ตอนที่ 149 ภูเขาสมบัติตรงหน้า

พันธกานต์ปราณอัคคี

ตัวมหึมานั้นความเร็วเร็วมากเหลือเกิน น่าสงสารมั่วชิงเฉินแม้แต่เสียงร้องเรียกยังไม่ทันได้เปล่งออก ก็ตกเข้าไปในเหวลึกไม่เห็นก้นแล้ว

 

 

ในอุโมงค์อันมืดมิด นางรู้สึกว่าร่างกายถูกกระแทกไปมา ชนไปชนมาเช่นนี้อยู่พักใหญ่ อุโมงค์ยาวๆ เส้นนั้นขยายขึ้นในทันใด มั่วชิงเฉินที่ชินกับความมืดแล้วพอกล้อมแกล้มมองเห็นได้ ข้างล่างเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ข้างในคือของเหลวสีแดงเข้มถาโถมซัดสาดอยู่

 

 

นางที่นึกไปถึงสระหินหลอมเหลวทันที หยิบกระบี่บินออกมาอย่างว่องไวเสียบเข้าที่ผนังอุโมงค์อย่างแรง

 

 

กระบี่บินผลุบเข้าไป จากนั้นก็เด้งออกมาอีก

 

 

ล้อเล่นน่ะ ไม่นึกเลยว่าผนังอุโมงค์นี้จะมีความยืดหยุ่น!

 

 

ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน มั่วชิงเฉินโยนเถาวัลย์ออกมาเส้นหนึ่ง พันตุ่มที่ยื่นออกมาอันหนึ่งบนผนังอุโมงค์ไว้

 

 

เสียงดัง ‘ชวู่’ เสียงหนึ่ง ปลายรองเท้าที่เลอะของเหลวสีแดงเข้มของมั่วชิงเฉินถูกกัดเปื่อยทันที ความเจ็บปวดเหมือนหัวใจถูกเจาะรูส่งผ่านมาจากใต้ฝ่าเท้า

 

 

จากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ต๋อม’ เสียงหนึ่ง ถุงเก็บวัตถุที่ผูกไว้ที่เอวนางมาตลอดก็ตกลงไปทั้งเช่นนี้อย่างไม่มีวันหวนกลับ

 

 

มั่วชิงเฉินเบิกตาโตทันที จ้องสระน้ำสีแดงเข้มที่มองไม่เห็นก้น รู้สึกอยากร้องไห้โฮอย่างแทบทนไม่ไหว

 

 

ถุงเก็บวัตถุใบนี้แม้ไม่ได้เก็บสมุนไพรทิพย์ล้ำค่าพวกนั้น แต่กลับเก็บหินวิญญาณทั้งหมดของนาง โอสถรวมจิตสองสามขวดที่หลอมใหม่ โอสถต่างๆ ที่ใช้เป็นประจำ ยังมีของเบ็ดเตล็ดเล็กๆ น้อยๆ เต็มไปหมด

 

 

ยังมีอาวุธเวทก้อนอิฐที่นางยิ่งใช้ยิ่งถนัดมือ อาวุธเวทชามใหญ่ที่นางพอใจมาก กระบี่ชิงมู่ที่อาจารย์มอบให้ ยังมีป้ายประจำตัวนาง…

 

 

มั่วชิงเฉินยิ่งคิดยิ่งเสียดาย มองดูของเหลวน่าสยดสยองใกล้แค่เอื้อมแทบเท้า แล้วมองดูตนที่แขวนอยู่บนผนังอย่างน่าสงสารอีก ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอยู่ดีๆ ถึงมาอยู่ที่สถานที่ประหลาดนี้ได้

 

 

หรือว่า…คิดถึงใครบางคนสักหน่อยก็ต้องถูกลงโทษหรือ?

 

 

ขณะนี้มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าตนตกเข้าไปในท้องอสูรประหลาด เพียงแต่นึกว่าตนตกเข้าไปในค่ายกลอะไรอีกแล้ว

 

 

แม้เถาวัลย์นี้ปลุกขึ้นจากเมล็ดจริงๆ ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองปราณวิญญาณมากนัก ทว่าหากเป็นเช่นนี้ตลอดไปก็ไม่ดี นางเงยหน้ามองดู ด้านบนมืดสนิทมองไปไม่มีที่สิ้นสุด หรือว่าการทำลายค่ายกลคือต้องปีนขึ้นไป?

