บทที่ 34 แบบนี้ยังถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันอีกเหรอ?

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

บทที่ 34 แบบนี้ยังถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันอีกเหรอ? Ink Stone_Fantasy

ณ ตระกูลฉี ภายในบ้านหลักตระกูลฉี ฉีชางเซิ่งรู้สึกโกรธจัด เขาคิดไม่ถึงเลยว่าฉีหรูเสวี่ยลูกสาวของตนจะหนีออกจากบ้านไปจริงๆ ไม่คิดถึงสายสัมพันธ์พ่อลูกเลยสักนิด พี่น้องลุงอาทั้งหลายไม่ทันไรก็สร้างปัญหา เพราะการแต่งงานระหว่างตระกูลฉีและตระกูลฉินครั้งนี้ ต่อให้ยังไม่ได้หมั้นหมาย แต่พวกเขาก็ได้ติดต่อกับตระกูลฉินไว้หมดแล้ว และได้รับผลตอบแทนมาไม่น้อย หากว่าฉีหรูเสวี่ยเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมแต่งเข้าตระกูลฉินจริงๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ตระกูลฉินไม่ยอมจบง่ายๆแน่

“ชางเซิ่ง ตกลงเรื่องนี้มันยังไงกันแน่?” ชายชราที่นั่งอยู่กลางของห้องโถง ซึ่งก็คือฉีหงเหว่ยผู้กุมหางเสือเสือของตระกูลฉี กล่าวถามพลางมองฉีชางเซิ่งอย่างเคร่งขรึม

“พ่อครับ ผมเองก็นึกไม่ถึงว่านิสัยของฉีหรูเสวี่ยรั้นขนาดนี้ ถึงกับหนีออกจากบ้านไปเมื่อคืน ต้องโทษผมที่ตามใจจนเสียคน!” ฉีชางเซิ่งกล่าวอย่างสำนึกผิด

ฉีหงเหว่ยมองฉีชางเซิ่ง เขารู้สึกชื่นชมลูกชายคนนี้มาก เวลาทำอะไรก็ทำอย่างชาญฉลาด ไม่ผลีผลาม ไม่งั้นเขาคงไม่ส่งต่อตระกูลฉีให้ฉีชางเซิ่งดูแล แต่ว่าเรื่องในครั้งนี้นั้นทำให้ฉีหงเหว่ยรู้สึกโกรธอยู่บ้างจริงๆ

การที่สามารถเกี่ยวดองกับตระกูลฉินได้เป็นเพราะฉีหงเหว่ยได้ติดต่อกับผู้อาวุโสตระกูลฉินเอาไว้นานแล้ว แม้ว่าตระกูลฉีและตระกูลฉินจะเป็นตระกูลชั้นสองในเมืองหลวง แต่การเลือกตั้งในครั้งนี้ในตระกูลฉินมีคนที่พอจะมีโอกาสได้รับเลือก ถ้าหากว่าสำเร็จตระกูลฉินก็จะกระโดดขึ้นสู่ตระกูลชั้นหนึ่ง ซึ่งตระกูลฉีก็จะได้รับผลประโยชน์ไปด้วย

ดังนั้นตระกูลฉีจึงรีบคิดหาวิธีที่จะถอนหมั้นกับตระกูลเย่ และคิดทุกวิถีทางในการเกี่ยวดองกับตระกูลฉินกลายเป็นพันธมิตรอย่างเหนียวแน่นเพื่อความรุ่งเรืองของตระกูล สิ่งที่ใครก็คิดไม่ถึงก็คือ ฉีหรูเสวี่ยจะดื้อรั้นขนาดนี้ ยอมออกจากบ้านแต่ไม่ยอมแต่งเข้าตระกูลฉิน

“ไม่ว่าจะยังไง การหมั้นหมายกับตระกูลฉินในเดือนหน้าต้องทำตามกำหนดการ รีบส่งคนไปตามหาหรูเสวี่ยให้เจอซะ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่หรูเสวี่ยไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเอง” ท่าทีของฉีหงเหว่ยนั้นแข็งกร้าวมาก ในสายตาของเขา การแต่งงานของลูกหลานมีไว้เพื่อการแลกเปลี่ยนทางการเมืองและการกลายเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง นี่เป็นเรื่องปกติ ส่วนจะมีหรือไม่มีคามรัก ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยแม้แต่น้อย

