ตอนที่ 46 เป็นไข้

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 46 เป็นไข้

เจียงโหย่วฉายไข้ขึ้นสูง เขาทรมานมาทั้งคืนจนตอนนี้ไข้ก็ยังไม่ลดลงแม้แต่น้อยเลย

หลีโผจื่อร้อนรนจนตื่นขึ้นมาถีบประตูห้องเจียงป่าวชิงตั้งแต่เช้า และเรียกให้เจียงหยุนชานออกไปกับนางเพื่อเช่ารถไปเชิญแม่เฒ่าเซียนเว่ยมาที่นี่

อันที่จริงเจียงหยุนชานไปหรือไม่ไปก็ไม่มีผลอะไรอยู่แล้ว แต่หลีโผจื่อกลับรู้สึกว่าหากนางไม่ได้เรียกใช้เจียงหยุนชาน นางจะรู้สึกไม่สบายใจทำนองนั้น

เจียงหยุนชานเดินตามหลังหลีโผจื่อ เขารู้สึกลังเล “ท่านย่าสอง ข้าคิดว่าหากไข้ของน้องเจียงโหย่วฉายไม่ลดลง อย่างไรก็ไปเชิญให้หมอกัวมาดูอาการเขาจะดีกว่าหรือไม่ขอรับ ?”

หลีโผจื่อใช้สายตาทิ่มแทงเจียงหยุนชานทันที “ไอ้โยคุณชาย เจ้าเรียนหนังสือจนโง่แล้วหรือไร แม่เฒ่ากัวนั้นเป็นนักต้มตุ๋นในชนบท นางทำได้แค่อวดแสดงตนหลอกลวงคนอื่นไปทั่ว อาการของพี่ฉายเป็นเช่นนี้ต้องไปหาแม่เฒ่าเซียนเว่ยเท่านั้น คนที่เรียนหนังสือจนโง่อย่างเจ้าไม่เข้าใจเรื่องอภินิหารของเซียนเว่ยหรอก”

ทว่าเจียงหยุนชานยังคงลังเลอยู่เล็กน้อย “แต่…”

“พอ! แล้วก็หุบปากของเจ้าได้แล้ว” หลีโผจื่อถลึงตาใส่เจียงหยุนชานอย่างหงุดหงิด จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “เจ้ายังไม่รีบไปอีก หรือว่าเจ้าคิดจะปล่อยพี่ฉายให้ป่วยตายห๊ะ ?!”

เจียงหยุนชานทำได้เพียงโบกมือให้เจียงป่าวชิงที่อยู่ในบ้าน จากนั้นเขาก็รีบตามหลีโผจื่อไปทันที

เจียงป่าวชิงครุ่นคิดสักครู่ นางตั้งใจว่าจะไปดูเจียงโหย่วฉายสักหน่อย แต่โจซื่อเหมือนแม่ไก่แก่ที่ในหัวคิดแต่จะปกป้องลูกของตัวเองทำนองนั้น เมื่อนางเห็นหน้าเจียงป่าวชิงที่ประตู น้ำที่เพิ่งตักมาจากบ่อที่อยู่ในมือของนางก็แทบจะสาดใส่เจียงป่าวชิงอยู่แล้ว

“ไสหัวไป! แกมีเจตนาไม่ดีใช่ไหม ?! อยู่ให้ห่างจากพี่ฉายของข้า ไป ไปซะ!”

ใต้ตาของโจซื่อคล้ำอย่างเห็นได้ชัด นั่นแสดงให้เห็นว่านางไม่ได้นอนทั้งคืน และกำลังก่นด่าอยู่อย่างนั้น

เจียงป่าวชิงส่งเสียงหัวเราะ จากนั้นก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง

ในตอนที่หลีโผจื่อเชิญแม่เฒ่าเซียนเว่ยมาถึงที่นี่ เจียงโหย่วฉายก็ป่วยจนเริ่มพูดเพ้อเจ้ออย่างไม่ได้สติแล้ว และเมื่อแม่เฒ่าเซียนเว่ยเห็น คิ้วของนางก็ขมวดเข้าหากันแน่น

อันที่จริงนางเป็นเพียงหมอที่มีความรู้งู ๆ ปลา ๆ เท่านั้น ยามที่นางเจอโรคที่รักษาได้ไม่ยาก นางตบตานิดเดียวก็ได้แล้ว เพราะโรคส่วนใหญ่มักจะหายได้เอง หลังจากนั้นชื่อเสียงเรียงนามของนางก็แพร่กระจายไปในวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ

เช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว นางเต้นระบำเทพเสร็จ เจียงโหยวฉายก็อดทนพิษประเภทนั้นไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว เหลือเพียงอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น จากนั้นนางก็แค่ทำเป็นแสดงละครต่ออีกเล็กน้อย เมื่อนางใช้น้ำเพื่อปลุกเจียงโหย่วฉายให้ตื่น ครอบครัวของเจียงโหย่วฉายก็คิดว่าอิทธิฤทธิ์ของนางหาที่สุดไม่ได้

แต่ครั้งนี้สถานการณ์กลับไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไข้สูงของเจียงโหย่วฉายนั้น เขาเป็นมานานแล้ว นางจึงหลอกอะไรไม่ค่อยได้ ทว่าก็โชคดีที่เซียนเว่ยซ่อนแผนไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่แล้วแล้ว

หลีโผจื่อ โจซื่อ ท่านปู่เจียง และเจียงอีหนิว ทั้งสี่คนกำลังมองแม่เฒ่าเซียนเว่ยด้วยความกระวนกระวายใจ พวกเขาทั้งขมวดคิ้วและเปลี่ยนสีหน้าไปตาม ๆ กัน ดูแล้วคงจะตกใจและเป็นกังวลมาก

หลีโผจื่อตกใจมากจนถึงกับพูดติด ๆ ขัด ๆ “แม่เฒ่าเซียนเว่ย หลาน… หลานชายข้า เป็น… เป็นอะไรรึ ?”

เซียนเว่ยไม่สามารถพูดได้ว่าเพราะเจียงโหย่วฉายไข้ขึ้นสูงเป็นเวลานาน จึงทำให้นางตบตาผู้คนไม่ได้ นางยกนิ้วผอมกะหร่องของตัวเองขึ้นมานับอย่างรวดเร็ว และพูดอะไรบางอย่างที่ฟังไม่ค่อยเข้าใจ

หลีโผจื่อกับคนอื่น ๆ ไม่กล้าหายใจแรง สีหน้าของแต่ละคนซีดเซียวและพากันจ้องแม่เฒ่าเซียนเว่ยที่กำลังนับนิ้วทำนายดวงชะตาอยู่ตรงนั้น

ผ่านไปสักพัก แม่เฒ่าเซียนเว่ยก็ส่ายหน้าด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “เรื่องนี้ของครอบครัวเจ้า ไม่ง่ายที่จะจัดการ เนื่องจากมีคนเลวที่คอยทำชั่วอยู่ในครอบครัวเจ้า”

หลีโผจื่อกับโจซื่อตกใจจนขาอ่อน พวกนางแทบจะคุกเข่าโน้มศีรษะให้ติดพื้นอยู่รอมร่อ “แม่เฒ่าเซียนเว่ย… ช่วยพี่ฉายของเราด้วยเถอะนะจ๊ะ ขอร้องท่านล่ะ ช่วยพี่ฉายของเราด้วยเถอะ”

แม่เฒ่าเซียนเว่ยส่ายหน้าอย่างยากที่จะคาดเดาความคิดได้ “อืม… เห็นแก่ความจริงใจของพวกเจ้า ข้าจะบอกให้พวกเจ้ารู้ก็ได้” นางเงียบไปเล็กน้อย จากนั้นก็ถามขึ้นอีกครั้ง “พวกเจ้ายังจำสิ่งที่ข้าถามพวกเจ้าก่อนที่ข้าจะกลับเมื่อตอนที่ข้ามาเมื่อครั้งที่แล้วได้หรือไม่ ?”

โจซื่อความจำดีมาก นางแทบจะนึกได้ทันทีเมื่อเซียนเว่ยถามเสร็จ  ตอนที่นางกับหลีโผจื่อออกมาส่งแม่เฒ่าเซียนเว่ยที่หน้าบ้าน แม่เฒ่าเซียนเว่ยถามขึ้นมาคำหนึ่งว่าเจียงป่าวชิงไม่ปัญญาอ่อนแล้วใช่ไหม จากนั้นสีหน้าของแม่เฒ่าเซียนเว่ยก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยสู้ดีนัก… นางยังคิดอยู่เลย… หรือเป็นเพราะว่านางให้เงินน้อยไป ในตอนนั้นจึงไม่คิดอะไรมากมาย ทว่าเมื่อเอามาปะติดปะต่อกันตอนนี้ มันก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ไม่ใช่หรือ ?

โจซื่อใบหน้าซีดเผือด นางพูดขึ้นเสียงหลง “หรือเป็นเจ้าปัญญาอ่อนนั่นที่เป็นคนเลวคอยทำเรื่องชั่วอยู่ลับหลัง ?!”

