ตอนที่ 15 ภัยมืดคุกคาม

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 15 ภัยมืดคุกคาม

เมื่อรู้ว่าหลี่ซื่อลอบทำร้ายตน อันหลิงเกอจึงได้ระวังตัวมากขึ้น ถึงขนาดขอนั่งรถม้าคันเดียวกับอันหลิงอีเลยทีเดียว

“เรื่องอันใดกัน ? รถม้าของเจ้าพังแล้วจะมาเบียดข้าได้เยี่ยงไรห๊ะ ? ”

อันหลิงอีเชิดคอขึ้นอย่างอวดดี และดูมีความสุขมิน้อยที่ได้เห็นสภาพของอันหลิงเกอเป็นเยี่ยงนี้ แล้วกล่าวเยาะเย้ยออกมาว่า “อันหลิงเกอ เจ้านี่ช่างโชคร้ายเสียจริง ถูกท่านพ่อส่งไปอยู่วัดชิงอวิ๋น แล้วยังเจอม้าพยศอีก นี่มิใช่โชคชะตาที่คนทั่วไปจักมีได้เลยนะเนี่ย หึหึ”

“จริงของน้องหญิง โชคชะตาของข้าช่างมิดีเอาซะเลย”

อันหลิงเกอกล่าวไปยิ้มไปมิได้สะทกสะท้านเลยสักนิด

“แต่ก็มิรู้ว่าผู้ใดกันที่ทำเรื่องเลวร้ายเยี่ยงนี้ได้ ถึงขนาดเอาเข็มไปแทงที่เกือกม้า มิเช่นนั้นอยู่ดี ๆ ม้าจะพยศขึ้นมาได้เยี่ยงไร”

นางจ้องมองอันหลิงอีเหมือนจะยิ้มแต่ก็มิยิ้ม แล้วกล่าวออกมาว่า “น้องหญิง ถ้าเยี่ยงนั้นข้าจะส่งคนไปรายงานท่านพ่อ ให้ท่านพ่อสืบหาความจริงในเรื่องนี้ ดูสิว่าใครกันที่กล้าเล่นงานรถม้าของจวนโหวกัน วันนี้คนที่บาดเจ็บคือข้า วันพรุ่งนี้มิรู้ว่าใครจะบาดเจ็บอีก อาจจะเป็นเจ้า อี๋เหนียง หรืออาจจะเป็นท่านพ่อก็เป็นได้ เจ้าว่าคนที่อันตรายเยี่ยงนี้ ถ้าท่านพ่อเจอตัวเข้าจะจัดการเยี่ยงไรกันนะ หึหึ”

เมื่อได้ฟังถ้อยคำที่อันหลิงเกอเอ่ยออกมา อันหลิงอีคล้ายกับฉุกคิดอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ว่าเหตุที่เกิดขึ้นคล้ายกับคำกล่าวที่นางและแม่ของตนแอบคุยกันก่อนที่นางจะออกจากจวนมา เมื่อนึกขึ้นได้เช่นนั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปในทันที เนื่องจากกลัวว่าอันหลิงเกอจะเอ่ยเรื่องนี้ออกไป

สุดท้ายนางจึงได้กล่าวอย่างมิพอใจว่า “ก็แค่รถม้าเกิดอุบัติเหตุมิใช่หรือเยี่ยงไร เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ถึงกับจะไปรบกวนท่านพ่อ ? ข้าว่าเจ้ามิอยากไปวัดชิงอวิ๋นเสียมากกว่า เลยวางแผนเพื่อจะกลับจวนก็เอ่ยออกมาเถิด”

“ก็ในเมื่อข้ามิมีรถม้าแล้วจะไปวัดชิงอวิ๋นได้เยี่ยงไรกัน ? ทำได้เพียงกลับจวนไปรายงานท่านพ่อก็เพียงเท่านั้น”

อันหลิงเกอกล่าวจบกับหมุนตัวทำท่าจะจากไป

“ช้าก่อน”

อันหลิงอีกัดริมฝีปากไว้ และเอ่ยออกมาอย่างมิเต็มใจว่า “จะนั่งรถม้าคันเดียวกับข้ามิใช่หรือ ? ข้าจะเมตตาให้เจ้าไปด้วยสักคราก็แล้วกัน”

มุมปากของอันหลิงเกอยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่งดงามนั้นสดใสขึ้น ยิ่งทำให้อันหลิงอีมีสีหน้ามิพอใจมากขึ้นไปอีก

ทั้งคู่นับว่าแตกหักกันแล้ว ดังนั้นตลอดทางจึงมิมีบทสนทนาหรือบรรยากาศของความเป็นพี่น้องเลยแม้แต่น้อย หลังจากมาถึงวัดชิงอวิ๋น อันหลิงอีก็รีบนำสาวใช้ของตนไปที่ห้องในทันที

