ตอนที่ 34 ไร้คำบรรยาย

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ต่งซื่อนึกถึงคำพูดของบุตรชาย ต้องมีตำแหน่งทางราชสำนักก่อน ถึงจะไปคุยเรื่องนี้กับนายหญิงผู้เฒ่าจวนสี่ได้ง่าย แต่ในงานเลี้ยงวันเกิดของท่านผู้นำตระกูลจวนรองนี้เป็นที่รวมตัวของแขกผู้เกียรติและร่ำรวย ไม่รู้ว่าจะมีใครถูกใจเสาจิ่นหรือไม่ ต้องหาวิธีให้เสาจิ่นรู้ความตั้งใจของพวกเราให้ได้ถึงจะดี 

 

 

ถึงแม้จะกล่าวได้ว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมตามธรรมเนียมนัก แต่ถ้าโจวเสาจิ่นเป็นสะใภ้ของตนแล้ว ก็จะเป็นเรื่องดีที่สามารถควบคุมนางได้ 

 

 

ด้วยเหตุนี้ต่งซื่อถึงได้กล่าวคำพูดเหล่านั้นกับโจวเสาจิ่น 

 

 

ทว่าไม่คิดมาก่อนว่าโจวเสาจิ่นจะไม่รับเอาไว้ 

 

 

นางนั่งอยู่โถเกือกม้า [1] โกรธจนเจ็บหน้าอกไปหมด กระทั่งอารมณ์ดีขึ้นสักพักถึงสงบลงมาได้ จากนั้นนางนึกขึ้นได้ว่าโจวเสาจิ่นยังรอนางอยู่ด้านนอก จึงนั่งนับสบู่ถั่วอย่างไม่รีบร้อนอยู่ในห้องสุขา 

 

 

โจวเสาจิ่นรอแล้วรอเล่า กระทั่งรู้สึกปวดขาเล็กน้อยแล้ว ต่งซื่อก็ยังไม่ออกมา 

 

 

นางครุ่นคิด จากนั้นหันไปกวักมือเรียกสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกของลานเปิดโล่ง เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปยกตั่งมาให้ข้าตัวหนึ่ง” 

 

 

สาวใช้รีบไปยกตั่งแกะสลักทาด้วยน้ำมันเคลือบสีแดงตัวเล็กๆ มาให้นางตัวหนึ่ง 

 

 

นั่งตรงนี้จะขวางทางผู้อื่นหรือไม่นะ! 

 

 

โจวเสาจิ่นมองไปรอบๆ ทั้งสี่ด้าน เห็นว่าที่ๆ นางยืนอยู่นั้นหันไปทางดงต้นกล้วยที่ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นพอดี ใบตองกล้วยที่กว้างและหนานั้นโน้มตัวลงมา ราวกับร่มหนึ่งคันที่กำลังกางอยู่บนหินสีฟ้าอมเขียวก้อนหนึ่ง หากว่าไม่ได้ใส่ใจมองดีๆ ย่อมไม่อาจเห็นได้ว่ามีคนนั่งอยู่ที่ใต้ต้นกล้วย 

 

 

นางอดกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ได้ 

 

 

เช่นนั้นก็นั่งอยู่ที่นั่นก็แล้วกัน รอให้ต่งซื่อออกมาแล้วไม่เห็นนาง ย่อมเกิดความไม่พอใจอยู่ในใจ เมื่อถึงเวลานั้นตนค่อยยืนขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากจะใช้เป็นเหตุผลแล้วยังสามารถบ่นต่งซื่อได้ว่าทำไมถึงอยู่ในห้องสุขานานขนาดนั้น 

 

 

โจวเสาจิ่นยกตั่งเล็กแล้วมุ่งไปทางดงต้นกล้วย แต่ทันใดนั้นดวงตาก็เหลือบไปเห็นแถบกระโปรงสีแดงเลือดหมูที่ปักเอาไว้ด้วยไข่มุกแพลมออกมาจากใต้ต้นกล้วยที่ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นนั้น 

 

 

นางราวกับนกที่ตื่นกลัว ตกใจจนถอยออกมาหลายก้าว ร้องเสียงดังขึ้นว่า “ใครแอบอยู่ตรงนั้น?” 

