บทที่ 27 จับกุมผู้ต้องหา

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

เจ้ากรมซุนเหลือบมองอย่างเย็นชา

หวงหลางจงรู้สึกเหมือนตกลงไปในอุโมงค์น้ำแข็ง ก้มหน้าและเดินไปหาด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน

“ใต้เท้า เหตุการณ์มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ข้าน้อยไม่ทันได้รับเอกสารการจับกุม สาเหตุสำคัญเป็นเพราะบุคคลผู้นี้เป็นทหารที่มีชื่อเสียงและยังเป็นหลานชายของสวี่ผิงจื้อแห่งกองดาบด้วย มีความสามารถในการหลบหนีการตัดสินลงโทษได้” หวงหลางจงคิดในใจว่า ‘ปากของท่านเจ้ากรมห่างจากข้าแค่หกฟุต แต่ข้าสามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ภายใน 0.01 วินาที’

“คุณชายโจวส่งผู้ติดตามไปยื่นคำฟ้อง โดยบอกว่ามีคนร้ายทุบตีเขาบนท้องถนน แล้วยังบอกด้วยว่าจะทำให้เขาเลือดสาดเลยทีเดียว…”

“เหตุการณ์เร่งด่วน ข้าน้อยตัดสินใจจับตัวไว้ก่อนเพื่อป้องกันการหลบหนีขอรับ”

มีเจ้าพนักงานของสำนักโหราจารย์และปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่อยู่ด้วย เขาไม่กล้าโกหก แล้วก็ไม่จำเป็นต้องโกหกด้วย

สองฝ่ายต่อสู้กันบนท้องถนน เดิมทีต้องรับโทษเท่ากันอยู่แล้ว

ตัวเขานอกจากไม่ได้รับเอกสารการจับกุมก็ทำตามระเบียบทุกอย่าง ในกรมอาญา ตัวอย่างการเพิ่มเติมเอกสารการจับกุมภายหลังนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก

บรรดาเจ้าพนักงานของสำนักโหราจารย์ต่างพากันขมวดคิ้ว

หลี่มู่ไป๋และจางเซิ่นมองหน้ากัน ฝ่ายแรกก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและพูดอย่างเคร่งขรึม “ยอดนักปราชญ์กล่าวไว้ว่า ‘สุภาพบุรุษควรมีความซื่อสัตย์เป็นที่ตั้ง’ ”

‘ตุบๆๆ…’

หวงหลางจงรู้สึกเพียงว่าหัวใจของเขากำลังเต้นแรง เลือดสูบฉีดไปที่ใบหน้า เนื่องจากรู้สึกละอายใจที่พูดโกหกและรู้สึกละอายใจจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

เขาเกลียดตัวเองที่โกหกและจิตใจกำลังต่อต้านอย่างรุนแรง ต่อต้านพฤติกรรมที่ต่ำช้าของเขา

ปากก็ทิ้งปณิธานของเขาด้วยความโกรธ เอ่ยปากพูดอย่างขาดการควบคุม “คุณชายโจวต้องการจัดการสวี่ชีอันให้ตาย ให้เขาตายคาเรือนจำของกรมอาญา เพื่อระบายความเคียดแค้นในใจ ข้า ข้า…อยากให้คุณชายโจวซึ้งใจในตัวข้า”

สบายใจแล้ว…หวงหลางจงนั่งลงบนพื้น เหงื่อซึมทั่วหน้าผาก

เกิดเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นรอบๆ แววตาของเจ้าหน้าที่กรมอาญามากกว่าสิบคนที่มองหวงหลางจง บางคนดูถูกดูแคลน บางคนเหยียดหยาม บางคนก็รู้สึกสาแก่ใจ บางคนส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ

“ข้าน้อยไร้ยางอาย วันพรุ่งข้าน้อยจะเขียนหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษ” การทำงานของกรมอาญาเกิดความกระตือรือร้นขึ้นมาในทันที

ดำเนินการตามหลักคุณธรรมห้าประการ…เจ้ากรมซุนเงียบเฉย กวาดตามองหวงหลางจงที่ใบหน้าซีดเผือด แววตาไร้ชีวิตชีวา แล้วสั่งเจ้าหน้าที่ในปกครองว่า “ถ่ายทอดคำสั่งข้า ปล่อยตัวเขาไป”

ท่ามกลางเสียงกระทบกันของโซ่ตรวนและกุญแจมือ สวี่ชีอันถูกพาตัวมาที่ห้องไต่สวน คุณชายโจวเปลี่ยนเป็นชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มตัวหนาแต่ดูไม่น่าเกลียด