เวลานี้ เย่เทียนเฉินอยู่ในห้อง VIP ของภัตตาคารอาหารทะเลแห่งหนึ่งในเมืองหลวง มือทั้งสองกำลังวุ่นวายไม่หยุด กุ้งมังกรตัวใหญ่ หอยเป๋าฮื้อตัวใหญ่ ปูตัวใหญ่ เขากินอย่างตะกละตะกลาม ซูเฟยเฟยที่นั่งมองอยู่ฝั่งตรงข้าม และไม่ได้ขยับตะเกียบเลยสักนิด ตกตะลึงจนอ้าปากกว้าง คิดในใจว่าคนคนนี้เป็นถังข้าวหรือไง?

เย่เทียนเฉินไม่สนใจว่าซูเฟยเฟยจะมองอย่างไร และไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นสำรวมกริยาต่อหน้าสาวงาม อาหารทะเลดีๆ มื้อใหญ่แบบนี้ ไม่ว่าจะในโลกแห่งความวินาศหรือในโลกนี้ก็ล้วนแต่หากินได้ยาก ต่อให้มีเงินก็หากินได้ยากอยู่ดี ที่ซูเฟยเฟยหามาได้ก็เพราะตระกูลซูของเธอเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ และเป็นแขก VIP ระดับสูง

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ระหว่างที่ซูเฟยเฟยตกตะลึงจนตาค้างอยู่นั้น เย่เทียนเฉินก็จัดการอาหารทะเลเต็มโต๊ะจนหมด เขาดื่มไวน์แดงไปแก้วหนึ่งอย่างพออกพอใจ ใช้กระดาษทิชชู่เช็ดที่มุมปาก เรอออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ควักบุหรี่ออกมาจุดสูบด้วยตนเอง ก่อนจะลุกขึ้นยืนพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ขอบคุณคุณคนสวยที่ต้อนรับอย่างดี ผมยังมีธุระต้องทำ ขอตัวก่อนนะครับ ลาก่อน!”

พอกินเสร็จก็จากไป เกรงว่าจะมีคนอย่างเย่เทียนเฉินที่ทำออกมาได้ แต่ว่าในมุมมองของเขา หากไม่ใช่เพราะว่าอยากจะกินอาหารทะเลมื้อใหญ่มื้อนี้ คงไม่ยอมมากับซูเฟยเฟยเด็ดขาด เย่เทียนเฉินไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับซูเฟยเฟยเลย ถ้าจะบอกว่ามีล่ะก็ งั้นก็เพิ่งจะมีขึ้นเมื่อสักครู่นี้เอง ผู้หญิงคนนี้สวยมาก ไม่เป็นรองหลิ่วหรูเหมยที่เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงเลย ทำไมเมื่อก่อนถึงไม่เคยได้ยินกัน?

“นี่ มีคนแบบนายด้วยเหรอ? กินเสร็จแล้วก็ไปเนี่ยนะ?” ซุเฟยเฟยได้สติกลับมา รู้สึกอับจนคำพูดกับเย่เทียนเฉินเป็นที่สุด

“หือ? กินเสร็จแล้วไม่ไป หรือว่ายังมีของหวานต่ออีก?” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวถาม

“นาย…ไปตายซะ!”

ต่อให้ซูเฟยเฟยอารมณ์ดีกว่านี้ ตอนนี้ก็คงถูกคนที่ไม่รู้จักดูบรรยากาศอย่างเย่เทียนเฉินทำให้โมโหอยู่ดี เธอคว้ากล่องใส่กระดาษทิชชู่บนโต๊ะอาหารเขวี้ยงใส่เย่เทียนเฉินโดยพลัน

“อาหารทะเลมื้อนี้ไม่เลวเลย ผมช่วยคุณ คุณก็เลี้ยงข้าวผม เราสองคนหายกันแล้วนะ บ๊ายบาย!”