 

 

ใบตองกล้วยส่ายไปมา มีเด็กสาวที่ทำผมขึ้นเป็นมวยซ้อนกันสวยงาม ปักเอาไว้ด้วยปิ่นปักผมทองดอกโบตั๋นผีเสื้อที่แต้มเอาไว้ด้วยจุดสีเขียวมรกตดอกใหญ่ผู้หนึ่งเดินออกมา 

 

 

“พานชิง” โจวเสาจิ่นตะลึงดวงตาเบิกกว้างอ้าปากค้าง “ทำไมเจ้าถึงมาแอบอยู่ตรงนี้” 

 

 

เช่นนั้นสิ่งที่นางกับต่งซื่อสนทนากันนั้นพานชิงคงจะได้ยินหมดแล้วใช่หรือไม่ 

 

 

ใบหน้าของพานชิงแดงระเรื่อไปทั้งหน้า รีบอธิบายอย่างร้อนรนว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ! ข้ามาที่นี่ตั้งนานแล้ว…อยากออกมาสูดอากาศสักหน่อย…คิดไม่ถึงว่าเจ้ากับท่านป้าไป่จะหยุดลงกะทันหัน…ข้าไม่ใช่คนแบบนั้น จะไม่เอาอะไรไปพูดต่อแน่นอน จริงๆ นะ!” 

 

 

นางพูดติดๆ ขัดๆ กระวนกระวายจนเหงื่อไหลออกมาทั่วทั้งหน้าผาก 

 

 

โจวเสาจิ่นเชื่อในคำพูดของนาง 

 

 

พานชิงไม่จำเป็นต้องมาสอดส่องเรื่องของนางเช่นนี้ เพราะถ้าวันใดที่ถูกผู้อื่นจับได้ขึ้นมา ชื่อเสียงอันดีงามของนางก็จะหมดลงไปด้วย 

 

 

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดถึงเรื่องที่นางกับต่งซื่อสนทนากันเมื่อครู่นี้อย่างละเอียด ดูเหมือนว่าก็ไม่มีจุดไหนที่ไม่เหมาะสม หากว่าต้องเสียหน้าก็เป็นต่งซื่อผู้นั้นต่างหากที่ต้องเสียหน้า 

 

 

นางพนักหน้าอย่างพอใจ กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นตอนนี้เจ้าจะกลับไปที่ลานเปิดโล่งหรือจะอยู่ที่นี่อีกสักพัก?” 

 

 

การที่โจวเสาจิ่นยอมรับคำพูดของพานชิงอย่างสงบเช่นนี้ ทำให้พานชิงอดไม่ได้ตะลึงอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก สักพักใหญ่กว่าจะกล่าวขึ้นว่า “ข้าจะกลับไปที่ลานเปิดโล่งแล้ว…หากยังไม่กลับไป ท่านแม่คงจะส่งคนมาตามหาข้า” 

 

 

โจวเสาจิ่นพยักหน้าให้อย่างสุภาพ 

 

 

ใบหน้าของพานชิงยิ่งแดงเรื่อขึ้น ก้มศีรษะเดินผ่านนางไป แล้วขึ้นไปบนเฉลียงทางเดิน 

 

 

โจวเสาจิ่นกางตั่งตัวเล็กออกใต้ต้นกล้วย 

 

 

แต่พานชิงที่กำลังเดินอยู่บนเฉลียงทางเดินนั้นกลับยิ่งเดินก็ยิ่งช้าลง จนในที่สุดก็หยุด แล้วหมุนตัวมองกลับไป 

 

 

โจวเสาจิ่นเพิ่งจะนั่งเรียบร้อยอยู่บนตั่งตัวเล็ก สีหน้ามีความสุขและสบายใจ 

 

 

พานชิงนึกถึงท่าทางสงบและสบายๆ ของนางที่ไม่สอบถามถึงเหตุและผลเมื่อครู่นี้ นึกถึงตอนที่นางพูดเกลี้ยกล่อมเฉิงเจียอย่างใจเย็น…ให้ความรู้สึกหนักแน่นมั่นคงที่พบเห็นได้น้อยในเด็กสาวทั่วไป…นึกถึงตอนที่พี่ชายเห็นนางแล้วชะงักงันจนเสียการควบคุม…นางครุ่นคิด จากนั้นก็หมุนตัวก้าวเดินอย่างรวดเร็วไปถึงข้างๆ ตัวของโจวเสาจิ่น 

