ตอนที่ 44 ผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเปลี่ยนไปฝึกวิถีกระบี่ !

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 44 ผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเปลี่ยนไปฝึกวิถีกระบี่ !

ท่าทางผิดแปลกไปของเหล่าผู้อาวุโสดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ทำให้แม้แต่เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง อย่างสวีฉิงเทียนอดขมวดคิ้วขึ้นมิได้

‘ต้องมีอะไรผิดปกติเป็นแน่’

เห็นได้ชัดว่าเขานั้นเดาออกอยู่แล้วว่าต้องมีลับลมคมในบางอย่าง

แต่กระนั้นสายตาของสวีฉิงเทียนกลับยังคงมีประกายเหยียดหยามฉายออกมาอยู่ดี

หลายปีมานี้สิ่งที่ทำให้เขาเอาชนะการประลองหมากล้อมกับนักพรตฉางเสวียนมาได้ ก็คือความแยบยลของกลหมากสี่มังกรพ่นวารี

กลหมากสี่มังกรพ่นวารีนี้ ถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ที่แตกฉานในวิถีหมากขั้นสูงผู้หนึ่ง

กลหมากสี่มังกรพ่นวารีนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ถึง 12 รูปแบบ แต่ละรูปแบบสามารถเปลี่ยนแปลงได้มิมีที่สิ้นสุด จนถึงบัดนี้ด้วยความสามารถพื้น ๆ เขาจึงเข้าใจได้เพียงแค่ 6 รูปแบบจากทั้งหมด 12 รูปแบบเท่านั้น

แต่ปรมาจารย์ผู้แตกฉากในวิถีหมากล้อมได้กล่าวไว้ว่า ขอเพียงเขาเชี่ยวชาญการเปลี่ยนแปลง 6 รูปแบบนี้จากทั้งหมด 12 รูปแบบ นั่นก็เพียงพอที่จะเป็นจ้าวแห่งหมากล้อมได้แล้ว

เช่นนั้นสวีฉิงเทียนหาได้ใส่ใจความผิดปกติของเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนไม่

มิหนำซ้ำเมื่อสิบปีก่อนตอนประลองกับนักพรตฉางเสวียน เวลานั้นเขาพึ่งเข้าใจเพียง 4 รูปแบบเท่านั้น

แต่เพื่อรักษาหน้าตาของนักพรตฉางเสวียน สวีฉิงเทียนจึงได้ยิ้มออกมาบาง ๆ พร้อมเอ่ยออกมาว่า “พี่เหอ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของท่านและดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของข้าเป็นมิตรต่อกันมายาวนาน อย่าให้เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มาทำลายมิตรภาพของพวกเราเลย เช่นนั้นข้าจึงอยากจะทราบความต้องการของท่านเสียก่อน”

‘ดูท่าตาเฒ่านี่จะติดเบ็ดเสียแล้ว’

นักพรตฉางเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้มิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา แต่ภายในใจกลับอดที่จะรู้สึกยินดีมิได้

เมื่อเห็นสวีฉิงเทียนหลงกลที่วางเอาไว้ นักพรตฉางเสวียนจึงแสร้งทำท่าทางท้อใจ ก่อนจะหันไปกวาดตามองเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน

“ศิษย์น้องทั้งหลาย ข้าคิดว่า…”

นักพรตฉางเสวียนพูดยังมิทันจบประโยคได้ ก็ถูกนักพรตจิ่วจวีเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน “ศิษย์พี่ฉางเสวียน ท่านมิต้องเอ่ยสิ่งใดอีกแล้ว ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราแม้จะมิได้เลิศเลออะไร แต่ก็เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มิเป็นสองรองใครในต้าเยี่ยน มิควรที่จะต้องกลายเป็นตัวตลกเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเยี่ยงนี้”

“ศิษย์พี่ฉางเสวียน ท่านมิจำเป็นต้องลังเลอีกแล้ว ศิษย์พี่จิ่วจวีพูดถูก พวกเราดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมิอาจปล่อยให้ผู้คนเข้าใจเราผิดเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้นะขอรับ ! ”

“ใช่แล้ว เราก็มีศักดิ์ศรีของเรา ! ”

“ศิษย์พี่ฉางเสวียน เป็นบุรุษต้องกล้าหาญ มิควรขี้ขลาดนะขอรับ ! ”

