ภาคที่ 1 บทที่ 47 แนะนำ

มู่หนานจือ

เจียงเซี่ยนพูดสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว นางรู้สึกว่าไม่มีอะไรตกหล่น ถึงจะตกหล่นไปก็ล้วนเป็นพวกเรื่องเล็กน้อย แต่ใจความที่ต้องการจะสื่อไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน จึงอดที่จะรู้สึกสบายใจขึ้นไม่ได้

ทว่าเจียงเจิ้นหยวนฟังแล้วกลับแค่ถอนหายใจในใจ

เด็กสาวที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กจริงๆ จะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร

เป่าหนิงอยู่ในวัง ก็ไม่รู้ว่าใช้ชีวิตอย่างไร ถึงได้รู้ทุกอย่างไวขนาดนี้

หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก ก็น่าจะรับเด็กคนนี้กลับมาอยู่ที่จวนนานๆ บ่อยๆ

เขาเอ่ยปากอีกครั้ง ในเสียงก็เจือความอ่อนโยนที่แม้แต่ตนเองก็คิดไม่ถึงอย่างไม่อาจควบคุมได้ “เป่าหนิง เจ้าอยากกลับมาอยู่จวนสกุลเจียงหลายๆ วันหรือไม่? วันเฉลิมพระชนมพรรษาของเฉาไทเฮานั้น เจ้าก็ไม่ต้องไปแล้ว อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของพ่อเจ้า พวกเราสามารถทำพิธีทางศาสนาที่วัดว่านหยวนได้…ส่วนทางไทฮองไทเฮานั้น ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ที่อยู่เหนือเรื่องราวทั้งหมดนี้ ไม่มีใครอยากไปหาเรื่องหรอก”

ท่านลุงกลัวว่าหลังจากทำงานล้มเหลว คนในตระกูลจะติดร่างแหไปด้วย ให้นางอยู่นอกวัง ก็สามารถส่งนางออกไปล่วงหน้าก่อนได้

ชาติก่อนท่านลุงก็เคยเสนอความเห็นแบบนี้เช่นกัน

เพียงแต่เวลานั้นท่านป้าเป็นคนไปบอก นางไม่รู้ต้นสายปลายเหตุในนี้ จึงปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

นี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมนางถึงเดาว่าหวังจ้านถูกหวังเหยียนชินเอินป๋อผู้เป็นบิดาสั่งให้ไปแล้วเช่นกัน

ชาตินี้นางได้ยินคำพูดที่เอาใจใส่มากแบบนี้อีกครั้ง ก็ยังคงรู้สึกซาบซึ้ง

“ท่านลุง ผู้หญิงอย่างข้า อยู่เป็นเพื่อนไทฮองไทเฮาในวังดีกว่า!” เจียงเซี่ยนยังคงปฏิเสธเช่นเดิม แล้วเอ่ยถึงเรื่องของหลี่เชียน “หลี่ฉางชิงแม่ทัพฝูเจี้ยน ครั้งนี้เข้าเมืองหลวงเพราะเฉาไทเฮาเรียกเข้าเฝ้า หากเดาไม่ผิด เฉาไทเฮาอยากอบรมสั่งสอนหลี่ฉางชิง แต่หลี่ฉางชิงเป็นโจรที่ราชสำนักรับเข้ามาเป็นขุนนาง คนแบบนี้ หากไม่ใช่คนที่สั่งสอนยากมาก ก็ไม่มีความคิดเป็นของตนเองจึงทำตามความคิดเห็นของคนอื่นตลอด ดูท่าทาง ตระกูลหลี่น่าจะเป็นอย่างแรก ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่นำเงินจำนวนมากเข้าเมืองมาผูกมิตรกับขุนนางในเมืองหลวง ไม่แน่พวกเขาอาจจะซื้อกิจการทั้งหมดของเฉาไทเฮาและบริหารต่อก็ได้ ข้าบังเอิญมีโอกาสได้รู้จักกับหลี่เชียนลูกชายคนโตของหลี่ฉางชิงพอดี จึงแนะนำเขาไปเล็กน้อย หากตระกูลหลี่ฉลาด ครั้งนี้ไม่ยืนดูอยู่ข้างๆ อย่างนิ่งดูดาย แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ก็จะคิดหาทางยื่นสิ่งที่ยืนยันความจงรักภักดีให้ท่าน คนๆ นี้ข้าคิดว่ายังสามารถใช้งานได้ หากพวกเขาติดต่อท่าน ท่านลองหาเวลาเจอหน่อยก็ได้”

“หลี่เชียนหรือ?” แน่นอนว่าเจียงเจิ้นหยวนต้องไว้หน้าหลานสาวอยู่แล้ว และถามอีกหลายคำ “เจ้าชอบเจ้าหนุ่มนี่หรือ?”

