บทที่ 47 ไม่ปล่อย

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

พวกอวี้ถังล้วนไม่อยากให้คนสกุลเฉินเป็นห่วงจึงพากันเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มรับทันที กล่าวกับคนสกุลเฉินอย่างผ่อนคลาย “จะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”

อวี้เหวินกล่าว “วันนี้ทำอาหารอะไรบ้างรึ? อาหย่วนจะอยู่กินข้าวที่นี่ เจ้าได้ทำเผื่อไว้เยอะหรือไม่?”

“วางใจเถิด!” คนสกุลเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าให้อาเสาไปซื้อกับข้าวพวกพะโล้มาเพิ่มแล้ว ทั้งให้เขาเอาสุรามาด้วย พวกเจ้าอาหลานก็ดื่มสุราด้วยกันเถิด”

อวี้เหวินครุ่นคิดเล็กน้อย “ให้ซวงเถาไปเรียกท่านพี่มาด้วยเถิด! หลายวันมานี้เขามัวแต่ยุ่งกับเรื่องร้าน พวกเราสองพี่น้องก็ไม่ได้ดื่มสุราร่วมกันมานานแล้ว”

โดยเฉพาะยามที่ในบ้านเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทั้งยังทำเขาติดร่างแหไปด้วย แค่ยังไม่อาจหาวิธีบอกกับพี่ชายอย่างชัดเจนได้ ในใจของอวี้เหวินก็กลัดกลุ้มมากพอแล้ว

คนสกุลเฉินไม่ได้คิดมาก

เดิมทีทั้งสองบ้านก็พึ่งพาอาศัยกันและกัน บ้านใครทำอะไรอร่อยๆ หากไม่เรียกอีกฝ่ายมากินก็จะส่งไปให้แทน

นางควักเงินให้อาเสาไปซื้อสุรากลับมา ทั้งกำชับซวงเถาไปเชิญอวี้ป๋อและพี่สะใภ้

ไม่นานทั้งสองคนก็เข้ามา

สกุลอวี้ไม่ได้มีพิธีรีตองมากมาย ทุกคนนั่งล้อมโต๊ะกินข้าว ทั้งพูดคุยไปพลาง

อวี้ป๋อนั้นอยากไปเจียงซี “แม่พิมพ์และกระดานวาดภาพบางส่วนถูกไฟไหม้ ทั้งบางส่วนยังเป็นแบบที่สืบทอดต่อมาของสกุลพวกเรา ต้องหาของมาทดแทน ข้ารู้สึกว่าร้านค้าที่ขายเครื่องลงรักให้พวกเราครั้งที่แล้วก็ไม่เลวเช่นกัน ข้าจะดูว่าสามารถพูดกับเถ้าแก่ได้หรือไม่ ให้เขาแนะนำอาจารย์ให้กับร้านพวกเราหน่อย อีกอย่าง เจ้าเป็นบัณฑิต คงรู้จักพวกเดียวกันไม่น้อย เจ้าสามารถหาคนวาดภาพให้ที่ร้านสักคนได้หรือไม่ ต้องทำแม่พิมพ์และกระดานวาดภาพพวกนั้นออกมาใหม่อีกครั้ง”

อวี้เหวินเองก็มีฝีมือวาดภาพไม่น้อย ทั้งมีเพื่อนสนิทในแวดวงนี้หลายคนเช่นกัน เขาเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปสืบถามดู” คล้อยหลังก็พูดเรื่องอวี้หย่วน “ข้าจะวานให้เขาไปหังโจว”

อวี้ป๋อไม่เพียงตอบรับ แต่ยังกำชับให้อวี้หย่วนทำเรื่องของอวี้เหวินดีๆ

ด้านคนสกุลหวังก็ดึงคนสกุลเฉินมาพูดเรื่องของอวี้ถัง “เด็กสกุลเว่ยผู้นั้นก็ครบยี่สิบเอ็ดวันแล้ว เรื่องงานแต่งของอาถังต้องเริ่มใหม่อีกครั้งใช่หรือไม่ แม้ว่าอาถังอายุยังน้อย แต่หากชักช้าต่อไป เกรงว่าจะดึงเวลาจนอายุจะมากเกินไป”

