ภาคที่ 1 บทที่ 45 ขอความช่วยเหลือ

มู่หนานจือ

เจียงเซี่ยนนึกถึงเจียงลวี่พี่ชายของนางอย่าว่าแต่เรื่องสาวงามเลย ก่อนแต่งงานนั้นข้างกายไม่มีแม้แต่สาวใช้ที่คอยติดตามรับใช้สักคนด้วยซ้ำ แต่กลับพูดจาแบบนั้นกับนางอยู่พักหนึ่ง นางยิ้มอยู่ ขอบตาก็ค่อยๆ ชื้นขึ้นมา

เจียงเจิ้นหยวนเห็นแล้วก็ถอนหายใจในใจ

เด็กคนนี้ยังคงถูกกลั่นแกล้งในวัง

ถึงแม้เขาคิดอะไรละเอียดรอบคอบ ทว่ากลับไม่มีประสบการณ์ในการพูดคุยกับสตรี จึงยิ่งไม่รู้ว่าจะปลอบใจเจียงเซี่ยนอย่างไร ทำได้เพียงทำเป็นมองไม่เห็น และก้มหน้าลงไปดื่มชา

เจียงเซี่ยนนึกถึงชาติก่อนที่ท่านลุงรักตนเองเป็นอย่างมาก นางก็อารมณ์ดีขึ้น และหยุดหัวเราะ พลางเอ่ยต่อว่า “ข้าไปสืบเรื่องฝ่าบาทมาแล้ว ปรากฏว่าพบว่าฝ่าบาทกับแม่นมของฝ่าบาท ซึ่งก็คือแม่นมฟางเป็นชู้กัน…”

“อะไรนะ?!” เจียงเจิ้นหยวนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาแผดเสียงจนฮูหยินเจิ้นกั๋วกงสกุลฝางที่เฝ้าอยู่ในลานด้านนอกก็ได้ยิน

นางรีบเรียก “ท่านกั๋วกง” ผ่านลายฉลุหน้าต่าง ส่งสัญญาณให้สามีเบาเสียงลงหน่อย แต่ในใจกลับไม่สบายใจและกังวล ไม่รู้ว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น คิดว่าหากลูกชายอยู่ก็ดี นางจะได้มีคนออกความเห็นสักคน แล้วก็คิดว่าลูกชายไม่รู้ไปทำอะไรที่ไหน นี่ก็ไม่ได้ข่าวคราวมาสองเดือนกว่าแล้ว ไม่รู้ว่าอยู่ข้างนอกหนาวมากหรือหิวบ้างหรือไม่ หากนางพยายามหน่อย มีลูกชายอีกหลายคนก็ดี…นางกระวนกระวายใจจนนั่งไม่ติดไปชั่วขณะ

แน่นอนว่าเจียงเจิ้นหยวนที่อยู่ในห้องหนังสือไม่รู้ว่าฮูหยินของตนเองกำลังคิดอะไรอยู่บ้าง

เขาได้รับสัญญาณเตือนจากภรรยาก็เบาเสียงลง และเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เจ้าบอกข้ามาให้ชัดเจน”

เจียงเซี่ยนจึงเอ่ยคำพูดที่คิดไว้เรียบร้อยแล้วก่อนหน้านี้ให้ท่านลุงฟัง “…เสด็จยายเห็นเฉาไทเฮาไม่สนใจฝ่าบาท ก็เลยอยากให้นางในที่ชื่อซ่งเสียนอี๋ที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทบอกให้ฝ่าบาทรู้เรื่องทางโลก ใครจะรู้ว่าฝ่าบาทกลับไม่สนใจนางแม้แต่นิดเดียว เสด็จยายก็ไม่อาจบังคับได้เช่นกัน และฝ่าบาทก็บอกว่าอยากแต่งงานกับข้าพอดี ข้าว่าซ่งเสียนอี๋นั่นก็ไม่เลว จึงเอ่ยปากอีกครั้ง แต่ฝ่าบาทกลับปฏิเสธท่าเดียว ตอนนั้นข้ายังคิดว่าทำไปเพราะข้า จึงคิดว่าฝ่าบาทไม่ยอมก็ช่างเถอะ ต่อไปฝ่าบาทโปรดใคร ข้าก็ยกย่องคนนั้นแล้วกัน ข้าปักถุงเงินเอง ว่าจะส่งไปให้ฝ่าบาท แต่ก็กลัวเฉาไทเฮารู้แล้วจะทำให้เขาลำบาก จึงไปหาคนสกุลฟาง แม่นมของเขา”