 

 

“เจ้าก็เชื่อข้าง่ายๆ เช่นนี้เลยอย่างนั้นหรือ” นางมองโจวเสาจิ่นด้วยแววตาแวววาว “หากว่าข้าเอาไปบอกท่านแม่ของข้าล่ะ?” 

 

 

โจวเสาจิ่นกำลังครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง จนกระทั่งตอนที่พานชิงเดินมาถึงด้านหน้าของตัวเองแล้วนางถึงได้รู้สึกตัว อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของพานชิงแล้ว นางก็หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ถามนางกลับไปว่า “แล้วเจ้าจะทำหรือ” 

 

 

ชาติก่อน เฉิงเจียกลั่นแกล้งนางเช่นนั้น แต่นางล้วนไม่เอาไปฟ้องต่อหน้าผู้ใหญ่ มีความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีทำนองว่าเรื่องของตัวเอง ตนย่อมสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง เช่นนั้นนับประสาอะไรกับเรื่องนี้ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับนางเลย? 

 

 

ตระกูลพานก็เป็นตระกูลผู้ดีมีชื่อเสียง มีสมาชิกมากมาย เชื่อว่านางเองก็คงได้พบเห็นเรื่องน่ารังเกียจมาแล้วไม่น้อย! 

 

 

พานชิงสำลักอยู่ในลำคอครั้งหนึ่ง กว่าครู่ใหญ่ถึงกล่าวขึ้นว่า “ข้าย่อมไม่มีทางเอาไปบอกผู้ใหญ่อยู่แล้ว แต่เจ้าก็ไม่ถามอะไรเลย…ไม่กลัวว่าตัวเองจะมองคนผิดไปหรือ” 

 

 

อยู่ๆ โจวเสาจิ่นก็รู้สึกว่าพานชิงช่างน่าสนใจยิ่งนัก นางยิ้มพลางกล่าว “เช่นนั้นข้าดูคนผิดไปหรือไม่ล่ะ” 

 

 

“เจ้า…” เป็นอีกครั้งที่พานชิงรู้สึกว่า ตนเองไม่รู้จะพูดอะไรดี 

 

 

“เอาล่ะๆ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “เจ้าไม่ต้องกังวลถึงขนาดนั้น และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร? ถึงเจ้าจะเอาไปพูดแล้วยังไงล่ะ ผู้อื่นก็คงคิดแค่ว่าต่งซื่อนั้นมีเจตนาที่ไม่ดี ไม่จริงใจต่อผู้อื่น จะทำอะไรข้าได้?” 

 

 

ที่แท้คนอื่นเขาได้คิดคำนวณเอาไว้หมดแล้ว 

 

 

สีหน้าของพานชิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย 

 

 

เดิมทีโจวเสาจิ่นก็เป็นคนที่มีความคิดละเอียดอ่อนและอ่อนไหวง่ายอยู่แล้ว ทำไมจะไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ 

 

 

นางอดไม่ได้รู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ถอนหายใจกล่าว “คนเช่นพวกเจ้านี้ คนอื่นเชื่อเจ้า เจ้าก็คิดว่าเขามีเจตนาแอบแฝง พอคนอื่นไม่เชื่อเจ้า เจ้าก็คิดไปอีกว่าเขาดูแคลนเจ้า…ช่างยากที่จะรับมือด้วยจริงๆ!” 

 

 

ใบหน้าของพานชิงพลันแดงจนเหมือนกับจะสามารถหลั่งเลือดออกมาได้ รู้สึกละอายเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาได้ 

 

 

โจวเสาจิ่นเป็นคนนิสัยอ่อนโยน ทั้งยังมีชีวิตมาแล้วสองภพชาติ ถึงแม้ว่าอายุในชีวิตนี้ถือว่ายังน้อย ทว่าในใจกลับรู้สึกว่าตนเองนั้นอายุมากกว่าเฉิงเจียและพานชิง ฉะนั้นจะทำให้พวกนางที่ยังเป็นเพียงเด็กสาวเหล่านี้รู้สึกอับอายไปทำไมกัน 

 

 

นางจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ทำไมเจ้าถึงออกมาคนเดียว สาวใช้ข้างกายของเจ้าล่ะ?” 