“ข้าเข้าใจแล้ว” คนสกุลเฉินกล่าวเสียงเบา “ข้านัดแม่สื่อไว้แล้ว รอทางสกุลเว่ยผ่านยี่สิบเอ็ดวันไปแล้ว ก็จะเริ่มช่วยอาถังดูตัวอีกฝ่ายอย่างเป็นทางการ”

อวี้ถังคล้ายนั่งอยู่บนกองไฟ

หากการตายของเว่ยเสี่ยวซานเกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ เวลานี้นางเอ่ยเรื่องแต่งงานกับสกุลใดล้วนเป็นการทำร้ายคนอื่นทั้งนั้น

อวี้ถังรู้สึกว่าตัวเองควรไปหาเว่ยเสี่ยวชวนให้เร็วที่สุด

เย็นวันนั้นนางก็ให้อาเสาไปส่งจดหมายให้เว่ยเสี่ยวชวน

เดิมทีเว่ยเสี่ยวชวนไม่อยากพบอวี้ถัง แต่อวี้ถังพูดว่าอยากจะถามเรื่องของเว่ยเสี่ยวซาน เขานึกถึงยามที่พี่รองของเขายังมีชีวิตอยู่ ก็ให้ความสำคัญอวี้ถังมิใช่น้อย ทั้งในช่วงเวลายี่สิบเอ็ดวันของพี่รอง สกุลอวี้ก็ไม่ได้ไปดูตัวแต่อย่างใด นับว่าพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อพี่รองเช่นกัน เขาจึงตอบตกลง

เพราะเว่ยเสี่ยวชวนยังต้องเข้าเรียน ทั้งสองคนจึงนัดพบกันในร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้กับสถานศึกษาในเวลากลางวัน ทั้งถือโอกาสกินข้าวกลางวันด้วยกัน

อวี้ถังไปพบเว่ยเสี่ยวชวนโดยอาศัยชื่อของหม่าซิ่วเหนียง

เว่ยเสี่ยวชวนเป็นคนจัดการเรื่องสถานที่และเวลา

อวี้ถังคาดไม่ถึงว่าเว่ยเสี่ยวชวนจะละเอียดถึงเพียงนี้

แม้ว่าร้านอาหารจะเล็ก แต่กลับสะอาดสะอ้าน เว่ยเสี่ยวชวนกลับบอกกับเถ้าแก่ว่าต้องการห้องเล็กหลังโรงครัว ดูคล้ายกับเป็นที่กินข้าวของเถ้าแก่ ด้านข้างห้องเล็กนั้นเป็นประตูหลังของร้านอาหาร เดินออกไปจากประตูหลังเป็นตรอกเส้นหนึ่งเล็กๆ ที่เงียบสงบ ตรงไปเป็นเรือนริมน้ำของแถบเสี่ยวเหมยซีที่ผู้คนสัญจรไปมา ออกจากเรือนริมน้ำของเสี่ยวเหมยซี คนก็มากมายราวกับหยดน้ำในมหาสมุทร เมื่อปะปนไปกับฝูงชนก็แทบที่จะไม่เห็นเงา

แค่เห็นก็รู้นิสัยแล้ว ในหมู่ลูกหลานทั้งหมดในสกุลเขา เว่ยเสี่ยวชวนเป็นคนที่ดูมีอนาคตที่สุด