“คิดไม่ถึงว่านางขอลาป่วย แล้วก็ไม่ปรากฏตัวในวังมาสองเดือนกว่าแล้ว แต่ในใบลากลับขอไว้แค่สิบวัน”

“ท่านก็รู้ว่าสามีของแม่นมฟางรับตำแหน่งผู้บัญชาการอยู่ที่เป่าติ้ง และลูกชายเพียงคนดียวก็ตามไปอยู่ที่เป่าติ้งด้วย ข้าไม่รู้ว่าฝ่าบาทตั้งใจอนุญาตให้นางไปอยู่กับสามีและลูกชายที่เป่าติ้ง หรือเฉาไทเฮากดดันหนักเกินไป แม่นมฟางจึงไปทำงานให้ฝ่าบาท ดังนั้นข้าเลยไม่กล้าแพร่งพรายข่าวออกไป และแอบส่งคนไปสืบ”

“ปรากฏว่าสืบเจอบ้านของแม่นมฟางที่ตรอกใต้เท้าเจิ้ง”

ความเสียใจและความโกรธแค้นที่รู้ความจริงยังคงหลงเหลืออยู่ในใจของเจียงเซี่ยน สีหน้านางเปลี่ยนเป็นเหม่อลอยอย่างไม่อาจห้ามได้

“และพบว่านางตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว”

“ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นสามีนาง”

“คิดว่าปกติฝ่าบาทเคารพนางเป็นอย่างมาก ถึงแม้นางทำเช่นนี้จะฝ่าฝืนกฎของวัง แต่สายสัมพันธ์ใหญ่กว่ากฎหมาย ฝ่าบาทไม่สืบหาสาเหตุแล้ว แน่นอนว่าข้าก็ต้องช่วยพวกเขาปิดบังไว้…”

เจียงเจิ้นหยวนค่อยๆ เข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว

หากเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของสามีคนสกุลฟาง งั้นก็เป็นลูกของชายชู้

หลายปีนี้ท้องพระคลังว่างเปล่า ในวังปล่อยคนไป แต่กลับทดแทนกันไม่ทัน นอกจากวังฉือหนิง วังคุนหนิง และวังเฉียนชิงแล้ว สนม นางใน และขันทีที่อยู่วังอื่น นอกจากเงินเดือนก็ไม่มีอะไรแล้ว จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นตลอด แต่เฉาไทเฮาเป็นคนที่เคร่งครัดในกฎระเบียบมาก มองจากภายนอกวังหลวงเป็นเหมือนภาพทิวทัศน์ดอกไม้หลากสีสันงดงาม แต่ภายในวังนั้นวุ่นวายอย่างมาก แต่จะอันตรายอย่างไรก็คงไม่ถึงกับเกิดเหตุการณ์ที่แม่นมของฮ่องเต้ถูกใครข่มขื่นเช่นกัน

ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่กล้าปล่อยให้เลี้ยงเจียงเซี่ยนในวัง

เช่นนั้นชายชู้คนนี้…

ตอนนี้เจียงเจิ้นหยวนก็เหงื่อตกไปทั้งตัว เขายังฟังต่อไปได้ที่ไหนกัน

“เด็กคนนั้นเป็นลูกของฝ่าบาทงั้นหรือ?” เขาเอ่ยเสียงทุ้ม ในเสียงปนจิตสังหารอย่างที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ว่าเป็นความเข้าใจผิด