 

 

นึกถึงตรงนี้ มั่วชิงเฉินตัดสินใจลองสักครา ไม่ว่าอย่างไรก็ดีกว่านั่งรอความตาย

 

 

นางมือหนึ่งจับเถาวัลย์ไว้ อีกมือหนึ่งปล่อยเถาวัลย์ออกไปอีกเส้นหนึ่ง พันไปที่ที่ยื่นออกมาที่อยู่ค่อนข้างสูงสักหน่อย จากนั้นลองดึงดูรู้สึกว่าแน่นดีแล้ว จึงปีนขึ้นไปตามเถาวัลย์

 

 

เช่นนี้ทีละก้าวๆ มั่วชิงเฉินค่อยๆ ห่างจากสระน้ำสีแดงเข้มแล้ว

 

 

ทว่าในยามที่นางปีนขึ้นไปตามเถาวัลย์อีกครั้งนั่นเอง ทันใดนั้นผนังอุโมงค์ทั้งอุโมงค์แกว่งไกวขึ้นมาไม่หยุด สระน้ำด้านล่างเนื่องจากแกว่งไกวไปมา ของเหลวสีแดงเข้มกระฉอกไปทั่ว ต่อให้นางห่างออกมาไกลมากแล้ว ยังคงถูกกระฉอกไม่น้อย

 

 

มั่วชิงเฉินที่ไม่มีเวลาสนใจความเจ็บปวดจับเถาวัลย์ไว้แน่น ทว่าหลังจากการแกว่งไกวที่ยิ่งรุนแรงอีกครั้ง ไม่รู้สิ่งที่ยื่นออกมานั้นเพราะเหตุใดจึงแกว่งไกวทีหนึ่งอย่างไม่คาดคิด เถาวัลย์หลุดออกมาในทันใด นางจึงตกลงไปข้างล่างทั้งตัวอีกครั้ง

 

 

เมื่อยามที่ปล่อยเถาวัลย์พันกับสิ่งที่ยื่นออกมานั้น มั่วชิงเฉินพบอย่างจำใจว่าที่นางพันไว้ยังคงเป็นอันที่พันไว้เมื่อแรกสุด นางกลับลงมาถึงสถานที่ที่ห่างจากของเหลวสีแดงเข้มด้านล่างเพียงไม่กี่ฉื่ออีกครั้ง

 

 

สวรรค์ ท่านล้อข้าเล่นหรือเจ้าคะ? มั่วชิงเฉินแหงนหน้าพลาง คิดด้วยน้ำตานองหน้า

 

 

ทว่าเรื่องราวไม่หยุดเพียงเท่านี้ ในเวลาที่นางแหงนหน้ามองด้านบนนั่นเอง ก็เห็นของสิ่งหนึ่งตกลงมาจากข้างบนกับตา ‘ต๋อม’ เสียงหนึ่งตกลงไปกลางสระ น้ำกระเซ็นขึ้นมานับไม่ถ้วน

 

 

โชคดีที่นางเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว ดึงพลังวิญญาณออกมาไม่น้อยเพิ่งความแข็งแกร่งให้ม่านวิญญาณคุ้มกาย นี่ถึงเลี่ยงความทุกข์ที่ถูกของเหลวเผาร่างได้

 

 

จากนั้นมั่วชิงเฉินสลายพลังวิญญาณไป อยู่ในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ ไม่ถึงสถานการณ์ที่ช่วยไม่ได้จริงๆ นางไม่กล้าสิ้นเปลืองพลังวิญญาณแม้แต่น้อยเด็ดขาด

 

 

ดีที่ผู้บำเพ็ญเพียรเดิมทีก็มีม่านวิญญาณคุ้มกายเกิดขึ้นด้วยตัวเองอยู่แล้ว ต้องการเพียงพลังวิญญาณเพียงน้อยยิ่งในการค้ำจุน แม้ทนการกัดกร่อนของของเหลวนี้ไม่ไหว แต่ก็สามารถลดพิษสงลงบ้าง

 

 

มั่วชิงเฉินจ้องสิ่งที่ตกลงในสระน้ำสีแดงเข้มเขม็ง ถึงพบว่าไม่คิดเลยว่าคือปลาประหลาดรูปร่างใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่ง

 

 

ปลาประหลาดนั่นชนพล่านไปทั่วด้วยความเจ็บปวด กระโดดขึ้นมาชนไปที่ผนังอุโมงค์อย่างแรง ถูกเด้งกลับมาตกลงไปในน้ำใหม่ตามคาด ทรมานอยู่เช่นนี้สักครู่ แล้วจมลงในสระน้ำไม่เคลื่อนไหวแล้ว

 

 