เมื่อมาถึงห้อง อันหลิงอีก็เขวี้ยงถ้วยชาใบหนึ่งตกแตกเสียงดังลั่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเกลียดชังอันหลิงเกอฉายชัดออกมาจากดวงตา พร้อมกับเอ่ยถ้อยคำเคียดแค้นออกมา

“นังตัวดี กล้ามาขู่ข้าเยี่ยงนั้นหรือ”

“คุณหนูเจ้าคะ โปรดอย่าได้โมโหไปเลยเจ้าค่ะ”

สาวใช้ที่อยู่ข้างกาย รีบเข้ามาปลอบโยนนาง

 “คุณหนูใหญ่นั้นโง่เขลามาตลอด แต่หลังจากตกน้ำไปก็เหมือนกับเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง อีกทั้งยังเอาชนะฮูหยินรองได้อีก”

นางกล่าวปลอบออกไป พร้อมกับเปลี่ยนถ้วยชาใบใหม่และรินชาให้กับอันหลิงอี พร้อมทั้งลอบสังเกตสีหน้าของนายตนไปด้วย

 “ในวันนี้ตอนที่ม้าตัวนั้นพยศ ข้าน้อยเห็นคุณหนูใหญ่กระโดดขึ้นไปบนหลังม้าพอดี แล้วใช้ปิ่นปักผมสังหารม้าตัวนั้นเลือดกระจายเต็มไปหมด แม้แต่ผู้ชายบางคนก็ยังสู้มิได้เลยเจ้าค่ะ”

“เจ้าต้องการเอ่ยอันใดกันแน่ ? ”

อันหลิงอีฟังแล้วกลับสับสนไปหมด เอ่ยถามสาวใช้อย่างหมดความอดทน

“ข้าน้อยหมายความว่าคุณหนูใหญ่มีนิสัยขี้ขลาด นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันดี แต่เหตุใดนางกลับทำสิ่งที่ผิดวิสัยเยี่ยงนี้ จะต้องมีคนบงการอยู่เบื้องหลังเป็นแน่เจ้าค่ะ”

สาวใช้แสยะยิ้มแล้วมองอันหลิงอีด้วยสายตาที่มีความหมายบางอย่างแอบแฝงเอาไว้

“ขอเพียงเราหาคนที่อยู่เบื้องหลังพบและกำจัดเขาซะ คุณหนูใหญ่ก็ต้องกลับมาเป็นลูกไก่ในกำมือของท่านและฮูหยินรองอีกครามิใช่หรือเจ้าคะ ? ”

เมื่อฟังจบอันหลิงอีเริ่มมีสีหน้าที่ดีขึ้น จนท้ายที่สุดก็เผยรอยยิ้มอันร้ายกาจออกมา

“แล้วเจ้าว่าจะทำเยี่ยงไร เราถึงจะหาตัวคนที่บงการอยู่เบื้องหลังได้ล่ะ?”

สาวใช้ย่อกายลงกระซิบบางอย่างที่ข้างหูของอันหลิงอี เมื่อนางได้ฟังแววตาก็ส่องประกายชั่วร้ายออกมา ท้ายที่สุดนางจึงได้สั่งออกไปว่า “เรื่องนี้ยกให้เจ้าเป็นผู้จัดการก็แล้วกันแอบทำอย่างลับ ๆ  ถ้าหากงานนี้สำเร็จ ข้าจะเลือกเจ้าเป็นสาวใช้ติดตามข้าเข้าจวนอ๋องมู่”

พลันเป็นเหตุให้ใบหน้าของสาวใช้ดีใจอย่างคาดมิถึง

“ข้าน้อยจะมิทำให้คุณหนูผิดหวังเจ้าค่ะ”

จากนั้นนางก็หมุนกายออกไปจากห้อง มุ่งหน้าไปยังภูเขา จากนั้นก็หายลับตาไป

อีกด้านหนึ่ง ปี้จูเปิดห่อผ้าที่นำติดตัวออกมา นำของด้านในออกมาวางทีละชิ้นแล้วมองไปที่อันหลิงเกออย่างขุ่นเคืองใจ จนอดมิได้ที่จะเอ่ยถามขึ้น

 “คุณหนูเจ้าคะ วันนี้ม้าตัวนั้นอยู่ดี ๆ ก็พยศขึ้นมา เกือบทำให้คนหนูเป็นอันตรายแล้วนะเจ้าคะ เราจะมิบอกเรื่องนี้ให้นายท่านทราบเยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? ”

อันหลิงเกอวางหนังสือในมือลงด้วยท่าทีสบาย

“เจ้าลืมแล้วหรือว่าเหตุใดข้าถึงถูกส่งมายังวัดชิงอวิ๋น ? ”

“โรคฝีดาษ”

เมื่อสองคำนี้หลุดออกจากปาก ปี้จูจึงได้เข้าใจ

“หรือว่าในสายตาของนายท่าน คุณหนูถูกลิขิตให้อายุสั้น เช่นนั้นมิมีทางจะมาตรวจสอบเรื่องนี้เยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? ”