 

 

น้ำเสียงของโจวเสาจิ่นอ่อนโยน ฟังแล้วดูจริงใจยิ่งนัก 

 

 

พานชิงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก รู้สึกว่าใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นไม่ค่อยร้อนแล้ว นางกล่าวเสียงเบาว่า “เดิมทีทุกคนก็เข้ากันได้ดี แต่เมื่อฮูหยินซุนของอดีตข้าราชการผู้นั้นกล่าวถึงหลานชายผู้หนึ่งจากบ้านเดิมของนางขึ้นมา…” ขณะที่นางพูด ใบหน้าก็แดงขึ้นมา “จับมือของข้าเอาไว้แล้วถามโน่นถามนี่ กี่ครั้งต่อกี่ครั้งท่านแม่ของข้าก็ไม่อาจเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาได้ ข้าทนดูท่าทางน่าละอายของนางเช่นนั้นไม่ได้อีก จึงหาอ้อข้างว่าต้องการไปห้องสุขาหนีออกมา แม้แต่สาวใช้ก็ลืมเรียกมาด้วย” 

 

 

ที่แท้เป็นเพราะฮูหยินซุนผู้นั้นต้องการสู่ขอพานชิงแต่พานชิงไม่ตอบรับนี่เอง! 

 

 

โจวเสาจิ่นคิดไม่ถึงว่าพานชิงจะพูดเรื่องพวกนี้กับนาง หลังจากที่รู้สึกประหลาดใจไปแล้วก็พอจะเข้าใจได้ 

 

 

เรื่องนี้ก็เหมือนกับเรื่องของนางกับเฉิงลู่ ถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าต่งซื่อนั้นหมายถึงอะไร แต่คำพูดนี้ก็ไม่ได้ระบุชัดเจน และความจริงไม่ได้เปิดเผยออกมา ในที่สุดแล้วก็อาจจะเปลี่ยนแปลงอีกได้ ป่าวประกาศออกไปเช่นนี้จึงไม่ค่อยดีนัก 

 

 

นางเกิดความรู้สึกเข้าใจคนหัวอกเดียวกันและเห็นใจพานชิงขึ้นมา กล่าวขึ้น “เนื่องจากท่านป้าใหญ่ยังไม่ได้รับปาก ฉะนั้นเรื่องนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน” 

 

 

หากว่าตนจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วพานชิงแต่งให้กับตระกูลหนึ่งที่แซ่อวี๋ 

 

 

โจวเสาจิ่นปลอบโยนพานชิงว่า “เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย เรื่องแต่งงานของเจ้า ท่านป้าใหญ่ย่อมมีแผนของตัวเองเอาไว้แล้วอย่างแน่นอน” 

 

 

พานชิงฟังแล้วก็ก้มศีรษะลงอย่างเขินอาย 

 

 

หรือว่า…เรื่องงานแต่งของพานชิงกับตระกูลอวี๋ยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรอีก? 

 

 

ทำไมนางถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิตที่แล้ว? 

 

 

โจวเสาจิ่นเบิกดวงตากว้างขึ้น รู้สึกว่าตนเองในชาติที่แล้วเหมือนคนตาบอดผู้หนึ่ง ส่วนในชีวิตนี้ควรจะพูดให้น้อยลงคงจะเป็นการดีมากกว่า! 

 

 

นางกล่าวขึ้นอย่างรู้สึกกระดากอายว่า “เจ้ารีบกลับไปเถอะ! เจ้าพูดเอาไว้ไม่ใช่หรือว่า หากเจ้าออกมานานเกินไปท่านป้าใหญ่จะส่งคนมาตามหาเจ้าได้?” 