ยามที่อวี้ถังไปถึง เว่ยเสี่ยวชวนก็นั่งรอนางอยู่ที่โต๊ะแล้ว รอจนนางถอดหมวกเหวยเม่า เขาก็พูดกับอวี้ถังด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ข้าเป็นบัณฑิตยากจน ทุกวันนี้ยังอาศัยเงินที่บ้านใช้ ทำได้เพียงเชิญคุณหนูอวี้มาที่ร้านอาหารเล็กๆ เท่านั้น อย่างไรขอคุณหนูอวี้อย่าได้ถือสา” พูดจบก็กวักมือเรียกบ่าวรับใช้ของร้านอาหาร “เอาหมูผัดพริกกับผัดผักกวางตุ้ง อาหารขึ้นชื่อของร้านพวกเจ้ามาอย่างละหนึ่ง” ทั้งกล่าวอธิบายกับอวี้ถัง “พวกเรามาพูดแบบรวบรัด อีกเดี๋ยวข้ายังต้องกลับไปทบทวนตำราที่หอเรียน”

เห็นได้ชัดว่ามีปัญหาเรื่องเงิน ยังจะแสร้งเป็นสุภาพบุรุษเชิญนางกินข้าวนั้นไม่ว่า แต่สั่งกับข้าวเนื้อหนึ่งอย่างผักหนึ่งอย่าง ทั้งยังเรียกว่าเป็นอาหารขึ้นชื่อของร้านนี้

ช่างน่ารักจริงเชียว!

หากไม่ใช่ว่าอวี้ถังมีเรื่องหนักอกหนักใจ เกรงว่าคงจะหัวเราะออกมานานแล้ว

“เดิมทีข้าก็อยากมาคุยกับเจ้าเท่านั้น กินอะไรล้วนไม่สำคัญ” อวี้ถังกังวลว่าจะไปกระทบกับเรื่องหน้าตาของเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ภายหลังมีโอกาส ยามที่เจ้าไม่เข้าเรียน ข้าจะเชิญเจ้าไปกินของอร่อยๆ”

เว่ยเสี่ยวชวนเบ้ปากอย่างไม่ได้คิดเช่นนั้น ฉวยโอกาสยามที่เด็กยกน้ำชาเข้ามาทั้งด้านข้างไม่มีคนอยู่ ถามขึ้นมา “เจ้าอยากถามอะไรข้า?”

อวี้ถังไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนนอก รอจนเด็กยกน้ำชามาวางแล้วเดินออกไป นางจึงค่อยกล่าว “เจ้ากินข้าวก่อน กินเสร็จแล้วพวกเราค่อยพูดกัน”

นางกลัวว่าถามออกมาแล้วเว่ยเสี่ยวชวนจะกินข้าวไม่ลง ด้านเว่ยเสี่ยวชวนตั้งแต่เด็กครอบครัวก็สั่งสอนเขาว่า ‘ยามกินข้าวไม่สนทนา ยามนอนอย่าได้พูดคุย’ ดังนั้นย่อมไม่พูดยามที่กินข้าว

คนหนึ่งไม่มีกะจิตกะใจ อีกคนก็รีบร้อน ไม่นานทั้งสองคนก็กินจนอิ่ม

เด็กในร้านเข้ามาเก็บจาน ยกน้ำชาเข้ามาสองถ้วย

อวี้ถังไม่อ้อมค้อม ทั้งไม่เกรงใจ กล่าวอย่างตรงๆ “เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินจากเจ้าว่าพี่รองเจ้าว่ายน้ำได้ ทั้งหาใช่คนประเภทที่ไม่รู้จักความเหมาะสมไม่ เช่นนั้นเย็นวันก่อนที่พี่รองเจ้าจะตาย ใครอยู่กับพี่รองของเจ้า?”

“ข้าน่ะสิ!” เว่ยเสี่ยวชวนกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ข้าเป็นน้องคนสุดท้องของครอบครัว พี่ใหญ่ต้องช่วยท่านพ่อทำงาน ตั้งแต่เล็กข้าก็เติบโตมากับพี่รองและพี่สาม”

ฉะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาต้องดีเป็นอย่างมาก!

อวี้ถังกล่าว “พี่รองเจ้าเป็นคนอย่างไร?”

เว่ยเสี่ยวชวนฟังจบ ก็ปรากฏสีหน้าระแวดระวังทันที “เจ้าถามไปทำไม?”