เขานั่งด้วยท่าทางผึ่งผาย เท้าข้างหนึ่งพาดอยู่บนเก้าอี้ ใบหูที่ฉีกขาดจากการถูกสวี่ชีอันเหยียบถูกพันด้วยผ้าสีขาว

ชายชราร่างผอมบางที่สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน คอเสื้อและปลายแขนเสื้อกุ๊นสีทองยืนอยู่ข้างเขา จ้องมองที่สวี่ชีอันด้วยดวงตาที่แหลมคม โดยไม่ปิดบังเจตนาที่ต้องการสังหารอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

นอกจากนี้ยังมีผู้คุมสองนายยืนอยู่ข้างกองเครื่องลงทัณฑ์ มองสำรวจสวี่ชีอันด้วยท่าทางสาแก่ใจ

คุณชายที่สวมชุดสวยงามโบกมือ ผู้คุมคนหนึ่งหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากหน้าอกแล้วโยนใส่หน้าสวี่ชีอัน

“เวลานี้เจ้ามีสองทางให้เลือกเดิน” คุณชายโจวเหลือบตามอง “ยอมรับผิดและประทับลายนิ้วมือยอมรับโทษทัณฑ์ หรือรับโทษจากเครื่องมือลงทัณฑ์ของที่นี่ทุกชิ้น จากนั้นก็ยอมรับโทษและประทับลายนิ้วมือ”

สวี่ชีอันมองดูแวบหนึ่ง เนื้อหาในหนังสือยอมรับโทษทัณฑ์มีใจความประมาณนี้ ‘เนื่องจากมือปราบสวี่ชีอันแห่งที่ว่าการอำเภอฉางเล่อได้ทะเลาะวิวาทกับโจวลี่บนท้องถนนและมีเจตนาฆ่า โดยใช้กำลังทำร้ายโจวลี่จนได้รับบาดเจ็บสาหัส จากนั้นมือปราบก็มาถึง แล้วมือปราบสวี่ชีอันก็ถูกจับกุม…’

ทำร้ายร่างกายบนท้องถนน อีกฝ่ายเป็นถึงบุตรชายของรองเจ้ากรมแห่งกรมการคลัง หากข้าประทับลายนิ้วมือ โทษสถานเบาก็ต้องถูกเนรเทศ หากสกุลโจวตุกติกก็อาจจะตัดสินตัดหัวข้าที่ตลาดผักก็เป็นได้…นี่ไม่ได้เป็นการเหลือทางรอดให้ข้า

สวี่ชีอันถอนสายตา หันไปมองคุณชายที่สวมชุดสวยงาม “ประทับลายนิ้วมือยอมรับ จะได้เจ็บตัวน้อยลง?”

มุมปากของคุณชายโจวกระตุกราวกับกำลังล้อเล่นกับมด พูดติดตลกว่า “ไม่สิ ทางเลือกที่ข้าให้เจ้าคือ ประทับลายนิ้วมือยอมรับก่อนแล้วรับการทรมาน หรือรับการทรมานก่อนแล้วจึงค่อยประทับลายนิ้วมือยอมรับ”

ผู้คุมหลายคนหัวเราะฮ่าๆ

สีหน้าของสวี่ชีอันบึ้งตึง

ยิ่งเขาเป็นแบบนี้มากเท่าไหร่ นายน้อยโจวก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น และเขาชอบให้คนที่หมดหนทางเกลียดเขา

“จุ๊ๆ น่ากลัว น่ากลัวจริงๆ” โจวลี่หัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า “ท่านอาเฉิน โซ่ตรวนและกุญแจมือแน่นหนาหรือไม่ หากจู่ๆ คนร้ายลุกขึ้นมาฆ่าคนจะทำอย่างไร”

ชายชราร่างผอมบางหัวเราะและพูดว่า “คุณชายโปรดวางใจ แค่มดตัวเดียว ข้าน้อยตบทีเดียวก็ตายแล้ว”

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว” โจวลี่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่กองเครื่องลงทัณฑ์ พูดจาฉะฉานว่า “ที่นี่มีเครื่องลงทัณฑ์ยี่สิบสี่ชนิด แต่ละชนิดสามารถทำให้เจ็บปวดถึงขีดสุด แต่ไม่อาจถึงตาย เป็นเครื่องมือมีคมที่ใช้ในการไต่สวนเพื่อบังคับให้สารภาพ ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ทำเช่นนั้นมันสบายเกินไปสำหรับเจ้า ได้ยินมาว่าในเรือนจำของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีเครื่องมือลงทัณฑ์ถึง 108 ชนิด คนที่ถูกจองจำในนั้นไม่มีผู้ใดที่รอดชีวิตออกมาได้ น่าเสียดายที่เจ้าไม่มีวาสนาได้ทดลอง จุ๊ๆ น่าเสียดาย…”

