พอตื่น ก็ยิ่งหิว อวิ๋นหว่านเฟยหิวจนท้องกิ่วท้องแขวน ตะโกนเรียกปี้หยิงไปหลายครั้ง ทว่าไม่มีเสียงตอบรับเหมือนเดิม
ความมืดค่อยๆ คลี่คลุม
ไม่ถูกต้อง ดูแปลกๆ อวิ๋นหว่านเฟยลุกพรวดขึ้นยืน
อยู่ในห้องมาทั้งวัน ไม่มีบ่าวมาดูแลก็แล้วกันไป แต่ทำไมด้านนอกไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย อย่างไรที่นี่ก็เป็นจวนโหว ต้องมีสาวใช้เดินไปเดินมาอยู่บ้าง
จึงย่องเบาๆ ไปที่ประตู แล้วใช้แรงเปิดกลอนประตูออก
พอประตูเปิดออก ม่านราตรีก็คลี่คลุมไปทั้งสี่ทิศแล้ว ค่ำคืนอันยาวนานได้เริ่มต้นขึ้น
อวิ๋นหว่านเฟยเบิ่งตามองขณะยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน นางยืนตะลึงชั่วขณะ จากนั้นก็วิ่งออกไปยังลานด้านหน้าราวกับคนบ้า ก่อนหันมองรอบๆ อีกครั้ง
ตอนคบกับมู่หรงไท่ นางเคยไปที่เรือนของเขา แต่ที่นี่ไม่ใช่เรือนหลังนั้น ยิ่งไม่ใช่จวนกุยเต๋อโหว
ที่นี่คือที่ไหน
ด้านนอกยิ่งเรียบง่ายกว่าด้านในอีก มีเพียงบ่อน้ำโดดเดี่ยวบ่อหนึ่ง ต้นไม้เก่าแก่ที่ใบไม้หนึ่งใบกำลังร่วงหล่นลง หัวมุมมีห้องเล็กๆ ที่สร้างจากดิน ดูไปแล้ว เหมือนเตาไฟเล็กๆ เตาหนึ่ง
“ที่นี่คือที่ไหน…มีใครอยู่บ้าง มีใครอยู่บ้าง…”
อวิ๋นหว่านเฟยใกล้สติแตกเต็มที นางมิได้ถูกบ่าวของจวนโหวรับเข้าจวนโหวหรอกหรือ มิใช่รอมู่หรงไท่อยู่ในห้องหอหรอกหรือ…นี่คือสถานที่บ้าบออะไรกัน!
ในที่สุด ประตูรั้วของเรือนน้อยก็เปิดออก มีเงาคนรีบวิ่งเข้ามา พอใกล้ถึงตัวอวิ๋นหว่านเฟย ก็คุกเข่าลงร้องไห้ “คุณหนูรอง!”
เป็นปี้หยิง
“เจ้าไปไหนมา ที่นี่มันที่ไหนกันแน่ ตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหน…” อวิ๋นหว่านเฟยจ้องมองปี้หยิงเขม็ง พลางจับไหล่นางเขย่าไปมาอย่างแรง
วันนี้พอเกี้ยวหยุด และปี้หยิงเห็นเรือนน้อย ก็ตกใจ แม้นางไม่เคยมาจวนโหว ก็มั่นใจว่าที่นี่ไม่ใช่จวนโหวอย่างแน่นอน รู้สึกเหมือนบ้านของชาวบ้านที่เรียบง่ายหลังหนึ่ง แต่ป้าจันพลันกวาดตามองมาอย่างดุดัน นางจึงไม่กล้าส่งเสียง เมื่อแต่งเข้าจวนโหว ก็คือคนของจวนโหว ไม่ว่าจะให้คุณหนูรองอยู่ตรงไหน นางก็เป็นเพียงสาวใช้ จะพูดอะไรได้
หลังจากที่นางกับป้าจันพยุงคุณหนูรองเข้าห้องเรียบร้อย ปี้หยิงก็ถูกป้าจันลากตัวออกมาด้านนอก นางจึงรีบถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมไม่เข้าจวนโหว ทำไมพามาที่นี่
ป้าจันกระหยิ่มยิ้มย่อง ชายตามองนาง แล้วว่า “แม้ไม่ได้อยู่ในจวนโหว แต่ก็อยู่ไม่ไกลนักหรอก ในซอย
ข้างๆ จวนโหวนี่เอง ที่นี่เป็นเรือนที่แยกออกมาเดี่ยวๆ ไม่ดีรึ จะได้ไม่ต้องไปมาหาสู่กับคนในเรือนใหญ่ ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ทำอะไรไม่ต้องคอยดูสีหน้าใคร สบายดีออก ข้าน่ะ ยังอยากอยู่จะแย่!”
