้องแส้เส้นนั้นอย่างแม่นยำ นางยกมือขึ้นรับแส้นั้นไว้อย่างแน่นหนา สายตาของนางทั้งว่องไวและแม่นยำ นี่เป็นผลจากการที่นางฝึกใช้หน้าไม้ยิงนกพิราบในครานั้น แต่เรี่ยวแรงของหมัวมัวมหาศาลจริงๆ ต่อให้นางจับปลายแส้ไว้ได้ แส้ที่หยาบและใหญ่เส้นนั้นยังคงถูกลากให้ไถลอยู่ในมือของนางเป็นทางยาว บาดลึกลงไปในเนื้อผิวของนาง ความรู้สึกนั้นราวกับมีอะไรแทรกลึกชอนไชเข้ามาในผิวเนื้อของนาง

หลินชิงเวยเจ็บเสียจนเหงื่อเย็นผุดออกมา แต่นางยังคงจับแส้ในมือไม่ปล่อย ภายใต้แสงจากเปลวเทียนดวงตาทั้งคู่ของนางดำขลับและวาววับ นางจับจ้องหมัวมัวนางนั้นไม่ไหวติง “จะตีข้าให้ตาย? เกรงว่าหากเจ้าตีข้าตายในคืนนี้ คนที่ต้องตายในวันพรุ่งนี้จะเป็นเจ้า!”

หมัวมัวชะงักงันแล้วกลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เจ้าช่างปากแข็งนัก! นี่เป็นคำสั่งของไทเฮา พรุ่งนี้เช้าจะเกิดอะไรขึ้นกับข้าได้?”

“แต่ข้าออกจากตำหนักเย็นด้วยคำสั่งของเซ่อเจิ้งอ๋อง ข้าเป็นคนของเซ่อเจิ้งอ๋อง รอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าเซ่อเจิ้งอ๋องย่อมต้องเรียกตัวข้าเข้าพบ ถึงเวลานั้นท่านก็ยากจะหลบหนีความผิด!” หลินชิงเวยไม่อาจไม่ยกเซ่อเจิ้งอ๋องออกมาข่มอีกฝ่าย ด้วยต้องการถ่วงเวลาหาโอกาสให้กับตนเอง

เห็นนางพูดด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจ มือเท้าของหมัวมัวผู้นั้นจึงเกิดอาการลังเลอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเพียงชั่วครู่ราวกับนางได้ตัดสินใจเด็ดขาด จึงถ่มน้ำลายลงพื้นไปคำหนึ่ง “ถุย! เจ้าเป็นสิ่งของอะไรกัน ถึงกับอาจเอื้อมกล้าบอกว่าเจ้าเกี่ยวข้องกับเซ่อเจิ้งอ๋อง! ข้าจัดการกับสตรีในตำหนักในมาไม่น้อย ยังไม่เคยพบกับคนช้ำต่ำไร้ยางอายเช่นเจ้ามาก่อน! เบื้องบนมีไทเฮา เจ้าคิดว่าเจ้าจะยกเซ่อเจิ้งอ๋องมาข่มขู่ข้าได้หรือ พรุ่งนี้หากเซ่อเจิ้งอ๋องเรียกตัวเจ้า ก็เรียกศพของเจ้าอย่างไรเล่า!”

พูดแล้วไม่ให้โอกาสหลินชิงเวยได้เจรจาอีก นางออกแรงตวัดเพื่อดึงแส้กลับไปด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล ส่งผลให้แส้นั้นบาดลึกลงไปในฝ่ามือของหลินชิงเวยราวกับเนื้อจะปริแยกออกจากกัน นางยังไม่ทันได้รู้สึกเจ็บปวดแส้ก็ถูกตวัดลงมาเป็นครั้งที่สาม

ซินหรูตื่นตระหนกอย่างที่สุด นางร้องเรียกเสียงดัง “พี่สาว!” จากนั้นโผร่างเข้ามาอย่างไม่คิดถึงตนเอง ส่งผลให้แส้นั้นฟาดลงมาบนร่างของนางจังๆ ความเจ็บปวดนั้นทำให้นางส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

แม่ชีเฒ่านางนี้ไม่เห็นคำพูดของหลินชิงเวยอยู่ในสายตา ราวกับไม่เห็นเซ่อเจิ้งอ๋องอยู่ในสายตาเช่นกัน แต่เมื่อดูจากท่าทีของไทเฮาที่มีต่อเซ่อเจิ้งอ๋องแล้ว ปฏิกิริยาที่รีบไปพบนั้นไม่เหมือนกับมีความแค้นเคืองยิ่งใหญ่ต่อเซ่อเจิ้งอ๋อง ในเมื่อเป็นเช่นนี้เหตุใดจึงไม่ไปไต่ถามให้รู้แน่ชัดเสียก่อนแล้วค่อยลงทัณฑ์ นี่ไม่เกรงกลัวว่าเซ่อเจิ้งอ๋องจะลงทัณฑ์หรือ?

หรืออาจเป็นเพราะ พวกนางได้ไปสอบถามและรู้แน่ชัดนานแล้ว เพียงแต่…

ความคิดของหลินชิงเวยสับสนหยุดนิ่งลงด้วยซินหรูโผเข้ามาใช้ร่างของนางรับแส้แทน เวลานี้ซินหรูหมดสติทันทีที่ถูกโบยด้วยแส้

หมัวมัวแค่นหัวเราะเสียงเย็นออกมาสองครั้ง “คิดไม่ถึงว่าเจ้าสิ่งของเล็กๆ นั่นยังเป็นคนมีคุณธรรมคนหนึ่ง ช่างเป็นคนชั้นต่ำที่เกิดจากคนชั้นต่ำจริงๆ ช่างเถิด รอให้ข้าจัดการกับนางก่อนแล้วค่อยจัดการกับเจ้า!” พูดแล้วหมัวมัวก็เดินเข้ามาหาซินหรู คิดจะหิ้วตัวนางขึ้นมา

หากว่าด้วยเรี่ยวแรงและพละกำลังแล้วหลินชิงเวยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง จึงถูกหมัวมัวสลัดออกไปอีกด้านหนึ่งอย่างง่ายดาย ซินหรูเวลานี้ค่อยๆ ได้สติคืนมา จึงพยายามดิ้นรนต่อสู้ หมัวมัวเงื้อมือตวัดแส้ลงไปบนร่างของนางอย่างแรงอีกสองครั้ง