สวี่ชีอันมองดูเครื่องลงทัณฑ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีทั้งที่นั่งที่ปูด้วยตะปูเหล็ก มีเข็มเหล็กที่เต็มไปด้วยสนิม และเลื่อยเหล็กสีแดงคล้ำที่เกิดจากเลือดที่ติดมาเป็นเวลานาน…มีมากมายก่ายกอง ทุกชนิดเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและคาวเลือด

สวี่ชีอันกลืนน้ำลายลงคอ ใบหน้าซีดเผือด

คำนวณตามเวลาแล้ว แม่นางไฉ่เวยแห่งสำนักโหราจารย์น่าจะได้รับการแจ้งจากหัวหน้ามือปราบหวังแล้ว…เหตุใดจึงยังมาไม่ถึง…หรือไม่เต็มใจที่จะช่วยข้า?

เป็นไปไม่ได้ หนังสือเล่มนั้นข้าเขียนเอาไว้ได้อย่างน่าดึงดูดใจมาก และนักเล่นแร่แปรธาตุทุกคนเมื่อได้อ่านแล้วน่าจะอดรนทนไม่ไหว อยากจะอ่านเนื้อหาตอนต่อไปทันที

ถ้ายังไม่มาช่วย แม้ว่าสุดท้ายแล้วข้าจะมีชีวิตรอดต่อไป แต่การใช้เครื่องลงทัณฑ์ครบทุกชนิด ข้าก็คงกลายเป็นคนพิการไปแล้ว…หน้าผากของสวี่ชีอันเริ่มมีเหงื่อซึม

เขาเป็นคนปกติคนหนึ่งที่มีความรู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน

ขณะที่คุณชายโจวพูดก็ได้สังเกตสีหน้าของเขาตลอดเวลา ได้เห็นดังนั้นก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง

เกมจับหนูแบบนี้ทำให้เขาจมดิ่งลงไปในเกม รู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง จึงพูดต่อว่า “ได้ยินมาว่าเจ้าถูกอารองสวี่ผิงจื้อเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก คงมีความผูกพันกันมาก เอ้อ ข้ามีเหตุผลที่จะสงสัยว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เจ้ากับอารองของเจ้าวางแผนร่วมกัน”

เขาเคยตรวจสอบข้า…เส้นโลหิตดำที่ขมับของสวี่ชีอันนูนขึ้น

“เรื่องนี้…คุณชายโจว ในหนังสือรับสารภาพไม่มีเขียนไว้นี่ขอรับ” เจ้าหน้าที่ของทางการคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความรู้สึกลำบากใจ

“เจ้าโง่ แค่เขียนขึ้นมาอีกฉบับก็หมดเรื่อง” ผู้คุมอีกคนตำหนิ

“ยังจะรออะไรอีก เขียนที่นี่แหละ เขียนต่อหน้ามัน” คุณชายโจวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

เสียงหัวเราะดังก้องอยู่ในห้องไต่สวน ทันใดนั้นประตูเหล็กของห้องกักตัวก็ถูกเปิดออก ผู้คุมคนหนึ่งเดินนำเจ้าหน้าที่ชุดคลุมสีครามเข้ามา

เจ้าหน้าที่ชุดคลุมสีครามคนนั้นกวาดตามองไปรอบๆ เห็นตามตัวสวี่ชีอันไม่มีคราบเลือด ไม่มีร่องรอยบาดแผล จึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

“เอาตัวเขาไป”

ในที่สุด ในที่สุดก็มาสักที…สวี่ชีอันรู้สึกโล่งอก

ทหารประจำห้องไต่สวนมองไปที่คุณชายโจวโดยไม่รู้ตัว

“ใต้เท้าท่านนี้ ข้ากำลังสอบปากคำนักโทษ” คุณชายโจวเบนสายตาจากชุดคลุมสีครามซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของขุนนางระดับห้า จ้องไปที่ใบหน้าของเจ้าหน้าที่ สีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย

เจ้าหน้าที่ชุดคลุมสีครามยิ้มแปลกๆ แล้วพูดว่า “นี่คือกรมอาญา ไม่ใช่กรมการคลัง คุณชายโจวต้องการสอบปากคำนักโทษ เชิญกลับไปสอบปากคำที่กรมการคลัง หากกรมการคลังมาควบคุมเรื่องการลงทัณฑ์ด้วยล่ะก็…”

พูดจบก็ตะโกนว่า “เจ้าสุนัขทั้งหลาย ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรืออย่างไร เอาตัวเขาไป”

…………………………………………………