บทที่ 42: พวกแกมันสมควรตาย

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 42: พวกแกมันสมควรตาย

โรเอลไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะมีเดธแฟล็กอยู่ในงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย

ความเกลียดชังของอลิเซียที่มีต่อโรเอลนั้น เดิมทีก็อาจจะมีรากฐานมาจากงานเลี้ยงนี้ด้วยเช่นกัน โรเอลคนก่อนไม่ได้มีความกล้าๆหรือความสามารถที่จะสามารถหยุดบรอนได้ เขาจึงทำได้เพียงแค่เฝ้าดูด้วยความกังวลใจจากข้าง ๆ เท่านั้น

อย่างไรก็ตามโรเอลในปัจจุบันนั้นแตกต่างกันออกไป

ไม่มีคำพูดใดจะสามารถบรรยายความรู้สึกของโรเอลในขณะนี้ได้ เด็กชายรู้สึกถึงความร้อนอันรุนแรงกำลังเผาไหม้ลุกโชนอยู่ภายในร่างกาย จิตใจ และพลังเวทของเขา

ในที่สุดเด็กชายก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงต้องพยายามฝึกฝนอย่างหนักเพื่อที่ตัวเองจะได้ไปถึงระดับแก่นแท้ 6 หากคิดอย่างลึกซึ้งแล้วล่ะก็ ความแข็งแกร่งนี้ไม่ได้จำเป็นเลยสำหรับการหลีกเลี่ยงเรื่องราวในอนาคต

แต่เมื่อโรเอลได้มายืนอยู่ข้างหลังบรอนในตอนนี้ ทุกอย่างก็ดูจะมีเหตุผลขึ้นมา ทั้งหมดที่เขาได้ฝึกฝนมานั่นก็เพื่อที่โรเอลจะได้อัดไอ้หมอนี่ให้เละ!

“ก… แก แกมาที่นี่ตั้งแ…”

ปึง!

โรเอลไม่สนใจจะเสียเวลาฟังสิ่งที่บรอนพูด เขายกมือขึ้นจับใบหน้าของเด็กชายผมสีทองก่อนจะทุบมันลงบนโต๊ะใกล้ ๆ

ปึง!

เลือดของโรเอลสูบฉีดอย่างรวดเร็วด้วยผลจากพลังเวท ทำให้เขาสามารถใช้พละกำลังเหนือมนุษย์ออกมาได้ ศีรษะของบรอนถูกจับกระแทกเข้ากับโต๊ะอย่างแรงจนใบหน้าของเขาแทบจะฝังลงไปบนโต๊ะ ทว่านั่นก็ยังไม่ได้ทำให้โรเอลยั้งมือเลยแม้แต่น้อย

ปึง! ปึง! ปึง! ปึง! แกร็ก!

ก่อนที่ทุกคนในห้องจะหายจากอาการตกใจ โรเอลก็ได้ทุบหัวของบรอนลงกับโต๊ะไม้อีกสี่ครั้งและในครั้งที่ห้าหัวของบรอนก็ฝังลงไปในโต๊ะได้สำเร็จ จากนั้นโรเอลจึงหยุดลง

“นี่ยังไม่ตายอีกงั้นเหรอ? เป็นแมลงสาบที่อึดชะมัด”

โรเอลจ้องมองไปที่บรอนอย่างเย็นชา ขณะที่อีกฝ่ายพยายามดึงศีรษะของตัวเองออกจากโต๊ะอย่างสุดความสามารถ

ดูเหมือนว่าบรอนนั้นน่าจะอยู่ที่ระดับแก่นแท้ระดับ 6 เช่นกัน ไม่อย่างนั้นเขาก็น่าจะตายไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ถูกเอาหัวทุบลงไปกับโต๊ะ

จังหวะนั้นเองที่เหล่าลูกสมุนจากตระกูลขุนนางที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง ได้สติหายจากความงุนงง จึงรีบรุดเข้าไปช่วย

“ล… ลูกพี่! หยุดมันเร็ว!”

“จัดการมัน!”