พอเย่เทียนเฉินพูดจบ ก็เปิดประตูห้องส่วนตัวเดินออกไป มีเพียงซูเฟยเฟยที่ยังคงนั่งอึ้งอยู่ที่เดิม เธอไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ตนเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลซูอันสูงส่ง ไม่ทราบว่ามีคนกี่คนที่อยากมากินข้าวด้วย และไม่ทราบว่ามีกี่คนที่อยากจะคบกับตน คุณชายที่หัวร้างข้างแตกเพราะทะเลาะตบตีกันเพียงเพื่อจะได้เจอหน้าตนเองสักครั้งนับอย่างไรก็นับไม่หมด แต่เย่เทียนเฉินเหมือนไม่ต้องการจะสานสัมพันธ์กับตน คงไม่ได้เป็นพวกโง่เง่าปัญญาอ่อนหรอกนะ?

ตามปกติ เมื่อสาวงามที่ถูกวีรบุรุษช่วยเหลือเชิญวีรบุรุษไปกินข้าว แม้ว่าจะเป็นการแสดงความขอบคุณ แต่ว่าเธอก็มีความรู้สึกดีๆ ต่อวีรบุรุษผู้นั้น ในตอนนี้หากว่าวีรบุรุษคนนี้แสดงความเป็นสุภาพบุรุษเสกนิดสักหน่อย ก็คงจะมัดใจสาวงามเอาไว้ได้ แต่เย่เทียนเฉินไม่ได้มีความคิดเช่นนี้อยู่เลย ใจของเขาล้วนอยู่ที่อาหารทะเลมื้อนี้เท่านั้น

“เจ้าหมอนี่มีเบื้องหลังยังไงก็ยังไม่รู้ จะต้องส่งคนไปจับดูหน่อยแล้ว คงจะไม่ใช่คนปัญญาอ่อน หรือคนไม่มีอีคิวจริงๆ หรอกนะ?”

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซูเฟยเฟยก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมาต่อสายไปยังเบอร์หนึ่ง หลังจากที่อีกฝั่งรับสายก็ออกคำสั่งว่าว่า “เอาข้อมูลเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินทั้งหมดส่งมาให้ฉัน ฉันต้องการอ่านคืนนี้!”

“ครับคุณหนู!”

หลังจากที่วางสายโทรศัพท์ บนใบหน้าของซูเฟยเฟยที่เดิมทีเต็มไปด้วยความโกรธ ก็ปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายที่ดูทั้งยั่วยวนและน่ารักขึ้น เธอพูดพึมพำกับตนเองว่า “เย่เทียนเฉิน นายเป็นคนแรกที่กล้าไม่ใส่ใจฉัน ฉันไม่เชื่อหรอกว่าด้วยเสน่ห์ของฉัน จะสยบนายไม่ได้!”

อาจเป็นเพราะจิตใจที่ชอบเอาชนะมาแต่กำเนิดของลูกผู้หญิง หรืออาจเป็นเพราะซูเฟยเฟยหลงรักเย่เทียนเฉินโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่ขนาดตัวเธอเองยังไม่รู้ตัวก็เท่านั้น สรุปก็คือเธอไม่มีแผนจะปล่อยเย่เทียนเฉินไปง่ายๆ ใครใช้ให้เจ้าหมอนี่กล้าเมินเธอแบบนี้กันเล่า?

หลังจากกินอาหารทะเลมื้อใหญ่ไปหนึ่งมื้อ เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ กลับบ้านไปด้วยความยินดี ตอนที่เขากลับมาถึงบ้าน ก็พบเพียงฉีหรูเสวี่ยที่กำลังโทรหาเขาอย่างกระวนกระวาย จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและพบว่าแบตหมดแล้ว ส่วนหลัวเยี่ยนผู้เปป็นแม่ก็ไม่ทราบว่าไปไหน

“แม่ของฉันล่ะ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถาม

“คุณป้าไปบ้านหลักตระกูลเย่ คิดหาวิธีช่วยนายออกมา ตอนแรกฉันก็คิดจะโทรไปที่ตระกูล…”