อวี้ถังกล่าว “ก็แค่ถามดู”

ก่อนวันที่เข้ามาทำความรู้จักกัน สองพี่น้องสกุลเว่ยก็ทะเลาะกันไปครั้งหนึ่ง เว่ยเสี่ยวชวนมีความประทับใจที่ไม่ดีต่ออวี้ถัง อยากไปดูว่าเป็นหญิงสาวอย่างไรที่ทำให้สกุลของเขาผิดใจกัน ปรากฏว่าเมื่อไปถึงที่นั่น เว่ยเสี่ยวซานนั้นหลงรัก แต่อวี้ถังกลับมีท่าทีเรียบนิ่ง เว่ยเสี่ยวชวนคิดว่าพี่ชายของตัวเองไม่เอาไหน จึงโมโหเป็นอย่างยิ่ง

เว่ยเสี่ยวชวนใคร่ครวญ…หรือว่าในความเป็นจริงคุณหนูสกุลอวี้ก็ชอบพอกับพี่รอง? เพียงแต่เวลานั้นมองไม่ออก?

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ทำเป็นสงสารคุณหนูอวี้ พูดเรื่องดีๆ ของพี่รองเขาให้นางฟัง

เว่ยเสี่ยวชวนครุ่นคิด “พี่รองข้าเป็นคนดีไม่น้อย กตัญญูทั้งเชื่อฟัง ยามที่พวกเราพี่น้องเล่นด้วยกัน หากพี่รองไม่ไปช่วยท่านแม่ทำกับข้าว ก็จะไปจับปลาในแม่น้ำ หากับข้าวมาให้ครอบครัว…”

“ครั้งที่แล้วเจ้าก็เคยพูดกับข้า พี่รองเจ้าว่ายน้ำคล่อง เป็นเพราะเขามักลงน้ำไปจับปลาใช่หรือไม่?” อวี้ถังตัดบทสนทนาเขาขึ้นมากะทันหัน “เช่นนั้นพี่รองเจ้าก็คงจะคุ้นเคยกับแม่น้ำลำธารแถวนี้ดีใช่หรือไม่?”

เว่ยเสี่ยวชวนคิดว่าท่าทีของอวี้ถังแปลกไปอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้คิดมาก “ใช่แล้ว หลายปีก่อน ยามที่สกุลพวกเราแย่งแหล่งน้ำกับบ้านอื่น พี่รองข้ายังพาพวกเราไปแอบขุดทางน้ำสายหนึ่งจากในภูเขามาหาที่นาของพวกเรา ทั้งเรื่องอาหารการกินพวกเราก็ไม่เคยขาดแคลนปลาหรือกุ้ง ฝีมือการจับกุ้งและจับปลาของพี่รองจึงเก่งกว่าท่านแม่ด้วยเหตุนี้…”

อวี้ถังใจเต้นระรัวอย่างควบคุมไม่อยู่ ราวกับจะเด้งออกมาจากอกของนางเดี๋ยวนั้น

นางอดทาบมือที่อกไม่ได้ “เจ้าบอกว่าพี่รองเจ้าว่านอนสอนง่าย เช่นนั้นยามที่เขาจะไปไหนมาไหนก็คงบอกกล่าวกับคนในครอบครัวก่อนกระมัง? หากแม่ของเจ้าไม่ให้เขาไปจับปลา เขาจะฟังหรือไม่?”

“ฟังอย่างแน่นอน!” เว่ยเสี่ยวชวนกล่าวแทบไม่ต้องคิด “สกุลของพวกเรา เมื่อออกจากบ้านล้วนจะบอกกล่าวกับผู้อาวุโสเสมอ นี่เป็นมารยาทขั้นพื้นฐาน หรือยามที่เจ้าออกไปข้างนอกไม่บอกกล่าวกับคนในบ้านอย่างนั้นรึ?”