ปี้หยิงยืนตะลึง หมายความว่าอะไร นี่กำลังพูดว่าให้คุณหนูรองใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวในเรือนหลังน้อย ข้างๆ จวนโหว ไม่สามารถเข้าจวนโหวหรือ
เช่นนี้จะต่างอะไรกับชู้นอกบ้าน
ชู้ มีสถานะต่ำกว่าอนุ อนุต้องผ่านพิธีการ มีคนเป็นสักขีพยาน สามารถอยู่กับสามีในเรือนใหญ่ได้อย่างเปิดเผย!
ปี้หยิงสับสนชั่วขณะ “ป้าจัน คุณหนูรองบ้านบ่าวแต่งเข้ามาในฐานะอนุ เหตุใดจึงให้อยู่ข้างนอก ใครเป็นคนจัดการเรื่องนี้ ท่านโหวรู้หรือไม่!”
“เด็กโง่” ป้าจันเอ็ด “ยังจะมีใครจัดการได้อีก แต่งเข้ามาในฐานะอนุแล้วไง กฎหมายข้อไหนบอกว่า อนุเหมือนพระพุทธรูปทองคำ ต้องบูชาอยู่แต่ในบ้าน เลี้ยงไว้นอกบ้านไม่ได้บ้าง? คุณหนูรองก็อยู่ๆ ไปก่อน จวนโหวใกล้แค่นี้เอง อีกไม่กี่วัน ถ้าท่านโหวอารมณ์ดี ก็ไม่แน่ว่าจะเชิญคุณหนูรองให้กลับเข้าไป!”
ปี้หยิงยืนตัวแข็ง ป้าจันจึงตบไหล่นาง “เจ้าก็อย่าได้คิดว่าจะตัวเองจะว่าง เมื่อเป็นสาวใช้ที่คุณหนูเจ้าพามาด้วย เจ้าก็คือคนของจวนโหวเราแล้ว ต่อไปทุกวันต้องไปทำงานในห้องครัวจวนโหวแต่เช้าจรดเย็น พอฟ้ามืดถึงจะกลับมาที่นี่ได้ โดยสามารถนำอาหารที่พอสำหรับหนึ่งวันติดไม้ติดมือมาให้คุณหนูเจ้า”
นี่ นี่มิใช่เห็นคุณหนูรองเป็นหมูเป็นหมา แล้วเลี้ยงไว้นอกบ้านรึ
ปี้หยิงหายใจเอาอากาศเย็นเข้าปอด แต่ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบกลับ ก็ถูกป้าจันกับบ่าวอีกคนของจวนโหวลากตัวไป
และนางก็เพิ่งเสร็จจากการทำงานในห้องครัวเล็กๆ ของจวนโหวหนึ่งวันเต็มๆ ถึงได้กลับมา
อวิ๋นหว่านเฟยสำลักตั้งแต่ฟังปี้หยิงเล่าแต่แรก จนพูดไม่ออกไม่ครึ่งค่อนวัน พอเห็นที่แขนปี้หยิงสะพายตะกร้าขาดๆ มาหนึ่งใบ ก็รีบเปิดออกดู เห็นกับข้าวที่กินเหลือไม่กี่จาน กับข้าวเปล่าอีกหนึ่งชาม ก็โมโหจนอยากจะปัดทิ้ง แต่ไม่สามารถ…วันนี้ทั้งวัน ไม่มีอะไรตกถึงท้องตนเลย นี่จึงเป็นอาหารที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวของวันนี้ ถ้าปัดทิ้ง ตนก็ต้องหิ้วท้องอย่างโหยหิว