“ช่างเถอะ ฉันไม่อยากจะมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉีของเธออยู่แล้ว”

พอเย่เทียนเฉินพูดจบก็เดินออกไปจากคฏหาสน์ มุ่งหน้าไปยังบ้านหลักตระกูลเย่ ครั้งนี้เขาขี่มอเตอร์ไซด์ของตนเองไป ตอนที่อยู่ในโลกแห่งความวินาศเย่เทียนเฉินชอบขี่มอเตอร์ไซด์มาก รวดเร็ว ถึงใจ สง่างาม ดูเท่กว่ารถเก๋งธรรมดาหรือรถสปอร์ตเสียอีก

พอคิดถึงพวกคนของบ้านหลักตระกูลเย่ที่ไม่เห็นตนเองเป็นคนในครอบครัว เกรงว่าหลัวเยี่ยนคงร้อนรนจนไร้หนทางถึงได้ไปขอความช่วยเหลือ และจะต้องเจอกับคำพูดเย็นชายมากมาย และได้รับความอยุติธรรมแน่นอน เย่เทียนเฉินรู้สึกกังวล การมาเกิดใหม่ในโลกนี้เขาจะต้องปกป้องครอบครัวของตน ปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองมี เขาจะไม่ให้ครอบครัวต้องทนทุกข์ และจะไม่ให้พวกเขาต้องถูกผู้คนดูหมิ่นเด็ดขาด

เมื่อมาถึงประตูของบ้านหลักตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินก็ถูกยามเฝ้าประตูสองคนของบ้านหลักขวางไว้ ขนาดยามของบ้านตระกูลหลักยังดูถูกครอบครัวของเย่เทียนเฉิน เหตุผลหลักๆ ก็เพราะการกระทำของเศษสวะไม่เอาไหนในอดีตของเย่เทียนเฉิน

“อ้าว คุณชายน้อยเทียนเฉินนี่เอง มานี่มีธุระอะไรครับ?”

“ตอนนี้คงให้คุณเข้าไปไม่ได้หรอกครัรบ ผู้อาวุโสสั่งมา ครอบครัวของพวกคุณไม่ได้รับอนุญาตให้เหยียบบ้านหลักตระกูลเย่แม้แต่ก้าวเดียว”

เปรี้ยงๆ!

เมื่อเย่เทียนเฉินต้องเผชิญหน้ากับสุนัขเฝ้าบ้านทั้งสองคนก็ใช้หมัดต่อยพวกเขาล้มลงกับพื้น จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในบ้านหลักตระกูลเย่ จนกระทั่งเขาไปถึงประตูของบ้านหลัก ก็ได้ยินเสียงวิงวอนของแม่

“คุณพ่อคะ ไม่ว่ายังไง เทียนเฉินก็เป็นหลานของพ่อนะคะ ถึงเขาจะเกเรหรือสร้างปัญหา พ่อก็คงไม่ดูเขาตายไปโดยไม่ทำอะไรใช่ไหมคะ?” หลัวเยี่ยนกล่าววิงวอนด้วยความร้อนใจ

“น้องสาม ฉันบอกเธอสองสามีภรรยาไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าลูกชายที่พวกเธอสอนมันเกเร เขาสร้างปัญหาใหญ่ไม่เท่าไรหรอก แต่ถ้าหากว่าพัวพันมาถึงตระกูลเย่ทั้งตระกูล แบบนั้นก็แย่แล้วล่ะ!” เย่มู่ไป๋ลุงใหญ่ของเย่เทียนเฉินกล่าวเป็นคนแรกด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“ใช่แล้ว ตอนนี้ตระกูลเย่ของพวกเราตกอับ พ่อก็ไม่ได้มีอำนาจในมือมานานแล้ว จะมีใครมาไว้หน้าพวกเราตระกูลเย่อีก เจ้าเด็กอตัญญูนั่นกล้าหาญจริงๆ กล้าลงมือแม้กระทั่งหลานชายสองคนของตระกูลลั่ว มันคงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้วล่ะ!” ลุงสองเย่เฮ่อกั๋วพูดพร้อมกับส่ายหัว