เขาคิดว่าอวี้ถังกำลังสงสัยเรื่องการอบรมสั่งสอนในสกุลพวกเขา พองลมที่แก้ม เผยท่าทีเคืองโกรธ

“ข้าก็แค่ถามไปเท่านั้น” อวี้ถังฝืนยิ้มออกมา “ข้ามักคิดว่าพวกเด็กผู้ชายนั้นซุกซนกว่าเด็กผู้หญิง ไม่แน่ว่าจะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ถึงขนาดนั้น”

เว่ยเสี่ยวชวนไม่คิดเช่นนั้น “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเป็นเพราะพี่รองสู้ชนะพี่สาม ดังนั้นท่านแม่จึงให้พี่รองแต่งงานกับเจ้า? นั่นเป็นเพราะว่าพี่รองนั้นเป็นคนที่เคารพกฎเกณฑ์มากที่สุดต่างหาก แม่ข้าบอกว่า หากจิตใจสั่นคลอนเกินไป ก็ไม่อาจเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงได้ ถึงเวลานั้นคนอื่นเขาพูดเรื่อยเปื่อย ในใจเกิดโกรธแค้นขึ้นมา จะใช้ชีวิตแต่ละวันผ่านไปโดยดีได้อย่างไร หากใช้ชีวิตได้ไม่ดี สกุลอีกฝ่ายก็จะว่าพวกเราสอนลูกไม่เป็น นั่นย่อมไม่ใช่การเชื่อมสัมพันธ์ แต่จะเป็นการผูกพยาบาท”

อวี้ถังตกตะลึง ในใจมีความขื่นขมเอ่อล้นขึ้นมาเป็นพักๆ

หากไม่มีอุบัติเหตุเช่นนี้ก็คงเป็นเรื่องดีไม่น้อย!

แม้จะกล่าวว่าเริ่มแรกนางสับสนงุนงงไปบ้าง แต่เมื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เวลาผ่านไปนานเข้า นางย่อมต้องชื่นชอบเว่ยเสี่ยวซานอย่างแน่นอน

ชั่วขณะนั้นหัวตาของอวี้ถังก็มีน้ำตารื้นขึ้นมา

นางก้มหน้า เอ่ยเสียงเบาว่า “เช่นนั้นพี่รองเจ้าออกไปจับปลากลางดึก เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ตามไปด้วย?”

เว่ยเสี่ยวชวนฟังก็โมโหขึ้นมา “ถึงได้มีคำกล่าวที่ว่า มีภรรยาก็ลืมแม่ ล้วนเป็นเพราะเจ้า! ไม่อย่างนั้นพี่รองข้าจะใจกล้าขนาดนั้นได้อย่างไร ไม่บอกกล่าวกับใครก็วิ่งออกไป”

อวี้ถังใบหน้าซีดเผือด “เจ้าโยนความผิดมาให้ข้าเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าไม่ได้ให้พี่รองของเจ้าไปจับลาเสียหน่อย อีกอย่าง ข้าแต่งงานกับจับปลาเกี่ยวข้องอะไรกัน? งานแต่งนั้นต้องใช้ห่านป่า เขาไม่ขึ้นเขาไปจับห่าน แต่กลับมาจับปลา!”

เว่ยเสี่ยวชวนพูดไม่ออก คล้อยหลังจึงทั้งอายทั้งโมโหขึ้นมา “เป็นเพราะเจ้า เพราะเจ้านั่นแหละ หากไม่ใช่เจ้า พี่รองข้าจะแอบออกจากบ้านไปได้อย่างไร พี่สามข้าก็ว่ายน้ำเก่งเช่นกัน หากเขาบอกกับพวกเราสักคำ พี่สามย่อมตามเขาไปแน่ แม้ว่าจะไม่ไปเป็นเพื่อน แต่ดึกดื่นขนาดนั้นเขาไม่กลับมา ท่านพ่อก็คงเรียกพวกเราไปหาเขาเช่นกัน…” ขณะที่เขาพูด ดวงตาก็เปียกชื้น “เป็นเพราะพี่รองข้าพบเจ้าจึงเปลี่ยนไป ก่อนที่จะพบเจ้า เขาไม่ได้เป็นเช่นนี้…”

อวี้ถังแทบจะสั่นไปทั้งตัว “เจ้าพูดแบบนี้ได้อย่างไร? ปกติที่นาของพวกเจ้าก็ควรจะมีคนไปจับปลาเช่นกันกระมัง? หรือไม่มีคนเห็นพี่รองเจ้าเลยอย่างนั้นรึ?”