เจียงเซี่ยนไม่เอ่ยสิ่งใด

เจียงเจิ้นหยวนนั่งอึ้งอยู่ตรงนั้น และไม่ส่งเสียงอยู่นานมาก จนกระทั่งเขาตั้งสติได้แล้ว ก็เหมือนมีพายุลูกใหญ่พัดผ่านในดวงตา เขากวาดกาน้ำชาและถ้วยชาโลหะบนโต๊ะชาทั้งหมดลงบนพื้น ปากก็เม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ใบหน้าที่เดิมทีก็ผอมแห้งเล็กน้อยทอประกายความโหดร้ายและหม่นหมองจนน่ากลัว

เจียงเซี่ยนไม่รู้สึกกลัว นางรู้สึกเพียงสบายใจ

ชาติก่อน จ้าวอี้ไม่ให้เกียรตินาง ลุงของนางก็ระเบิดอารมณ์ออกมาแบบนี้เช่นกัน

ดังนั้นเจียงเซี่ยนจึงเอ่ยว่า “ฝ่าบาทให้ท่านช่วยเขาปิดล้อมเฉาไทเฮา เรื่องไปถึงขั้นไหนแล้วหรือ?”

เจียงเจิ้นหยวนสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก และเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเป็นคนบอกเจ้าหรือ?”

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” เจียงเซี่ยนอยากตัดขาดความสัมพันธ์กับจ้าวอี้ นางจะช่วยพูดให้จ้าวอี้ได้อย่างไร “ข้าค้นพบเอง”

เจียงเจิ้นหยวนมองใบหน้าที่สงบนิ่งและขาวราวกับหิมะของเจียงเซี่ยน แล้วปวดใจมาก

หลานสาวคนนี้ใช้ชีวิตในวังอย่างไรกันแน่? ทำไมถึงรู้เรื่องพวกนี้ได้?

หากแม้แต่เจียงเซี่ยนยังรู้ได้ คนอื่นก็ต้องรู้ได้เช่นกัน

คิ้วของเจียงเจิ้นหยวนขมวดแน่นจนเป็นตัวอักษรชวน[1]

เจียงเซี่ยนรีบปลอบใจเขาว่า “ข้าโตมากับฝ่าบาทตั้งแต่เด็ก ข้ารู้นิสัยเขาดีที่สุดแล้ว ข้าเดาได้ตอนที่สืบเรื่องแม่นมฟาง ไม่อย่างนั้นพวกเรารู้จักกันมาตั้งหลายปี ทั้งที่เขารู้ว่าเฉาไทเฮาไม่อยากให้ข้าเป็นลูกสะใภ้ของนาง ทำไมเขาถึงพูดว่าจะแต่งงานกับข้า!”

เจียงเจิ้นหยวนนึกถึงจ้าวอี้ที่ตนเองรู้จัก และเอ่ยเสียงเบาว่า “ถูกต้อง! เขาไม่คู่ควรจริงๆ…ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องขี้ขลาดตาขาว แต่เขายังไร้ความรับผิดชอบ รู้จักแต่ลอบวางแผนทำเรื่องชั่วตลอด ไม่มีจิตวิญญาณและความจริงใจของฮ่องเต้แม้แต่นิดเดียว”

เจียนเซี่ยนได้ยินก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถึงเอ่ยว่า “ท่านลุง เลิกร่วมมือกับเขาตอนนี้ไม่ทันแล้วหรือเปล่าเจ้าคะ?”

เจียงเจิ้นหยวนเริ่มครุ่นคิด

เจียงเซี่ยนรู้ว่าลุงของตนเองคนนี้สติปัญญาเฉียบแหลมและเก่งการวางแผน นางกลัวเขาจะคิดหาทางอื่นออก จึงไม่กล้าให้เขาคิดทบทวนมากนัก และรีบเอ่ยว่า “ท่านลุง ข้าคิดมานานมากแล้ว โอกาสลงมือที่ดีที่สุดก็คือช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของเฉาไทเฮา พวกท่านต้องเลือกลงมือวันนั้น ท่านเป็นคนสุขุมเยือกเย็น หากไม่มั่นใจก็จะไม่ลงมือ เวลานี้อีกเพียงสิบกว่าวันก็จะถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของเฉาไทเฮาแล้ว สิ่งที่ควรเตรียมก็เตรียมหมดแล้ว ถึงท่านจะมีทางปฏิเสธฝ่าบาททางอ้อมและถอนตัวจากแผนการ แต่หลังจากนั้น?”