เจียงเซี่ยนได้ยินก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจอย่างบอกไม่ถูก และเอ่ยว่า “ทำไมท่านถึงได้คิดเช่นนี้?”

เจียงเจิ้นหยวนยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าเห็นเจ้าจัดการคนสกุลฟางเสียเป็นระเบียบเรียบร้อย มีความสามารถในการมองคนมากทีเดียว เจ้าไม่รู้จักหลี่ฉางชิง แต่กลับเห็นแก่หลี่เชียนและแนะนำพวกเขาได้ แสดงว่าหลี่เชียนคนนี้ก็เป็นคนมีฝีมือที่สามารถฝึกฝนได้เช่นกัน เขาตามพ่อของเขามาทำงานหรือ? อายุเท่าไร? นิสัยเป็นอย่างไร?”

เจียงเซี่ยนอดที่จะหัวเราะไม่ได้

นางเห็นมาด้วยตาและสัมผัสมาด้วยตนเองว่าต่อไปหลี่เชียนจะร้ายกาจมากแค่ไหน แล้วนางจะปล่อยคนที่มีความสามารถแบบนี้ไปโดยไม่ใช้ประโยชน์ได้อย่างไร?

ยิ่งกว่านั้นเขายังเป็นหนี้บุญคุณนางมากมายด้วย!

“ปีนี้อายุสิบแปด” เจียงเซี่ยนเอ่ย “หลายวันก่อนหลังจากไปเจอเฉาไทเฮาก็ถูกส่งไปเป็นองครักษ์ที่วังคุนหนิงแล้ว สนิทกับเฉาเซวียนทีเดียว”

ถึงจะทำไปเพื่อดึงขุนนางใหญ่ในราชสำนักไปเป็นพวก ทว่าถูกจัดให้อยู่วังคุนหนิง และยังสนิทกับเฉาเซวียนได้ คนๆ นี้ก็น่าจะเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง

คอยดูว่าตระกูลหลี่จะมาพึ่งพาอาศัยเขาหรือเปล่า!

เจียงเจิ้นหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าจำได้แล้ว” แล้วก็เอ่ยอีกว่า “ถึงเวลานั้นให้บอกเจ้าหรือไม่”

ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่หลานสาวแนะนำ

“ไม่จำเป็น” เจียงเซี่ยนเอ่ย นางคุยเล่นกับเจียงเจิ้นหยวนอีกเล็กน้อย แล้วก็ไปพบฮูหยินเจิ้นกั๋วกง ปรึกษาเรื่องข้อแก้ตัวกับไทฮองไทเฮาเรียบร้อยแล้ว นางก็ลุกขึ้นบอกลา

เจียงเซี่ยนคิดว่าในเมื่อนางจัดการทางไปของคนสกุลฟางเรียบร้อยแล้ว นางก็ขี้เกียจที่จะกังวลเรื่องอื่นแล้วเช่นกัน

ฟ้าถล่มลงมามีชายร่างสูงยันไว้อยู่แล้ว[1]