แม้เหล่าเด็กชายจากตระกูลขุนนางปลายแถวจะตกใจกลัวที่ได้เห็นหัวหน้าของพวกเขาถูกจับหัวทุบกับโต๊ะอย่างง่ายดาย แต่พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะถอยหนีกลับไปได้ เนื่องจากพวกเขาล้วนเป็นลูกน้องคนสนิทของบรอน พวกเขาจึงพยายามเค้นความกล้าในใจออกมาและก้าวไปเผชิญหน้า แม้ว่าคู่ต่อสู้ของพวกเขาจะเป็นนายน้อยของตระกูลแอสคาร์ดก็ตาม

สิบเอ็ดคน

โรเอลตรวจสอบจำนวนของศัตรูอย่างรวดเร็ว เขาร่ายคาถาเวทควบคุมลมปราณเพื่อฟื้นพละกำลังที่เขาใช้ไปกับการทุบหัวบรอน ก่อนจะผ่อนคลายกล้ามเนื้อของตัวเอง เดินเข้าหาเหล่าเด็กชายผู้สูงศักดิ์ พวกนั้นจำต้องเตรียมตัวรับมือกับการต่อสู้ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

“พี่ใหญ่โรเอล!” เด็กสาวร้องเรียกพี่ชาย เธอกลัวจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับเขา

“รออยู่ตรงนี้ก่อนนะอลิเซีย ให้ฉันจัดการกับเจ้าพวกนี้ให้เสร็จก่อน”

โรเอลปลอบอลิเซียที่กำลังร้องไห้ ก่อนที่จะหันไปเผชิญหน้ากับศัตรูของเขา

ถึงแม้โรเอลจะพัฒนาก้าวหน้าไปถึงระดับแก่นแท้ 6 แล้ว แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขาหากจะต้องมาเผชิญหน้ากับศัตรูจำนวนมากเช่นนี้ในคราวเดียว เพราะพวกเขาเหล่านี้ต่างก็เป็นถึงลูกหลานจากตระกูลขุนนาง ซึ่งบางคนก็มีความสามารถแข็งแกร่ง โดยห้าจากสิบเอ็ดคนในหมู่เด็กพวกนี้ อยู่ในระดับแก่นแท้ 6 เช่นเดียวกับโรเอล

โรเอลจะเอาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้อย่างไร?

หากต่อสู้กันตรง ๆ ล่ะก็มันคงเป็นไปไม่ได้เลยที่โรเอลจะชนะพวกเขา แต่ทว่าตัวแปรที่กำหนดผลการต่อสู้นั้นประกอบไปด้วยความแข็งแกร่งและความเฉลียวฉลาด

ตราบใดที่การโจมตีของโรเอลรุนแรงพอที่จะสร้างความหวาดกลัวให้กับเด็กชายเหล่านี้ จนสามารถทำลายความตั้งใจในการต่อสู้ของพวกเขาลงได้ โรเอลก็จะชนะ

แม้ว่าลูกขุนนางเหล่านี้จะมีความแข็งแกร่งเหนือมนุษย์ แต่จิตใจของพวกเขาก็ยังคงเป็นเด็กธรรมดา ๆ

ด้วยความคิดนั้นโรเอลเลือกศัตรูคนที่แข็งแกร่งที่สุดจากเด็ก ๆ สามคนที่พุ่งเข้ามาโจมตีเขา แล้วจึงโจมตีอีกฝ่ายแบบตัวต่อตัว

“ถุงมือเวท!”

โรเอลเปล่งเสียงคำรามอันโกรธเกรี้ยวออกมาพร้อมกับเปลวไฟสีน้ำเงินอันลุกโชนบนมือ ก่อนที่หมัดของเขาจะพุ่งชนเข้ากับหมัดของอีกฝ่าย ส่งผลให้เด็กชายคนนั้นส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

“อ๊ากกกกกกก!”