เมื่อโจซื่อพูดออกมาเช่นนั้น หลีโผจื่อก็ตบขาดังฉาดราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน จากนั้นนางก็ก่นด่ายกใหญ่ “ข้าบอกแล้ว! เจ้าเท้าเล็กนั่นปัญญาอ่อนมาตั้งหลายปี แล้วจู่ ๆ จะมาบอกว่าหายดีแล้วได้อย่างไร ?! และเจ้าดูสายตาที่นางใช้มองคนก็ยังน่ากลัวขนาดนั้น มันแฝงความเย็นชาราวกับถ้าหากว่าเจ้าไปหาเรื่องนาง นางก็กล้าที่จะฆ่าเจ้าให้ตายเลยก็ว่าได้”

เวลานี้ ท่านปู่เจียงเองก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาให้เห็นเช่นกัน “ใช่! ตอนนี้พอข้ามาคิดดูแล้ว ตั้งแต่ที่เด็กนั่นกลับมา ทุกอย่างก็ผิดปกติไปทั้งหมด หลังจากที่พี่ฉายทะเลาะกับนาง เขาก็ป่วยเป็นโรคแปลกประหลาดนั่นเลย!  ข้าว่าเป็นไปได้ที่พอนางตกลงไปในแม่น้ำคราดครั้งนั้น นางก็คงจะถูกผีน้ำที่กำลังหาตัวตายตัวแทนเข้าสิงร่างอย่างแน่นอน”

ท่านปู่เจียงพูดมาเช่นนี้ คนในตระกูลเจียงก็พากันหน้าถอดสีทันที

โจซื่อเหมือนจะนึกอะไรได้อีกครั้ง จากนั้นสีหน้าของนางก็ดำทมิฬและนางเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาให้เห็น “เมื่อสักครู่ตอนที่ข้าออกไปตักน้ำ กลับมาก็เห็นนางกำลังทำท่าทางมีลับลมคมในอยู่ที่หน้าประตู หรือว่าเจ้าตัวสกปรกนั่นคิดจะเข้ามาทำร้ายพี่ฉายอีก ?”

โจซื่อพูดแช่นนั้น คนในตระกูลเจียงก็กระวนกระวายใจแทบจะในทันที พวกเขาพากันโน้มศีรษะให้แม่เฒ่าเซียนเว่ยเพื่อขอร้องให้เซียนเว่ยช่วยเจียงโหย่วฉาย และขอให้นางช่วยกำจัดสิ่งสกปรกโสมมในตระกูลออกไปให้หมด

แม่เฒ่าเซียนเว่ยรู้สึกพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้มาก

ครั้งที่แล้วนางตั้งใจเผื่อแผนครั้งต่อไปไว้ เดิมที นางคิดจะยืมสมญานามนี้เพื่อใช้ขูดเลือดขูดเนื้อคนในบ้านนี้ในภายภาคหน้า แต่ใครจะไปรู้ว่าคนในบ้านนี้จะเป็นฝ่ายมาหานางเอง

จู่ ๆ คนปัญญาอ่อนคนหนึ่งก็เกิดฟื้นคืนสติปัญญาอย่างกะทันหัน  เดิมทีนี่ก็สามารถโน้มนำวิธีพูดได้หลากหลายอยู่แล้ว แล้วมาดูว่านางจะโน้มนำวิธีพูดอย่างไร

แม่เฒ่าเซียนเว่ยหรี่ตาที่ขุ่นของตัวเองลง นางพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งคำที่พูดทั้งหมดล้วนเป็นพยางค์ที่แปลกประหลาด นางเหมือนกำลังสวดและร้องเพลงควบคู่กัน ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่นางพูดเลย

ผ่านไปสักครู่ แม่เฒ่าเซียนเว่ยก็ลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากนั้นนางก็พูดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด “ข้าหาที่มาที่ไปของสิ่งอัปมงคลนั้นเจอแล้ว  เดิมทีสิ่งอัปมงคลนั้นเป็นผีชั่วร้ายอายุร้อยปีที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำคราด มันเชี่ยวชาญในการดูดพลังหยางของมนุษย์โดยเฉพาะ และไม่รู้ว่ามีกี่ชีวิตที่ถูกมันคร่าชีวิตในแม่น้ำคราดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เด็กผู้หญิงในตระกูลเจียงที่มีนามว่าป่าวชิงตกลงไปในแม่น้ำคราดอย่างไม่ระวัง และได้ถูกผีร้ายตนนี้เข้าสิงร่าง พอขึ้นมาบนฝั่งก็เกิดเป็นความหายนะ ช่วงนี้ได้เกิดเรื่องแปลก ๆ ขึ้นในตระกูลเจียงบ่อย ๆ ใช่ไหมเล่า ? นั่นเป็นเพราะผีชั่วร้ายตนนี้กำลังปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งอยู่ในบ้านของพวกเจ้า และที่เด็กในบ้านป่วยเป็นโรคประหลาด ก็เพราะถูกผีร้ายตนนี้ดูดพลังหยางไปเป็นจำนวนมากอีกนั่นแหละ”

สมาชิกตระกูลเจียงไม่คิดว่าจะมีสิ่งอัปมงคลที่มีภูมิหลังแบบนี้อยู่ในบ้าน!