“คุณชายรองล่ะ เจ้าเห็นบ้างไหม เขาพูดอะไรบ้าง วันนี้…เขาไม่มาแล้วหรือ” นี่เป็นความหวังสุดท้าย
ปี้หยิงก้มหน้าลง “ตอนบ่าวเห็นคุณชายรองนั้น คุณชายรองกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้หลังเรือน…นี่เพิ่งเป็นวันแรก ท่านโหวเพิ่งออกคำสั่ง แม้คุณชายรองอยากมาหาคุณหนูรองแค่ไหน ก็น่าจะให้เลยไปอีกสักสองสามวัน…”
อวิ๋นหว่านเฟยหัวเราะเย็นชา “ทิ้งให้ข้าอยู่ข้างนอกคนเดียวเช่นนี้ พวกเขาไม่กลัวว่าข้าจะหนีไปรึ!” คำพูดนี้พอพูดออกมา นางก็นิ่งไป น่าหัวร่อตัวเองจริงๆ
หนี? เกรงว่าพวกเขาอยากให้นางหนีแทบไม่ทัน ก็แค่อนุหนีไปคนเดียว สลัดหลุดจากตัวพอดี
ไหนเลยจะคาดคิดมาก่อนว่า คุณหนูรองจวนรองเจ้ากรมที่สง่างามจะมีวันตกต่ำถึงเพียงนี้ อวิ๋นหว่านเฟยกล้ำกลืนฝืนทน ค่อยๆ ปิดตะกร้าลง ท่านโหวอาวุโสมู่หรงนั่น คงเกลียดชังตนเองมากจริงๆ…
เนื่องจากท่านอาเข้ามาไกล่เกลี่ย ท่านโหวอาวุโสถูกบีบจนอับจนหนทาง เมื่อเบื้องบนมีนโยบายมา เบื้องล่างก็มีวิธีรับมือ เมื่อให้ตำแหน่งอนุคนโปรดแล้ว ก็ต้องให้ตนได้ซึมซับกับชะตากรรมของชู้นอกบ้าน แม้แต่ประตูจวนโหวก็ไม่อนุญาตให้เข้า
นิ้วมือที่เรียวยาวสั่นน้อยๆ อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา สุดท้ายนางก็เข้าใจแล้วว่า คำพูดของอวิ๋นหว่านชิ่นที่ว่า “ขอให้น้องมีชีวิตที่ดีในจวนโหวก็แล้วกัน” หมายความว่าอะไร
…
ด้านจวนสกุลอวิ๋น หงเยียนวิ่งวุ่นอยู่หลายวัน ดูทำเลไปหลายร้าน และนัดพบเมี่ยวเอ๋อร์นอกจวนทุกวัน เพื่อบรรยายรายละเอียดทำเลที่เล็งไว้ให้ฟังคร่าวๆ หรือไม่ก็เขียนจดหมายฝากไปให้อวิ๋นหว่านชิ่นโดยตรง
ซึ่งจากทำเลที่หงเยียนหามา อวิ๋นหว่านชิ่นก็เลือกได้ที่หนึ่ง
หน้าร้านตั้งอยู่ริมถนนจิ้นเป่าบริเวณกลางๆ ของถนนทั้งสาย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดีมาก
โดยถ้าอยู่หัวถนนจนเกินไป ลูกค้าส่วนใหญ่มักไม่หยุดดูเพราะเพิ่งเดินเข้ามา แต่ถ้าอยู่ท้ายถนนจนเกินไป ลูกค้าหลายคนก็คร้านที่จะเดินเข้าไปลึกๆ