การประสานกำปั้นชนเข้ากับกำปั้นที่ห่อหุ้มด้วยถุงมือเวทนั้นไม่ต่างอะไรไปจากการชกกำแพงโลหะ ยิ่งต่อยเข้ามาแรงมากเท่าไหร่ แรงที่สะท้อนกลับไปก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ในกรณีนี้มันจึงได้ย้อนความแข็งแกร่งระดับแก่นแท้ 6 ของอีกฝ่ายกลับไป

เด็กชายที่โจมตีประสานงากับโรเอลทรุดลงด้วยบาดแผลกระดูกร้าว จนต้องล้มกลิ้งไปมากับพื้นด้วยความเจ็บปวด

อีกสองคนที่พุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับเขาคนนั้นตัวแข็งด้วยความตกใจเมื่อเห็นสภาพของเพื่อนที่ลงไปนอนกลิ้งหมดสภาพ พวกเขาทั้งสองยังไปไม่ถึงระดับแก่นแท้ 6 เพราะแบบนั้นเอง การได้เห็นคนที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาล้มลง จึงทำให้พวกเขาตื่นกลัวหมดกำลังใจสู้ไปอย่างง่ายดาย

แน่นอนว่าโรเอลไม่มีทางปล่อยให้โอกาสดี ๆ ในการโค่นศัตรูหลุดผ่านไปแน่ เขาเหวี่ยงหมัดเข้าหาเด็กชายทั้งสองคนนั้น ส่งพวกเขาลอยกระเด็นไปชนกับกำแพงในทันที

หลังจากเอาชนะสามคนแรกได้โรเอลก็รีบจัดการกับคนที่เหลือ มันเป็นการต่อสู้อันสับสนวุ่นวาย ผู้ที่อยู่ในระดับแก่นแท้ 7 ไม่มีประโยชน์อะไรในการต่อสู้ครั้งนี้เลย พวกเขาถูกจัดการออกจากบริเวณการต่อสู้อย่างรวดเร็วด้วยหมัดคนละที

ส่วนเด็กชายที่มีพลังอยู่ในระดับแก่นแท้ 6 อีกสี่คนที่เหลือ ต่างก็กำลังต่อสู้ในระยะประชิดอยู่กับโรเอล

ลูกขุนนางที่มีพลังระดับแก่นแท้ 6 เหล่านี้มีบรรยากาศที่ค่อนข้างน่าเกรงขาม หนึ่งในนั้นมีเด็กผู้มีร่างกายอันใหญ่โตที่แข็งแกร่งราวกับหินอยู่ด้วย ระดับที่แม้แต่คาถาถุงมือเวทของโรเอล ก็ยังไม่สามารถทำลายการป้องกันของเขาลงได้ง่าย ๆ

อีกคนนั้นมีมือแห่งไฟอันโชติช่วงพร้อมจะละลายผิวของโรเอล ส่วนอีกสองคนที่เหลือ บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาเพิ่งเลื่อนระดับแก่นแท้นี้มาไม่นาน พวกเขาจึงไม่ได้มีคาถาเวทสำหรับต่อสู้อะไรเลย

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่มีทั้งพลังในการรุกและรับ โรเอลจึงทำได้เพียงแลกหมัดกลับไป เขาใช้มือซ้ายจับมือที่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงของอีกฝ่ายเอาไว้ แล้วใช้ถุงมือเวทชกเข้าไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายสุดแรงด้วยพละกำลังทั้งหมดที่เขามี ผลคือ น็อคเอาท์!!

หลังจากเอาชนะเหล่าเด็ก ๆ ที่รับมือได้ยากลำบากที่สุดแล้ว โรเอลก็เดินไปทางเหล่าเด็กชายที่ตัวแข็งทื่อเป็นหินด้วยความกลัวอย่างรวดเร็ว เขาใช้ท่าคล้าย ๆ กับท่าของมวยไทยจับที่ไหล่ของอีกฝ่ายแล้วยกเข่าขึ้นกระทุ้งเล็งไปที่เป้ากางเกงของพวกเขา

“อ๊ากกกกกกกกก”

เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นเมื่อโรเอลจัดการศัตรูไปอีกคน มันเป็นความสำเร็จอันน่าประทับใจสำหรับเขาที่สามารถโค่นศัตรู 9 จาก 11 คนได้เพียงลำพัง

แต่โรเอลก็ต้องจ่ายราคาตอบแทนที่หนักไปด้วยเช่นกัน เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น มือพองจากการสัมผัสกับความร้อนที่แผดเผา หัวเข่าของเขามีเลือดไหลออกมาจากการกระแทกอันรุนแรง