ศพของปลาประหลาดกร่อนทีละนิดๆ ด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตา เลือดเนื้อค่อยๆ หลุดไปกลายเป็นก้างปลามหึมาทั้งโครง หลังจากนั้นอีก ก้างปลานั้นก็กระจายออกในสระน้ำ ร่องรอยหายไปอย่างช้าๆ

 

 

มั่วชิงเฉินสูดลมเย็นเข้าอึดหนึ่ง จับเถาวัลย์ในมือแน่นขึ้นอีก

 

 

ผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม มีสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ น้อยๆ ตกลงมาอีก มั่วชิงเฉินพบว่าพวกนี้ล้วนเป็นปลา ถูกของเหลวกัดกร่อนอย่างไม่มีข้อยกเว้น

 

 

เมื่ออยู่นานเข้า มั่วชิงเฉินค่อยๆ รู้สึกว่าหายใจไม่ออก ของเหลวสีแดงนั้นแม้ไม่ถูกตัวนาง ทว่านางกลับรู้สึกว่ายิ่งนานยิ่งร้อนขึ้น

 

 

รู้สึกได้ว่าพละกำลังค่อยๆ ถดถอย มั่วชิงเฉินแอบร้อนรนในใจ หรือว่าสุดท้ายตนก็ต้องเหมือนปลาประหลาดพวกนั้น ตกลงไปในของเหลวสีแดงเข้มประหลาดนั่น กลายเป็นโครงกระดูกโครงหนึ่ง?

 

 

นึกถึงวิธีการตายที่น่าสยดสยองนั่น มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะอย่างแรง ไม่ได้ นางจะไม่ตายที่นี่เด็ดขาด!

 

 

เลียริมฝีปากที่แห้งผาก มั่วชิงเฉินดื่มสุราในขวดน้ำเต้าสุราอึดหนึ่ง ยังดีของวิเศษนี่ยังอยู่

 

 

เมื่อสุราลงท้อง มั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่ามีพละกำลังเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย นางกัดฟัน ปล่อยเถาวัลย์ออกอีกครั้ง ปีนขึ้นไปทีละนิดๆ เฉกเช่นก่อนหน้านี้

 

 

ในระหว่างนี้ยังคงมีการแกว่งไกวเป็นระยะ มั่วชิงเฉินที่เตรียมใจไว้แล้วจับเถาวัลย์ไว้สุดชีวิต หากหลุดออกเมื่อใดก็พันเข้าไปใหม่ในชั่วอึดใจ ในที่สุดก็ยิ่งปีนยิ่งสูงขึ้นอย่างช้าๆ และยากลำบาก

 

 

นอกจากการรบกวนจากการแกว่งไกว สิ่งที่ทำให้มั่วชิงเฉินทรมานที่สุดก็คือ ยังมีสิ่งมีชีวิตต่างๆ ตกลงมาเป็นระยะๆ มาพร้อมความปั่นป่วนเหมือนน้ำป่าไหลหลากก็ไม่ปาน พุ่งผ่านบนร่างนางหรือข้างๆ โดยตรง

 

 

สิ่งมีชีวิตพวกนั้นยิ่งประหลาดพันลึก บางทีเป็นปลายักษ์รูปร่างประหลาด บางทีเป็นกุ้ง กระทั่งนางยังเห็นอสูรปีศาจปูยักษ์อย่างน้อยอยู่ชั้นสองตัวหนึ่งตกลงมากับตา ในพริบตาที่ตกลงไปในสระได้กลายเป็นปูแม่น้ำตัวใหญ่แดงทั่วน่ากิน

 

 

ชิมรสเค็มและคาวในปาก มั่วชิงเฉินเริ่มสงสัยว่าที่นี่คือถ้ำใต้ทะเลบางแห่ง

 

 

ในที่สุดหลังจากการปีนอย่างยากลำบากมาสิบกว่าชั่วยาม นางพบสถานที่ที่ต่างออกไปแล้ว

 

 

ปลายผนังอุโมงค์ข้างหนึ่ง มีบอลกลมขนาดเท่าอ่างน้ำลูกหนึ่ง ส่องรัศมีนุ่มลึก

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกปีติในใจ มีที่ที่ผิดปกติ ไม่แน่ก็อาจมีหวังได้ออกไป

 

 

นางปีนไปถึงบอลกลมนั่นอย่างไม่ลังเล แล้วพิจารณาอย่างละเอียด

 

 

พื้นผิวของบอลกลมเป็นมันเงา ดูเหมือนหุ้มด้วยเมือกใสชั้นหนึ่ง ที่แปลกที่สุดคือ มันหดอย่างไม่หยุดอย่างไม่คาดคิด ทุกครั้งที่หด ก็จะมีของเหลวสีเขียวดำไหลลงไปตามผนังอุโมงค์

 

 

หรือว่า สิ่งนี้จะมีชีวิต?