เวลานี้นางก็ไม่ใช่หนึ่งในชายร่างสูงพวกนั้นเสียหน่อย ทำไมจะต้องไปยันไว้ด้วย

เจียงเจิ้นหยวนกับป้าสะใภ้ใหญ่ส่งนางถึงประตูบานที่สอง

ตอนที่ขึ้นรถม้า เจียงเจิ้นหยวนกำชับนางเสียงเบา “ไม่ต้องกังวล ข้าจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว ถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของเฉาไทเฮา เจ้าต้องจำไว้ว่าคอยติดตามอยู่ข้างกายไทฮองไทเฮา นางไปอวยพรวันเกิดให้เฉาไทเฮาเจ้าก็ไป หากนางอยู่ที่วังฉือหนิง เจ้าก็อยู่ที่วังฉือหนิง แล้วเจ้าจะไม่เป็นไร! เจ้าเติบโตในวังตั้งแต่เด็ก แม้จะเป็นคนของตระกูลเจียง แต่กลับไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับตระกูลเจียงนัก” พอเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็เอ่ยอีกว่า “หากมีเรื่อง เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น รักษาตัวเจ้าไว้ให้ได้ ก็ถือว่ารักษาสายเลือดของคนในตระกูลไว้ได้นิดหนึ่งแล้ว ต่อไปหากมีลูกชาย ในรุ่นหลานหรือในรุ่นเหลนให้ลูกชายสักคนใช้สกุลเจียงก็พอแล้ว”

เจียงเซี่ยนยิ้มเล็กน้อย หน้าตาเต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเองอย่างยิ่ง ทำให้ใบหน้าขาวซีดของนางสดใสและเปล่งประกาย “ท่านลุง วางใจเถอะ พวกเราจะทำสำเร็จอย่างแน่นอน! ข้ากลับวังก็จะเปิดโปงเรื่องอื้อฉาวของฝ่าบาทต่อหน้าเฉาไทเฮา ท่านก็คอยดูแล้วกัน!”

หากเพราะนางแทรกแซงตระกูลเจียงไม่สำเร็จ เช่นนั้นสวรรค์ก็กำลังลงโทษนางอยู่

นางไม่มีทางที่จะใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง!

นางไม่มีทางที่จะฝืนใจใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้!

เจียงเซี่ยนขึ้นรถม้าด้วยท่าทางสง่างาม แล้วเลิกม่านบอกลาท่านลุงกับท่านป้า

เจียงเจิ้นหยวนมองรถม้าของเจียงเซี่ยนที่จากไปไกล จนกระทั่งมองไม่เห็นร่องรอยแล้ว ถึงเอ่ยกับฝางจื่อชิงอย่างไม่สบายใจนักว่า “จื่อชิง พวกเรากลับไปเถอะ!”

นางอยากพูดอะไรสักอย่าง ทว่าก็หยุดไว้

เจียงเจิ้นหยวนจับมือของภรรยา แล้วตบหลังมือของนางเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ข้ามีเจ้าอยู่เคียงข้าง ก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น! แต่เสียดายนิดหน่อย หากเป่าหนิงเป็นผู้ชายก็ดี”

ฝางจื่อชิงยิ้มตาหยี ในรอยยิ้มยังเจือความเยาว์วัยเหมือนเด็กสาวด้วยเล็กน้อย น้ำเสียงเบาและนุ่มนวลดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิช่วงเดือนสาม “ท่านพี่ หากเป่าหนิงไม่ได้เติบโตในวัง ก็คงจะไม่รู้ความขนาดนี้เช่นกัน”

เจียงเจิ้นหยวนได้ยินก็อึ้งไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มทันทีว่า “เจ้าพูดถูก! เหมือนข้าจะบังคับจิตใจคนอื่นเสียแล้ว”

“ท่านพี่ไม่ได้บังคับจิตใจคนอื่น” นางปลอบใจเจียงเจิ้นหยวน “ท่านพี่เป็นห่วงเรื่องในตระกูลมากเกินไปแล้ว เอาไว้ตอนอาลวี่แต่งงาน พวกเราหาคนที่มีลูกง่ายให้เขา ถึงเวลานั้นท่านพี่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงขนาดนี้แล้ว…”

สองสามีภรรยาค่อยๆ คุยกันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และค่อยๆ หันตัวกลับห้องหลัก

ทางเจียงเซี่ยนนั้นกลับถึงวังฉือหนิงก็ตีหน้าขรึมไปเจอไทฮองไทเฮาทันที

เฉินเฟิ่งขันทีจากกองพระภูษาพร้อมด้วยเหล่านางในกำลังถือผ้าอยู่รอบกายไทฮองไทเฮาและคุยเรื่องเสื้อผ้าฤดูหนาวกันอยู่ “…ไทฮองไทเฮาทอดพระเนตรผ้าชิ้นนี้สิพ่ะย่ะค่ะ ผ้าทอเจียงหนานที่ส่งบรรณาการมา ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าตัดเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ทั่วไปในตำหนักให้ท่านหญิงสักสองสามชุด ส่วนกระโปรงสามารถลองตัดเป็นแบบยี่สิบสี่จีบได้ กระหม่อมเห็นเสื้อผ้าที่นำกลับมาจากเจียงหนาน ทางนั้นก็นิยมแบบยี่สิบสี่จีบพ่ะย่ะค่ะ”