เมื่อเห็นโรเอลที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น เด็กสาวปล่อยโฮออกมาจนตัวโยน

ชัยชนะในการต่อสู้ของโรเอลในตอนนี้ ได้สร้างความกลัวให้เกิดขึ้นในใจของลุคและชอว์นเป็นอย่างมาก ทำให้พวกเขาไม่กล้าแม้กระทั่งจะขยับตัวเคลื่อนไหว

แค่สายตาอันคมกริบของโรเอลก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขาสั่นสะท้านไปทั้งร่างด้วยความกลัวเมื่อไม่มีทางรอด พวกเขาพยายามแก้ต่างด้วยความเลิ่กลั่ก

“ร… โรเอล พวกเราไม่ได้ตั้งใจที่จะมีเรื่องกับตระกูลแอสคาร์ดเลยนะ พวกเรามิบังอาจหรอก เป็นบรอนต่างหากที่สั่งให้พวกเราไปพาตัวอลิเซียมา!”

“ใช่แล้ว พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะกลั่นแกล้งเธอในปีนี้เลย! จริง ๆ นะ!”

คำพูดของชอว์นและลุคทำให้โรเอลผู้กำลังเหนื่อยล้าถึงกับต้องมองด้วยความแปลกใจ เขาค่อย ๆ ประมวลผลคำพูดของทั้งคู่ก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“พวกแก คือคนที่คอยรังแกน้องสาวของฉันมาตลอดใช่ไหม?”

“หา? ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้น…” ชอว์นรีบส่ายหัวทันควัน

“ช่างมันเถอะ คลานออกจากห้องนี้ไปซะแล้วฉันจะปล่อยพวกแกไป”

โรเอลชี้ไปที่ประตูด้วยรอยยิ้ม

ทั้งสองคนหันมามองหน้ากันนิ่งก่อนจะพยักหน้ายอมรับชะตากรรม

“ได้ พวกเราจะคลาน!”

“พวกเราจะคลานออกไปแน่ แต่…แกก็ต้องรักษาสัญญานะ!”

ภายใต้การอนุมัติทางสีหน้าของโรเอล ลุคและชอว์นจึงคุกเข่าคลานออกไป แต่แล้วทันใดนั้น โรเอลก็ใช้โอกาสนี้เตะไปที่เป้ากางเกงของพวกเขาเพื่อเป็นการทิ้งทวน

ปึก!

“อ๊ากกกกก! แก!” เด็กชายทั้งสองร้องขึ้นอย่างหัวเสีย

“หึ พวกสวะ พวกแกเชื่อคำพูดของฉันง่าย ๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน? แม้แต่คนโง่ยังรู้เลยว่าฉันไม่มีทางปล่อยให้พวกแกสองคนกลับไปแบบสวยงามแน่ หลังจากที่พวกแกทำกับน้องสาวของฉันขนาดนี้!”

โรเอลหัวเราะเยาะทั้งคู่

แต่ในความเป็นจริงเขาใช้แรงมากเกินไปเสียจนแทบจะยกมือขึ้นไม่ไหว แม้แต่ลูกเตะที่เขาส่งออกไปก็ยังทำให้เขารู้สึกเจ็บด้วยซ้ำ หากต่อสู้กันจริง ๆ ล่ะก็ โรเอลคงจะพ่ายแพ้ต่อพวกเขาทั้งคู่ไปแล้ว โชคดีที่เด็กชายทั้งสองคนนั้นตื่นกลัวจนขาดสติ จึงถูกโรเอลหลอกในที่สุด

“เอาเถอะ ยังไงฉันก็ยังเป็นคนรักษาคำพูด ถ้าพวกแกคลานออกไปได้ ฉันก็จะไม่ตามไปทำอะไรพวกแกอีก”

โรเอลพูดกับพวกเขาด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้ม ทว่าทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกับการแสดงออกของทั้งสอง จังหวะนั้นเองเสียงของอลิเซียก็ดังขึ้นมา

“พี่ใหญ่ ระวังข้างหลัง!”

โรเอลทำได้เพียงแค่หมุนตัวหันกลับไป ก่อนที่มีดจะพุ่งตรงเข้าไปที่ท้องของเขา