 

 

แอบระแวงพลาง มั่วชิงเฉินจับกระบี่บินลองแหย่ดู

 

 

เปรียบดั่งแหย่รังผึ้งก็ไม่ปาน มั่วชิงเฉินได้ยินเสียงคำรามโหยหวนเสียงหนึ่ง พร้อมด้วยการกวัดแกว่งอย่างสะท้านฟ้าสะเทือนดินไปทั่วผนังอุโมงค์ทั้งสาย

 

 

เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเพียงแค่แทงบอลกลมนี้ทีหนึ่ง สภาพแวดล้อมทั้งหมดจึงระส่ำระสายขึ้นมา?

 

 

ในชั่วแวบหนึ่ง มั่วชิงเฉินคาดเดาถึงสิ่งที่น่าตกใจ หรือว่า หรือว่าสถานที่ที่ตนอยู่ไม่ใช่ถ้ำใต้ทะเลใดๆ หากแต่อยู่ในร่างกายของอสูรประหลาดบางอย่าง!

 

 

ทว่านางไม่ทันได้คิดมากแล้ว ตามการกวัดแกว่งที่ยิ่งแกว่งยิ่งรุนแรง นางที่ร่างกายอ่อนเพลียอยู่แล้วหลุดออกจากเถาวัลย์ในทันใด แทบจะเป็นปฏิกิริยาจากจิตใต้สำนึก มั่วชิงเฉินจับกระบี่บินในมือแทงไปที่บอลกลมอย่างสุดกำลัง

 

 

พร้อมด้วยเสียงคำรามสะเทือนแก้วหูแทบแตก มั่วชิงเฉินรู้สึกได้ว่ามีพลังสายหนึ่งเหวี่ยงตนออกไป จากนั้นตกลงมาดัง ‘ผลัวะ’ เสียงหนึ่ง หน้ามืดตามัวหมดสติไป

 

 

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด มั่วชิงเฉินค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา นางขยับตัวแผ่วเบาทีหนึ่ง ก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดแสนสาหัส พลังวิญญาณในกายโกลาหล อาการสาหัสอย่างคาดไม่ถึง

 

 

นางขยับมือช้าๆ ยื่นไปที่ถุงเก็บวัตถุที่เก็บแนบตัวไว้ ล้วงขวดหยกออกมาใบหนึ่ง ในนั้นเก็บโอสถคงสภาพที่ไม่เคยใช้มาก่อน

 

 

เสียง ‘ผลัวะ’ ดังขึ้นเสียงหนึ่ง ขวดหยกที่ใส่โอสถคงสภาพตกลงไป มือของมั่วชิงเฉินก็ห้อยลงไปอย่างหมดแรง

 

 

ยามนี้นางไม่มีแรงแม้แต่จะยิ้มระทม กัดริมฝีปากไว้แน่น เขยิบศีรษะอย่างยากลำบากเข้าไปใกล้ขวดหยก ใช้ปากกัดจุกปิดขวดออก กลืนโอสถคงสภาพลงไปเม็ดหนึ่ง

 

 

โอสถลงท้อง มั่วชิงเฉินรู้สึกทันทีว่าอาการบาดเจ็บเสถียรลง พละกำลังค่อยๆ ฟื้นฟู

 

 

นางลุกขึ้นนั่งทันที หาขวดหยกอีกใบหนึ่งออกจากถุงเก็บวัตถุ สิ่งที่เก็บอยู่ข้างในคือโอสถย้อนอายุระดับสุดยอด

 

 

มั่วชิงเฉินมีนิสัยเก็บของล้ำค่าไว้ในถุงเก็บวัตถุใบนี้เสมอมา ในนี้รวมถึงโอสถระดับสุดยอดที่หลอมออกมาได้เป็นครั้งคราว

 

 

โอสถเช่นโอสถรวมวิญญาณ โอสถย้อนอายุประเภทนี้เดิมทีเป็นโอสถที่ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไร ทว่าเมื่อคุณภาพมาถึงระดับสุดยอดแล้ว ก็จะมีฤทธิ์ยาไม่ธรรมดา

 

 