 

 

ในขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ต่งซื่อก็เดินออกมาจากห้องสุขาพอดี เงยศีรษะขึ้นก็เห็นว่าโจวเสาจิ่นกำลังยืนคุยอยู่กับพานชิงด้วยท่าทางสงบนิ่ง ท่าทีนั้นยังดูสนิทสนมรักใคร่กันยิ่งนัก นางอดไม่ได้สีหน้าเคร่งขึ้นเล็กน้อย 

 

 

หรือว่าไม่นานหลังจากที่นางจากไป พานชิงก็มาถึง ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่โดยตลอด เช่นนั้นโจวเสาจิ่นก็ไม่ได้รอนางอย่างทุกข์ทนอย่างนั้นสิ? 

 

 

“คุณหนูพาน!” ต่งซื่อละเลยและทิ้งโจวเสาจิ่นเอาไว้ข้างๆ แล้วยิ้มพลางกล่าวคำทักทายพานชิง 

 

 

ทว่าพานชิงกลับปฏิบัติต่อนางอย่างเฉยเมย เพียงเอ่ย ‘ท่านป้าไป่’ คำหนึ่งเพื่อเป็นการทักทายเท่านั้น จากนั้นกล่าวอย่างยิ้มแย้มกับโจวเสาจิ่นว่า “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับไปก่อน! รอให้งานเลี้ยงวันเกิดเสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะไปเยี่ยมเจ้ากับพี่ชูจิ่นที่เรือนหว่านเซียง” 

 

 

บทสนทนาระหว่างต่งซื่อกับโจวเสาจิ่นนั้นนางฟังแล้วเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งทุกอย่าง มีหลายครั้งที่เกือบจะพุ่งออกไป อยากจะดึงมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ไม่ให้ฟังคำพูดไร้สาระของต่งซื่อ โชคดีที่โจวเสาจิ่นนั้นดูแผนการของต่งซื่อออก…คนที่ต่ำต้อยและไร้ยางอายเช่นต่งซื่อนี้ ไม่ควรค่าแก่การคบหาด้วยเลย 

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางส่งนางจากไป 

 

 

ต่งซื่อกลับเต็มไปด้วยความสงสัย “ทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่ได้” 

 

 

โจวเสาจิ่นไม่อยากคุยกับนางมากไปกว่านี้ กล่าวเรียบๆ ว่า “พบกันโดยบังเอิญพอดีเจ้าค่ะ” 

 

 

ทั้งสองคนเดินกลับมาที่ห้องข้างทีละคน 

 

 

อาหารทุกอย่างล้วนยกขึ้นมาพร้อมหมดแล้ว หยางซื่อฮูหยินอวี้เอ่ยขึ้น “ทำไมพวกเจ้าถึงเพิ่งกลับมา อาหารเย็นหมดแล้ว” ขณะที่พูดก็ชี้ไปที่ชามน้ำแกงปลาบนโต๊ะแล้วกล่าวว่า “ปลาที่เพิ่งได้มาใหม่ๆ สดมาก รีบดื่มสักหน่อยเถอะ!” 

 

 

ต่งซื่อตอบส่งๆ ไปเสียงหนึ่ง ทว่าโจวเสาจิ่นกลับนั่งลงมาด้วยท่าทางสบายๆ ทานข้าวไปอย่างเงียบๆ ไม่คุยอะไรกับต่งซื่ออีกเลย 

 

 

ดวงตาของฮูหยินอวี้ราวไข่มุกที่กลิ้งไปมา เดี๋ยวก็มองไปที่ต่งซื่อครั้งหนึ่ง เดี๋ยวก็มองไปที่โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง 

 

 

ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีมามาที่เป็นแม่บ้านเข้ามาเชิญทุกคนให้ย้ายไปดื่มน้ำชาที่ระเบียงหมู่ตัน พร้อมทั้งกล่าวว่า “อีกครึ่งชั่วยามจะเริ่มการแสดงงิ้วแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

ทุกคนลุกขึ้นเดินไปที่ระเบียงหมู่ตันด้วยเสียงหัวเราะยินดี 

 

 