เว่ยเสี่ยวชวนนิ่งอึ้งไป กล่าวพึมพำ “ใช่! ไฉนจึงไม่มีใครเห็น? แม้ว่าจะเป็นที่นาของพวกเรา แต่สกุลของเราก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำกับคนอื่น พวกชาวไร่ชาวนาที่เช่าที่ทำมาหากินล้วนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก กุ้งปลาในน้ำคูคลองก็ปล่อยให้พวกเขาจับได้ตามใจ กลับไปเป็นอาหารหรือเฉลิมฉลอง พี่รองข้าออกไปเมื่อใด พวกเราไม่รู้ หรือในที่นาคนจับปลาพวกนั้นก็ไม่เห็นอย่างนั้นรึ? แต่เวลานั้นพี่รองข้าก็จมน้ำตายในลำธารเล็กๆ ที่เขาชอบไป?”

อวี้ถังไม่อาจทนได้ หลับตาลง ปล่อยน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาตามความรู้สึก

เว่ยเสี่ยชวนตกใจ “เจ้าเป็นอะไร? เจ้าร้องไห้ทำไม?”

อวี้ถังลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก แสร้งตีหน้าตายควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดที่หัวตา “หลายวันมานี้ข้าเอาแต่ทำปิ่นดอกไม้อยู่ในบ้าน ปวดตาอยู่บ้าง”

เว่ยเสี่ยวชวนมองนางอย่างสงสัย

อวี้ถังกลับไม่ได้ปั้นเรื่องต่อไปอีก

หากเว่ยเสี่ยวซานติดร่างแหเพราะนาง นางจะชดใช้ให้คนสกุลเว่ยอย่างไร? นางจะเผชิญหน้ากับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเองได้อย่างไร?

คนที่ดีถึงขนาดนั้น เพราะมาพบปะนาง เพราะโดดเด่นเกินไป จึงถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต

นางจะมีหน้าใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อย่างไร?

อวี้ถังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเว่ยเสี่ยวชวน ไม่กล้าเงยหน้ามองเขาแม้แต่แวบเดียว นางถึงกระทั่งไม่รู้ว่าตัวเองจะเดินกลับไปอย่างไรดี

“คุณหนู!” ป้าเฉินเดินเข้าประตูมาหานาง ตำหนิซวงเถาที่ตามเข้ามา “เจ้าดูแลคุณหนูอย่างไรกัน? มีคนทำเรื่องแบบเจ้าด้วยรึ? ยังดีที่ในร้านนี้มีคนไม่กี่คน หากคนมากกว่านี้ เจ้าคงแยกแยะทิศทางไม่ออกเสียแล้วกระมัง!”

อวี้ถังได้ยินเสียงก่นด่าของป้าเฉิน ก็กลับเรือนไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ให้ซวงเถาไปเรียกอาเสามา

ป้าเฉินรีบถาม “มีเรื่องอะไร ให้ท่านพักสักหน่อยแล้วค่อยว่ากันเถิด ยามนี้ท่านพักดีๆ ก่อน ข้าเห็นว่ารังนกที่มีคนส่งมาให้นายหญิงครั้งที่แล้วยังเหลืออยู่หลายถ้วย ข้าจะไปอุ่นมาให้ท่านถ้วยหนึ่ง ท่านกินแล้ว พักผ่อนเสียหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว”

เพราะว่าคนสกุลเฉินมักป่วยบ่อยๆ ป้าเฉินจึงตั้งใจทำยาบำรุงเป็นพิเศษ ทั้งยังจัดการดูแลเรื่องอาหารเสริมพวกรังนกและหอยเป๋าฮื้อ