“ศิษย์พี่ฉางเสวียน มิว่าจะแพ้หรือชนะ พวกเราก็ล้วนแต่สนับสนุนท่านนะขอรับ ! ”

เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต่างมีท่าทางฮึกเหิมและเดือดดาล

นักพรตฉางเสวียนมีท่าทีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ในเมื่อศิษย์น้องทุกท่านเอ่ยถึงเพียงนี้แล้ว เช่นนี้ข้าก็มิมีสิ่งใดที่ต้องลังเลอีกแล้ว”

เอ่ยจบนักพรตฉางเสวียนก็หันไปมองสวีฉิงเทียน เม้มริมฝีปากครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “พี่สวีท่านก็เห็นแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็มาประลองกันตามเดิมก็แล้วกัน”

สวีฉิงเทียนมุมปากกระตุกเล็กน้อย ประกายดูถูกฉายชัดในดวงตาของเขา ก่อนจะพยักหน้ารับ

เขาเชื่อว่าต่อให้อีกฝ่ายจะมั่นใจเพียงใด แต่ก็มิอาจจะเอาชนะเขาได้อย่างแน่นอน

ในตอนนั้นเองที่อินฉางเฟิงผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง ได้เดินนำศิษย์จากดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงเข้ามา

“ผู้น้อยอินฉางเฟิงคารวะผู้อาวุโสเหอ และผู้อาวุโสทุกท่านขอรับ”

“ผู้น้อยคารวะผู้อาวุโสทุกท่านขอรับ”

อินฉางเฟิงประสานมือทั้งสองข้าง และโค้งคำนับเป็นคนแรก

ขณะเดียวกันศิษย์คนอื่น ๆ ที่อยู่ทางด้านหลังต่างก็โค้งคำนับตาม

บัดนี้สีหน้าหม่นหมองของนักพรตฉางเสวียนหายไปจนสิ้น เหลือเพียงรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนจะโบกมือไปมาให้พวกอินฉางเฟิง แล้วจึงหันไปหาสวีฉิงเทียน

“พี่สวี มิเจอกันนาน ดูท่าผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงผู้นี้จะมีฝีมือกระบี่ก้าวหน้าขึ้นมิน้อยเลยใช่หรือไม่ ? ” นักพรตฉางเสวียนเอ่ยขึ้น

สองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่แห่งต้าเยี่ยน จะจัดการประลองฝีมือศิษย์ของทั้งสองสำนักทุกสิบปี

แน่นอนว่าการประลองย่อมยึดตามความอาวุโสและฐานะของแต่ละคน ศิษย์สายหลักย่อมได้ประลองกับศิษย์สายหลัก ศิษย์สายตรงย่อมได้ประลองกับศิษย์สายตรง

ส่วนอินฉางเฟิงที่เป็นถึงผู้สืบทอดดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง คู่ต่อสู้ในการประลองย่อมเป็นผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอย่างหลี่ฉางหมิงนั่นเอง

ปกติแล้วในเวลานี้ ผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอย่างหลี่ฉางหมิงควรจะอยู่ที่นี่ด้วย แต่ตอนนี้กลับยังมิเห็น

“เรียนผู้อาวุโสตามตรง สิบปีมานี้ฉางเฟิงมีความก้าวหน้าขึ้นมากจริง ๆ และในครานี้ผู้น้อยจึงตั้งใจจะมาประลองกับพี่หลี่ด้วยขอรับ”

ใบหน้าของอินฉางเฟิงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มมั่นใจ ก่อนจะแสร้งทำเป็นกวาดตามองโดยรอบ “ผู้อาวุโสเหอ เหตุใดจึงมิเห็นพี่หลี่เลยเล่าขอรับ หรือเพราะหลายปีมานี้ข้ากดดันเขามากเกินไปหรือขอรับ ? ”

ทันทีที่อินฉางเฟิงเอ่ยออกมา เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต่างก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าแสดงความมิพอใจออกมา

เวลานี้แม้แต่ดวงตาของนักพรตฉางเสวียนก็มีประกายมิพอใจฉายขึ้นมาเช่นกัน

‘เจ้าเด็กคนนี้แม้จะมีพรสวรรค์ แต่มิกำเริบเสิบสานเกินไปหน่อยหรือ ? ’