ระเบียงหมู่ตันอยู่บนชั้นสองของเรือนเล็กๆ หลังหนึ่ง มีลำธารเล็กไหลผ่านจากด้านหน้าของเรือน ในลำธารเล็กนั้นมีปลาคาร์พ มีแหนเป็ดน้อยสีเขียวลอยกระจัดกระจายอยู่บนผิวน้ำ ด้านตรงข้ามเป็นเวทีที่ประกอบขึ้นมาจากหินสีเขียมอมฟ้าแผ่นหนึ่ง 

 

 

และเวทีสำหรับการแสดงก็จัดอยู่บนเวทีหินดังกล่าว 

 

 

พวกนางจะนั่งชมการแสดงอยู่ที่ชั้นสอง 

 

 

แขกจากลานเปิดโล่งมาถึงก่อนนานแล้ว นั่งอยู่ที่ระเบียงที่แขวนเอาไว้ด้วยม่านไข่มุกบนชั้นสอง ส่วนแขกจากห้องข้างจะนั่งที่ใต้ระเบียงที่อยู่ชั้นหนึ่ง หรือไม่ก็นั่งอัดรวมกันอยู่ในห้องข้างของชั้นสอง 

 

 

ชาติก่อน ต่งซื่อให้โจวเสาจิ่นนั่งเป็นเพื่อนนาง โจวเสาจิ่นก็เลยนั่งอยู่กับต่งซื่อที่ใต้ระเบียงที่อยู่ชั้นหนึ่ง เคยมีคนโยนเมล็ดแตงโมถุงหนึ่งใส่นางจากใต้ชั้นที่ทำการแสดง ทำให้ทุกคนต่างหันมามองนาง และทำให้ต่งซื่อไม่พอใจเป็นอย่างมาก 

 

 

ชาตินี้ นางไม่อยากจะทำเรื่องที่น่าขายหน้าเช่นนั้นอีก 

 

 

โจวเสาจิ่นจึงเดินไปที่ชั้นสอง 

 

 

เพียงแค่พี่สาวเห็นนางก็หันมากวักมือให้นาง ทำสัญญาณให้นางเดินไปหา 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าหลายท่านต่างยิ้มพลางหันมามองนางอย่างใจดีครั้งหนึ่ง 

 

 

โจวเสาจิ่นอารมณ์ดียิ่งนัก ยิ้มพลางรีบก้าวเท้าเดินไปจับแขนของพี่สาวเอาไว้ แต่ยังไม่ทันที่สองพี่น้องจะได้พูดอะไรกัน ก็ได้ยินเสียง ‘ตึงๆๆ’ ของบันไดดังเข้ามา 

 

 

เฉิงสวี่วิ่งขึ้นมา 

 

 

“ท่านย่า ท่านย่าขอรับ” เขาตะโกนเสียงดังอย่างร้อนรน มองตรงไปที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวราวกับคนตาบอด “ท่านเห็นน้องสาวรองตระกูลโจวหรือไม่ ข้ามีเรื่องด่วนต้องการพบนางขอรับ!” 

 

 

คนในห้องต่างส่งเสียงระงมขึ้นครู่หนึ่ง จากนั้นสายตาของทุกคนต่างตกไปอยู่ที่ร่างของโจวเสาจิ่น 

 

 

โจวเสาจิ่นปรารถนาให้เวลานี้มีรอยแยกที่พื้นสักอันให้สามารถลงไปซ่อนตัวได้ 

 

 

ทำไมเฉิงสวี่ต้องทำแต่เรื่องให้นางต้องขายหน้าด้วยนะ 

 

 

นางซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของโจวชูจิ่น 

 

 

ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็เคร่งขึ้น และตะคอกใส่เฉิงสวี่อย่างไม่พอใจว่า “เจ้าอายุเท่าไหร่กันแล้ว ทำไมถึงยังหุนหันพลันแล่นขนาดนี้ เจ้าเป็นเช่นนี้จะให้บรรดาอาจารย์วางใจได้อย่างไร ยังไม่รีบลงไปอีก! ที่นี่เป็นที่ๆ เจ้าสามารถมาตะโกนโหวกเหวกได้อย่างนั้นหรือ” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] โถเกือกม้า โถส้วมลักษณะคล้ายเกือกม้า