“มิใช่ว่าจะมิตรวจสอบ”

อันหลิงเกอตอบพร้อมกับส่ายศีรษะ

“รถม้าในจวนถูกคนเล่นสกปรก นี่เกี่ยวพันถึงชีวิตของท่านพ่อด้วย หากเขารู้เรื่องนี้จะต้องสืบจนรู้ความจริงเป็นแน่”

“แล้วเหตุใด ? ”

“แต่เรื่องนี้เราจะเป็นคนบอกเองมิได้”

อันหลิงเกอค่อย ๆ สอนปี้จู

“ข้าเป็นคนที่ติดโรคฝีดาษ ร่างกายอ่อนแอจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ก็สุดรู้ได้ เรื่องเช่นนี้หากเกิดกับคนทั่วไปถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหรับข้านั้นเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย หากข้านำเรื่องนี้ไปรายงานท่านพ่อ เขาอาจจะสงสัยเรื่องโรคฝีดาษก็เป็นได้”

ปี้จูพยักหน้าอย่างเข้าใจบ้างมิเข้าใจบ้าง แต่ก็ยังมิพอใจอยู่ดี

“คนเลวนั่นดูก็รู้ว่าตั้งใจจะเอาชีวิตคุณหนู แล้วเราจะปล่อยมันไปเยี่ยงนี้หรือเจ้าคะ ? ”

อันหลิงเกอเห็นท่าทางโมโหของปี้จูก็อดหัวเราะมิได้

“อย่าลืมคนขับรถม้าผู้นั้นสิ”

คนขับรถม้าผู้นั้นหรือ ?

ปี้จูพึมพำออกมาเมื่อนึกถึงคนขับรถม้าที่ขาหักผู้นั้นขึ้นมา ได้ยินท่านหมอบอกว่าต้องพักรักษาตัวสองสามเดือน ถึงจะกลับมาเดินได้

ดวงตากลมโตของปี้จูกลอกไปมาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาปรบด้วยความดีใจ

“คนขับรถม้าผู้นั่นจะต้องรายงานเรื่องนี้ให้นายท่านทราบอย่างแน่นอน คนที่ทำร้ายคุณหนูจำต้องถูกนายท่านลงโทษสถานหนักเป็นแน่เจ้าค่ะ”

เมื่ออันหลิงเกอนึกถึงคนที่คิดจะทำร้ายตน ในสมองของนางก็ปรากฏใบหน้าของหลี่ซื่อที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นผุดขึ้นมา พลันมุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มเยาะขึ้นมา

หึ ! ต่อให้ท่านพ่อจะสืบจนรู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือหลี่ซื่อ ก็มิกล้าทำอันใดนางอยู่ดี ขอเพียงแค่หลี่กุ้ยเฟยยังอยู่ ท่านพ่อก็จะมิกล้าลงโทษหลี่ซื่ออย่างจริงจังนักหรอก แต่ก็มิเป็นไร นางจะคอยทำลายความรักที่ท่านพ่อมีให้หลี่ซื่อไปทีละนิด สักวันหนึ่งท่านพ่อจะต้องเขี่ยนางทิ้งอย่างมิใยดีอย่างแน่นอน

จากนั้นเมื่อนางได้คิดใคร่ครวญดีแล้ว ก็วางหนังสือในมือลงแล้วเอ่ยกับปี้จูว่า “ช่างเถอะ วันนี้ก็เย็นมากแล้ว เก็บหนังสือพวกนี้ให้เรียบร้อยเถอะ”

ปี้จูรับคำสั่ง หลังจัดห้องของอันหลิงเกอเรียบร้อยแล้ว ขณะถือเชิงเทียนเพื่อออกไปนำอาหารเย็นเข้ามานั้น กลับต้องกรีดร้องเสียงดังลั่นออกมา “คุณ…คุณหนูเจ้าคะ งู มีงูเจ้าค่ะ ! ”

นางรีบย้อนกลับไปในห้องด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด ริมฝีปากสั่นเทาเผยให้เห็นความตื่นตระหนกภายในใจของนาง

อันหลิงเกอเมื่อได้ฟังก็มองออกไปด้านนอกทางด้านประตูห้อง และมิรู้เลยว่าได้มีงูหลากสีหลายสิบตัวเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ ภาพที่เห็นหลังจากแสงเทียนได้สาดส่องไปนั้น กลับยิ่งทำให้ดูน่ากลัวเข้าไปอีก

อันหลิงเกอนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ว่าเหตุใดที่แห่งนี้ถึงมีงูขึ้นมาได้ ?

แต่ในตอนนี้มิมีเวลามาคิดอันใดแล้ว อันหลิงเกอรีบดึงมือของปี้จูไว้แล้ววิ่งไปทางหน้าต่างทันที