ร้านนี้เดิมทีเป็นร้านขายของกินประเภทของแห้ง ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังล้วนไม่มีร้านขายเครื่องประทินผิว หรือพูดได้ว่าไม่มีคู่แข่ง เจ้าของร้านเป็นคนชนบทรูปร่างอ้วน ตัดสินใจปิดกิจการกลับบ้านเกิด จึงต้องการโอนสิทธิ์การเช่าร้านอยู่พอดี
เพียงแต่เถ้าแก่อ้วนตั้งราคาขายไว้สูงมาก ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมลด ซึ่งเกินกว่างบประมาณที่อวิ๋นหว่านชิ่นตั้งเอาไว้ จึงได้แต่บอกให้หงเยียนช่วยต่อรองราคา
ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นดูคนไม่ผิด หงเยียนคลุกคลีอยู่ในแวดวงบันเทิงมาก่อน จึงช่างเจรจาพาที ถ้าเป็นคนธรรมดามาตื๊อหลายวันเข้า เถ้าแก่ก็คงคร้านที่จะฟังและคว้าไม้กวาดไล่ไปแต่แรกแล้ว
แต่หงเยียนเป็นคนพูดเก่งและมีเสน่ห์ ทุกครั้งที่เถ้าแก่เห็นนาง ก็จะอารมณ์ดี ต้อนรับนาง เชิญให้นั่งดื่มน้ำชา
แต่ไม่ว่าอย่างไร เถ้าแก่อ้วนก็ยังคงไม่ยอมลด
วันนี้ หงเยียนมาที่ถนนจิ้นเป่าอีก แล้วตรงไปยังร้านเดิมทันที บทพูดก็เตรียมมาแล้ว ขณะเดินเข้าร้านและกำลังคิดว่าวันนี้จะเจรจาอย่างไรนั้น เถ้าแก่อ้วนก็ไม่รอให้นางเอ่ยปาก โบกมือไหวๆ ก่อนพูดทำนองค่อนข้างเสียดาย
“แม่นาง ขออภัยด้วย เมื่อครู่มีคนมาจองร้านแล้ว”
หงเยียนสูดหายใจเข้า อวิ๋นหว่านชิ่นถูกใจแต่ร้านนี้ร้านเดียว ตอนนี้จึงแทบจะสิ้นหวัง แต่ต้องฮึดดูอีกครั้ง
“เถ้าแก่ คนค้าขายกันทำไมทำกันแบบนี้ ข้าก็บอกท่านแล้วว่า ข้าต้องการเช่าร้านจริงๆ ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นคุยราคา มิเช่นนั้นก็คงไม่ไปๆ มาๆ ตั้งหลายวันหรอก แล้วทำไมกลับให้คนอื่นมาตัดหน้าเล่า เมื่อวานข้ามาก็ไม่เห็นบอกสักคำ ทำไมถึงให้คนอื่นจองเร็วขนาดนี้ ท่านไม่รักษาสัญญาเลย! ไม่ได้ ข้ามาก่อน ถ้าท่านต้องการเงินค่าจอง ข้าจะให้ทันที แต่ท่านต้องปฏิเสธคนคนนั้นก่อน!”
เถ้าแก่อ้วนไม่มีทางเลือกเช่นกัน จึงแบมือ
“แม่นาง สัญญาปากเปล่าน่ะ นับเป็นอะไรได้ ก่อนหน้านี้เจ้าก็ไม่ได้ให้ค่าจองไว้ แต่เขาเป็นถึงข้าราชการ มาถึงก็ไม่พูดอะไรมาก ยื่นตั๋วแลกเงินแบบมีเลขที่และตราสัญลักษณ์ให้ทันที ข้า…ข้าไม่สามารถปฏิเสธเงินน่ะ!”