“พวกคุณ…” หลัวเยี่ยนโมโหมาก ตอนแรกเธอคิดว่าไม่ว่ายังไงก็เป็นครอบครัวเดียวกัน แม้ว่าในยามปกติพี่ชายสองคนจะไม่ชอบครอบครัวของพวกเธอ แต่ว่าในเวลาสำคัญก็ไม่ควรละเลยไม่ใช่เหรอ แต่พวกเขากลับพูดคำพวกนี้ออกมาได้

“เจ้าคนอกัญญูแบบนี้ ตายอยู่ข้างนอกก็ช่างมันเถอะ อย่าให้พัวพันมาถึงพวกเราตระกูลเย่เลย”

“ใกล้จะมีการเลือกตั้งคณะกรรมาธิการทหารแล้ว ลั่วซงเฉิงอาจจะสามารถเข้าร่วมคณะกรรมาธิการทหารได้ พวกเราตระลเย่ไปหาเรื่องไม่ได้หรอก ไม่สู้มัดไอ้เด็กไม่รักดีคนนี้ส่งตัวไปให้ตระกูลลั่วเพื่อยอมรับโทษแต่โดยดีเถอะ จะฆ่าจะแกงก็แล้วแต่ตระกูลลั่วจะตัดสิน!”

เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วไม่ได้มองเย่เทียนเฉินเป็นคนในครอบครัวเดียวกันเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะตอนที่ฉีชางเซิ่งแห่งตระกูลฉีมาขอถอนหมั้น พวกเขาทั้งสองคิดอยากจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ด้วย แต่กลับถูกคำพูดไม่กี่คำของเย่เทียนเฉินทำลายแผนการหาผลประโยชน์ของพวกเขาสองคนเสีบราบคาบ ผลประโยชน์ทั้งหมดไปตกอยู่กับครอบครัวของเย่หงน้องสาม ทำให้เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วโกรธจนนอนไม่หลับไปหลายวัน

ตอนนี้พอได้รู้ว่าเย่เทียนเฉินถูกจับไปที่สถานีตำรวจ และยังทำร้ายหลานชายสองคนของตระกูลลั่ว สร้างปัญหาใหญ่โต พวกเขาไม่เพียงไม่ช่วยคิดหาวิธี แต่กลับโยนหินซ้ำเติมลงไป ดูถูกถากถาง ไม่คิดถึงความเป็นญาติเลยแม้แต่น้อย

เมื่อหลัวเยี่ยนได้ยินคำพูดของพี่ชายทั้งสองก็โกรธจนแทบอยากจะตบหน้าพวกเขาสักคนละที นี่ยังเป็นคำที่คนพูดอยู่งั้นหรอ? แต่เธอรู้ว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องอดทน เพื่อลูกชายเธอต้องอดทน ถ้าหากทำให้ผู้อาวุโสเย่หย่วนซานโกรธ แบบนั้นถึงจะเรียกว่าแย่จริงๆ

“พ่อคะ ไม่ว่ายังไงเย่เทียนเฉินก็เป็นหลานของพ่อ คิดหาวิธีหน่อยนะคะ?” หลัวเยี่ยนหันไปมองไปเย่หย่วนซานผู้เป็นพ่อด้วยน้ำตาคลอเบ้า แล้วเอ่ยวิงวอน

เย่หย่วนซานถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ด้านข้างขึ้นมา ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเย่เทียนเฉินก็เป็นหลานชายของตนอยู่ดี คงไม่อาจมองเขาตายได้ แม้ว่าตนจะเกษียณออกมาแล้ว ก็ยังคงมีความสัมพันธ์ในอดีตอยู่บ้าง หวังว่าจะช่วยประกันตัวเย่เทียนเฉินออกมาได้

ที่ไหนได้ขณะที่เย่หย่วนซานเพิ่งจะยกโทรศัพท์ขึ้น ยังไม่ทันได้กดเบอร์โทร เย่เทียนเฉินก็ผลักประตูบ้านหลักให้เปิดออก เดินเข้าไปด้วยรอยยิ้ม

……………………………………………