หลีโผจื่อกับโจซื่อตกใจจนขาพับขาอ่อน พวกนางร้องห่มร้องไห้ละล่ำละลักถามขึ้น “แล้วพี่ฉายของเรายังจะมีทางรอดอยู่ไหมแม่เฒ่า ?”

แม่เฒ่าเซียนเว่ยถอนหายใจออกมายาว ๆ “อิทธิฤทธิ์ของผีร้ายตนนั้นมีมากเกินไป ขณะนี้มันก็กำลังดูดพลังหยางจากพี่ฉายของพวกเจ้าอยู่เช่นกัน แต่พี่ฉายของพวกเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา  อืม… พลังหยางจำนวนมากจะช่วยเพิ่มความสามารถให้กับผีร้ายตนนั้น แต่ข้าขอลองดูก่อน”

……

ตอนที่เจียงหยุนชานไปรับแม่เฒ่าเซียนเว่ยกับหลีโผจื่อ รถที่พวกเขาเช่าก็คือรถล่อของบ้านซุนต้าหู เดิมทีซุนต้าหูก็สนิทกับเจียงหยุนชานอยู่แล้ว เขาจึงถามเจียงหยุนชานด้วยความห่วงใย เมื่อได้รู้ว่าเจียงโหย่วฉายมีไข้สูงเป็นเวลานาน เขาก็จะแนะนำให้ไปเชิญแม่เฒ่ากัวมาดูอาการ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกหลีโผจื่อก่นด่าใส่หน้าเต็ม ๆ เสียก่อน ย่าสองเอาแต่บอกว่าถ้าเขาไม่รู้อะไรก็อย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า จะได้ไม่ล่วงเกินเทพและเซียน และถ้าหากว่าการกระทำของเขาวกมาทำร้ายตระกูลของพวกนาง ถึงตอนนั้นนางจะไม่ยกโทษให้เขา

ซุนต้าหูเป็นคนซื่อตรง เมื่อถูกหลีโผจื่อด่าเช่นนี้ สีหน้าเขาก็เหยแกมาตลอดทางและไม่กล้าพูดอะไรอีก

แต่ทว่าซุนต้าหูยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย กลับมาถึงบ้านและปลดรถล่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่ดี

ในหมู่บ้านขาดแคลนหมอและยารักษาโรคมาโดยตลอด ทั้งยังไม่ค่อยมีการติดต่อกับโลกภายนอกอีก แต่เขาทำอาชีพรับส่งคนมาตลอดทั้งปี จึงรู้อะไรเกี่ยวกับโลภภายนอกมาบ้าง

ในหมู่บ้านใกล้เคียง การที่เด็กตายตั้งแต่เยาว์วัยนั้นเป็นเรื่องที่เห็นบ่อยแล้วจริง ๆ

หากว่าคนในบ้านมีอาการปวดหัวตัวร้อน ถ้าไม่ต้มน้ำต้มสมุนไพรสุ่มสี่สุ่มห้าที่ทำตามวิธีดั้งเดิมของคนท้องถิ่น ก็จะเชิญคนที่ขึ้นชื่อว่าเซียนมาแสดงอิทธิฤทธิ์ ซึ่งบางครั้งก็หายจริง ๆ แต่บางครั้งก็ไม่หาย

โดยเฉพาะเด็กเล็ก ในแต่ละปีเด็กที่ตายในหมู่บ้านก็มีไม่น้อยเลย

แต่จากที่เขารู้มา การที่เด็กในอำเภอมีชีวิตรอดกันเป็นจำนวนมาก ก็เพราะถ้าป่วยหรือมีไข้ พ่อแม่ของพวกเขาก็จะพาพวกเขาไปให้หมอดูอาการที่ศูนย์บริการรักษาโรค

ซุนต้าหูไม่สามารถนั่งนิ่ง ๆ ที่บ้านได้จริง ๆ สุดท้ายเขาก็ซ่อนทองแดงสองสามแผ่นไว้ในเสื้อ และมุ่งไปที่บ้านตระกูลเจียงทันที

เขาคิดอย่างเรียบง่ายมาก เขาคิดว่าถ้าตระกูลเจียงไม่สามารถเชิญหมอมาที่บ้านได้เพราะเงินไม่พอ อย่างน้อยที่เขาก็ยังมีทองแดงเพื่อให้รับมือกับเหตุฉุกเฉินอยู่

.