“เฉาไทเฮาจะปล่อยตระกูลเจียงไปหรือไม่?”

“พอถึงตอนที่ฮ่องเต้กุมอำนาจ จะปล่อยตระกูลเจียงไปหรือไม่?”

“แม้ข้าจะเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลเจียง แต่ก็ทำร้ายตระกูลเจียงเช่นนี้ไม่ได้!”

จะกลับคำตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วแล้วจริงๆ

แต่จะให้เขามอบหลานสาวให้แต่งงานกับจ้าวอี้เช่นนี้ เขาไม่ยอมอย่างเด็ดขาด

เจียงเซี่ยนเข้าใจเจียงเจิ้นหยวนมากกว่าเจียงเจิ้นหยวนเสียอีก

นางเอ่ยว่า “หากเฉาไทเฮามอบอำนาจคืนให้ฝ่าบาท เรื่องแต่งงานของข้าจะเป็นอย่างไร? ร่วมมือกับอ๋องเหลียว? ใช้อะไรเป็นหลักฐานยืนยันแสดงความจงรักภักดี? วางแผนก่อกบฏ ใช้อะไรเป็นข้ออ้าง? ตระกูลเจียงหลายรุ่นต่างไม่เคยรับตำแหน่งแม่ทัพเมืองชายแดนทางเหนือที่สำคัญทั้งเก้าแห่งเลย ในฐานที่มั่นของเป่ยจื๋อลี่[2]เหล่านี้ มีลูกหลานตระกูลขุนนางที่สร้างความดีความชอบต่อแคว้นอย่างใหญ่หลวงมากมาย วันธรรมดาใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย เสื้อผ้าหรูหรา ดูดี แต่มีสักกี่คนที่ออกรบฆ่าศัตรูได้จริงๆ? อ๋องเหลียวไปยังเมืองชายแดนที่สำคัญด้วยความแค้น เวลานี้สถานการณ์ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นอย่างไร? จิ้งไห่โหวต้านโจรสลัดอยู่ทางใต้ หลายปีมานี้ก็ยื่นหนังสือขอให้ราชสำนักอนุญาตขยายกองทัพมาตลอด ถึงแม้เฉาไทเฮาไม่อนุญาต แต่กลับให้กรมคลังดึงเงินออกมาสี่แสนชั่งทุกปี ก่วงตงกับก่วงซีถูกพวกเขาควบคุมจนเหมือนไร้ช่องโหว่ เฉาไทเฮาไม่มีทางเลือก จัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาครั้งนี้จึงตั้งใจเรียกแม่ทัพฝูเจี้ยนเข้าเมืองหลวงโดยเฉพาะ ชนกลุ่มน้อยทางตะวันตกเฉียงเหนือบุกโจมตีทุกปี แม้ว่าต้าถง เมืองเซวียน และเมืองจี้นั้นส่วนใหญ่จะเป็นลูกหลานของตระกูลเจียง แต่กลับแตะต้องทหารไม่ได้แม้แต่คนเดียว หากแตะต้องก็จะเป็นการทำลายแคว้นและวงศ์ตระกูลจนหมดสิ้น ตระกูลเจียงจะกลายเป็นนักโทษที่ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนจนไม่สนใจแคว้น และไม่มีตระกูลเจียงที่ยุติธรรมและกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ก็ไม่ใช่อะไรทั้งนั้นแล้ว…เวลาสั้นๆ เพียงสิบกว่าวัน ตระกูลเจียงจะกลับคำอย่างไร?”

————————————-

[1]  川 อ่านว่า ชวน

[2] เป่ยจื๋อลี่ พื้นที่ที่ขึ้นตรงต่อเมืองหลวง โดยเป็นเขตบริหารพิเศษในสมัยราชวงศ์หมิง มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่เมืองปักกิ่ง เมืองเทียนจิน พื้นที่ส่วนใหญ่ของมณฑลเหอเป่ย และพื้นที่บางส่วนของมณฑลเหอหนานกับมณฑลซานตงในปัจจุบัน