‘ถึงได้กล้าแสดงท่าทางโอ้อวดต่อหน้าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนถึงเพียงนี้ ! ’

‘เห็นได้ชัดว่ามิได้เห็นผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอย่างหลี่ฉางหมิงอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ! ’

หลี่ฉางหมิงเป็นถึงผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน จึงถือเป็นหน้าตาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนด้วยเช่นกัน

การที่อินฉางเฟิงดูแคลนหลี่ฉางหมิงเยี่ยงนี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนย่อมเสียหน้าไปด้วย

“ฉางเฟิง อย่าเสียมารยาท ! ” สวีฉิงเทียนเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเอ่ยเตือนขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

อินฉางเฟิงแสยะยิ้ม “อาจารย์ หรือศิษย์กล่าวสิ่งใดผิดไปอย่างนั้นหรือขอรับ ? ”

“ฉางเฟิง ! ” สีหน้าของสวีฉิงเทียนเย็นชาลงทันที

เขาเป็นคนเลี้ยงอินฉางเฟิงมากับมือ นิสัยเป็นเช่นไรเขาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ

ปกติหากอยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงมิรู้จักเคารพผู้ใหญ่ เขาก็คงจะปล่อยไป แต่ขณะที่อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเช่นนี้ อีกทั้งยังอยู่ต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน แต่กลับพูดจาคุยโวโอ้อวด

มันชักจะมากเกินไปแล้ว !

มิเพียงแต่ทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเสียหน้า แต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงเองก็มิได้ดีไปกว่ากันมากนัก

เห็นท่าทางโมโหของสวีฉิงเทียน อินฉางเฟิงจึงแค่นเสียงในลำคอเบา ๆ ก่อนจะสงบปากสงบคำลง

“ความจริงแล้วที่ผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงผู้นี้พูดมา ก็มิใช่ว่าไร้เหตุผล”

ขณะนั้นเองนักพรตฉางเสวียนก็กวาดสายตามองคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง ก่อนจะหันไปยิ้มบาง ๆ ให้กับอินฉางเฟิง “ฉางหมิงตอนนี้กำลังตั้งใจบำเพ็ญเพียรอยู่ ข้าขอพูดตามตรงก็แล้วกันว่ามีผู้อาวุโสท่านหนึ่งกล่าวว่า ฉางหมิงนั้นเหมาะกับวิถีแห่งกระบี่มากกว่า เช่นนั้นบัดนี้ฉางหมิงจึงเปลี่ยนไปฝึกวิถีกระบี่แล้ว”

“หากมิเกิดสิ่งใดผิดพลาด อีกมิกี่วันนี้เขาก็คงจะปรากฏตัวออกมา ถึงเวลานั้นพวกเจ้าทั้งสองก็จะได้ประลองกระบี่อย่างที่เจ้าต้องการ”

เอ่ยถึงตรงนี้นักพรตฉางเสวียนก็มีท่าทางกระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สร้างความรู้สึกประหลาดใจให้แก่ทุกคนมิน้อย

ทันทีที่เหล่าผู้อาวุโสดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงได้ยิน ทุกคนต่างก็มีสีหน้าเหลือเชื่อ

แม้แต่สวีฉิงเทียนเองก็ยังรู้สึกตกใจเช่นกัน

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนนั้นบำเพ็ญเพียรวิถีอมตะ มีเพียงยอดเขากระบี่วิญญาณที่บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่

แต่การที่ผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเปลี่ยนไปฝึกวิถีกระบี่นั้น การตัดสินใจเช่นนี้ถือว่าร้ายแรงมิน้อย

อีกทั้งหากเทียบทั่วทั้งแคว้นต้าเยี่ยนแล้ว ตบะของนักพรตฉางเสวียนนั้นนับได้ว่ามิเป็นสองรองใคร

เช่นนั้นผู้อาวุโสที่เขากล่าวถึงแท้จริงแล้วเป็นผู้ใดกันแน่ ?

ที่สำคัญผู้อาวุโสท่านนั้นยังแนะนำให้หลี่ฉางหมิงผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเปลี่ยนไปฝึกวิถีกระบี่อีกด้วย

การประลองครั้งนี้ช่างแตกต่างไปจากเดิมยิ่งนัก !