กินโอสถย้อนอายุลงไป มั่วชิงเฉินเริ่มหลับตารักษาอาการบาดเจ็บ ไม่ใช่นางไม่มีใจระมัดระวัง หากแต่ด้วยสถานการณ์ตรงหน้า ผู้บำเพ็ญเพียรหรืออสูรปีศาจที่ไหนสักคนหนึ่งก็ฆ่านางได้แล้ว นอกจากรักษาอาการบาดเจ็บแล้วนางไม่มีทางเลือกอื่น

 

 

เป็นเช่นนี้ผ่านไปสามวันติดต่อกัน ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ลืมตาขึ้นแล้ว

 

 

โอสถคงสภาพมหัศจรรย์ตามคาด อาการบาดเจ็บสาหัสเพียงนั้นไม่คิดว่านางจะฟื้นฟูจนเกือบเป็นปกติแล้ว

 

 

ร่างกายฟื้นฟูแล้ว ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็สามารถพิจารณาสภาพแวดล้อมที่อยู่ได้

 

 

สิ่งที่เห็นคือทะเลสีครามผืนหนึ่ง ใต้เท้าคือหาดทรายสีทองนุ่มละเอียด แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้นางสนใจ มั่วชิงเฉินจ้องเจ้าตัวมหึมาที่หมอบอยู่บนหาดทรายเขม็ง น้ำทะเลซัดขึ้นมาเป็นระลอกๆ แล้วถอยลงไปอีก ซัดร่างกายของมัน ส่วนมันกลับไม่ขยับเขยื้อนไร้ซึ่งสุ้มเสียง  

 

 

อสูรประหลาดที่เหมือนปลานี้ กะด้วยสายตาอย่างน้อยกว้างร้อยสิบจั้ง ความยาวยิ่งยากจะประมาณการได้ เพราะว่าตายไปแล้วหลายวัน ดูแล้วแข็งทื่ออยู่บ้าง ทว่ากลับยังคงแผ่พลานุภาพอันแข็งแกร่งออกมา

 

 

มั่วชิงเฉินเข้าใกล้อย่างช้าๆ สีหน้ายิ่งซีดเซียวขึ้นเรื่อยๆ พลานุภาพของปลาประหลาดนี้แข็งแกร่งเช่นนี้ ทำให้นางยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งรู้สึกกดดัน หากคาดไม่ผิด อย่างน้อยมันเป็นอสูรปีศาจชั้นห้า!

 

 

อสูรปีศาจชั้นห้าเทียบได้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อนแก่นปราณระยะต้น มั่วชิงเฉินไม่กล้าเชื่อเอาเสียเลยว่าอสูรปีศาจเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าจะตายในมือตน

 

 

หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ วัตถุดิบบนตัวของอสูรปีศาจนี้คงราคาไม่ธรรมดากระมัง?

 

 

นึกถึงตรงนี้ มั่วชิงเฉินถือกระบี่บินแทงไป กลับพบว่าปลาประหลาดตัวนี้ต่อให้สูญเสียพลังวิญญาณคุ้มกาย ผิวด้านนอกกลับยังคงลื่นปรื๊ด แทงไม่ขาดเอาเลย

 

 

กระบี่บินนี้เป็นอาวุธเวทระดับกลาง เป็นเล่มที่ดีที่สุดในจำนวนสิบกว่าเล่มที่ได้จากแดนลี้ลับหุบเขาโยวเล่อเมื่อปีนั้น ส่วนนางนอกจากกระบี่บินเล่มนี้ อาวุธเวทที่ใช้เป็นประจำล้วนตกลงไปในท้องปลาตามถุงเก็บวัตถุใบนั้นแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินมองดูถุงเก็บวัตถุอีกสองใบอย่างไม่ตายใจ ใบหนึ่งข้างในเก็บสมุนไพรทิพย์มากมายหลากหลายชนิด ล้วนอายุมากกว่าพันปี อีกใบหนึ่งข้างในเก็บโอสถคงสภาพ วัตถุดิบที่ใช้หลอมโอสถอายุวัฒนะ หุ่นเชิดวั่งชวน กระทั่งยังมีคัมภีร์เคล็ดกระบี่พื้นฐานที่อาจารย์ให้นางไว้ เป็นของต่างๆที่มีค่าที่สุดในใจนาง แต่เฉพาะเจาะจงไม่มีอาวุธเวทที่สามารถใช้ในการโจมตีได้!

 

 

มั่วชิงเฉินอึ้งเสียแล้ว หรือว่าต้องเข้าภูเขาสมบัติแต่กลับออกมามือเปล่าเช่นนั้นหรือ?