อวี้ถังร้อนใจดั่งนั่งบนกองเพลิง กลัวว่าชักช้าจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน ดึงดันให้ซวงเถาไปเรียกอาเสาเข้ามา “ข้าจะให้เขาไปซื้อของให้ข้านิดหน่อยเท่านั้น เสียแรงที่ไหนกัน? เจ้าให้ข้าทำตามที่ใจต้องการแล้วรีบนอนพักผ่อนจะดีกว่า”

ป้าเฉินอับจนหนทาง ทำได้เพียงไปเรียกอาเสาเข้ามา

อวี้ถังไล่ป้าเฉินและซวงเถาออกไปอย่างยากลำบาก กำชับอาเสาไปสืบเรื่องของเว่ยเสี่ยวซาน “ดูว่าใครที่พบเว่ยเสี่ยวซานป็นคนแรก? เว่ยเสี่ยวซานจมน้ำตายในแม่น้ำใด? ในที่นาใครเป็นคนสุดท้ายที่เห็นเว่ยเสี่ยวซาน? มีคนเห็นเว่ยเสี่ยวซานออกไปจับปลากลางดึกหรือไม่?” ทั้งให้อาเสาสาบาน “ไม่อาจบอกใครได้ทั้งนั้น หากมีคนถามขึ้นมา เจ้าก็บอกว่าข้าไม่สบาย จึงขอให้เจ้าไปช่วยจุดธูปไหว้พระขอพรในวัด เข้าใจหรือไม่?”

อาเสาพยักหน้าอย่างทันที แล้วรุดไปที่นาของสกุลเว่ย

ทางด้านอวี้ถังก็นอนพลิกไปพลิกมา นอนไม่หลับทั้งคืน ตื่นขึ้นมาส่องกระจกตอนเช้า ก็เห็นขอบตาดำคล้ำของตัวเอง

คนสกุลเฉินถามนาง “พ่อของเจ้านี่มันอะไรกัน? ทั้งวันเอาแต่จ้องภาพที่หลู่ซิ่วไฉขายให้พวกเราอยู่ในห้องหนังสือ นั่นไม่ใช่ภาพปลอมหรอกรึ?”

อวี้ถังกล่าว “เถ้าแก่ถงกล่าวแล้ว ภาพนี้เลียนแบบได้เหมือนมาก ทั้งยังพอขายได้หลายตำลึง ท่านพ่อชอบภาพวาดเพียงใดท่านก็รู้ดี ไม่แน่ว่าที่ท่านพ่อเอาแต่มองก็เพราะอยากจะหาจุดแตกต่างของภาพนี้?”

คนสกุลเฉินไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ กล่าวให้พวกเขาดูแลสุขภาพอย่างโมโห “ใต้หล้านี้มีของดีคณานับ อย่าเอาแต่มองดูโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลย”

อวี้ถังเผยยิ้มบางตอบรับ ทุบไหล่ให้คนสกุลเฉินอย่างเอาใจ

ตอนบ่ายอาเสาก็กลับมา

เขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติของเรื่องนี้เช่นกัน ลอบกระซิบกับอวี้ถัง “ผู้ที่พบร่างของคุณชายรองสกุลเว่ยคนแรกคือหญิงที่รับใช้นายหญิงเว่ยคนหนึ่งในสกุลเว่ย นางออกไปขับถ่ายเช้าตรู่ ก็พบคุณชายรองสกุลเว่ยลอยอยู่ในลำน้ำเล็กๆ ไม่ไกลจากเรือนสกุลเว่ย ส่วนคุณชายรองสกุลเว่ยออกไปจับปลายามใด เรื่องเกิดขึ้นเวลาไหน ใครก็ล้วนไม่รู้ ทั้งไม่เห็นด้วยขอรับ”

เขาพูดคำว่า ‘ไม่รู้’ และ ‘ไม่เห็น’ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่สองครั้ง

——————————-