ไทฮองไทเฮาจับขาแว่นและเข้าไปดูลายกับสีของผ้าอย่างละเอียดใกล้ๆ แล้วเอ่ยว่า “ยี่สิบสี่จีบหรือ? ทำไมถึงเยอะขนาดนี้? นั่นสู้ตัดกระโปรงจันทราทรงกลด[2]สักตัวก็ไม่ได้ ข้าจำได้ว่าหลายวันก่อนมีผ้าอะไรสักอย่างที่ชาวต่างถิ่นส่งบรรณาการมา สีตั้งแต่อ่อนถึงเข้ม ข้าว่าตัดกระโปรงจันทราทรงกลดดี”

“สายพระเนตรของไทฮองไทเฮาเป็นที่หนึ่งในวังนี้ แน่นอนว่าย่อมไร้ที่ติ” เฉินเฟิ่งประจบไทฮองไทเฮาอย่างจริงใจมาก…เฉาไทเฮาไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเสื้อผ้าเท่าไร ทำให้เฉินเฟิ่งเหมือนมีความสามารถแต่กลับไม่ค่อยมีโอกาสได้แสดงฝีมือมากนัก ทว่าไทฮองไทเฮาแตกต่างกับเฉาไทเฮาอย่างสิ้นเชิง นางชอบแต่งตัวให้เจียงเซี่ยนมาก และมักจะมีความคิดที่ละเอียดอ่อนให้เฉินเฟิ่งคิดหาทางตัดออกมา เฉินเฟิ่งจึงยินดีที่จะรับใช้ต่อหน้าไทฮองไทเฮามากกว่า “ผ้าชิ้นนั้นคือผ้าไหมสีแดงอ่อน เนื้อผ้าค่อนข้างบาง ใส่ตอนฤดูใบไม้ผลิต้องสวมซับในเพิ่มอีกชั้น ใส่ตอนฤดูร้อนก็กำลังดี ไทฮองไทเฮาตรัสเช่นนี้ กระหม่อมก็คิดว่าใช้ผ้านั้นตัดกระโปรงจันทราทรงกลดต้องสวยอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่านี่ใกล้จะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ตอนที่ฉลองปีใหม่ปีนี้ไทเฮาน่าจะยังคงจัดงานเลี้ยงปีใหม่ที่วังเฉียนชิงกระมัง? ตัดชุดสำหรับงานเลี้ยงปีใหม่ก่อนแล้วค่อยตัดกระโปรงจันทราทรงกลดดีกว่า ไทฮองไทเฮาเห็นว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ…” เขาพูดอยู่ บนหน้าก็เผยรอยยิ้มที่เกินกว่าปกติออกมา “ท่านหญิง กลับมาแล้ว! ท่านรีบมาดูเถอะ ทั้งหมดนี่คือผ้าใหม่ที่ส่งบรรณาการมาใหม่ปีนี้…”

เจียงเซี่ยนพยักหน้าให้เขาอย่างเฉยชาเหมือนมีเรื่องหนักใจ และไม่ได้ชายตามองเขาแม้แต่นิดเดียว พลางเอ่ยกับไทฮองไทเฮาว่า “เสด็จยาย หม่อมฉันมีเรื่องจะทูลเพคะ!”

———————————–

[1] ฟ้าถล่มลงมามีชายร่างสูงยันไว้อยู่แล้ว หมายถึง ไม่ต้องกังวล

[2] กระโปรงจันทราทรงกลด กระโปรงสีอ่อนแสนงดงามที่มีจีบถึง 10 จีบ โดยทุกจีบตรงเอวจะมีสีสันแตกต่างกันไป เวลาที่กระโปรงโบกสะบัดจะเหมือนพระจันทร์ทรงกลด จึงได้ชื่อนี้มา